[FIC] OURSONG ~我們的歌 -- หยางเฟิง / เพลงที่ 8
Pairing :: หยางหยาง x หลี่อี้เฟิง
Rating :: PG
"อยู่ที่ฉันอยู่ที่เธอ ไม่ใช่ใครที่ไหน แค่เพียงสบตาก็รู้หัวใจ ว่าเรานั้นรักกัน" ***************************************************************************************
“ฉันชื่อถังเยี่ยน
เป็นคู่หมั้นของหยางหยาง และหลังเรียนจบเราก็จะแต่งงานกัน ทีนี้
รักแรกที่เขาวาดฝันไว้ให้เธอ ปล่อยให้มันสลายไปได้แล้ว เด็กโง่เอ๊ย”
อี้เฟิงทวนซ้ำประโยคนี้หลาย
ๆ ครั้งในใจ เพราะเป็นประโยคที่ติดใจ และแทงใจที่สุดเท่าที่เขาฟังจากหญิงสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนนั้น
เขามีความจำไม่ดีนักแต่จำได้แน่นอนว่าจะต้องเคยเห็นเธอจากที่ไหนซักที่
แต่ที่แน่นอนก็คือ
เธอคนนี้เกี่ยวข้องกับรุ่นพี่หยางหยางแน่นอน
นั่นคือความปวดใจอย่างแรกของหลี่อี้เฟิง
เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
คู่หมั้น? แต่งงาน ?
สุดท้ายแล้ว
เขา เป็นแค่คนที่มีไว้เพื่อคั่นเวลาให้คนคนนั้นได้เล่นสนุกอย่างนั้นหรือ
ทำให้หัวใจของคนอื่นเป็นทุกเป็นร้อนเช่นนี้ เขามีความสุขหรือ ?
หลังจากได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นมาล่วงเวลาก็สามสี่วัน
อี้เฟิงเงียบลงและใช้ความคิด กับเรื่องราวเหล่านั้น อี้เฟิงไปชมรมน้อยลง ไปเรียนบ้าง
หากมีพลังและความคิดอยากจะไป ตอนนี้กลายเป็นเด็กไม่ดีนิดหน่อยแล้ว
แต่เขาไม่มีความอยากทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากนั่งคิดเรื่องนี้
อาจจะเพราะเป็นความรักครั้งแรกที่รู้สึกจริงจังมากด้วยล่ะมั้ง...
แต่เพราะนั่นน่ะ เพราะว่า....... อีกฝ่ายก็ ‘ดูเหมือนจะ’
จริงจังกับเขาด้วยเหมือนกัน นั่นล่ะทำให้หลี้อี้เฟิงคนนี้เผลอจริงจังตาม
หัวใจก็จริงจังแล้วด้วย รักเขาจริงจัง
แต่ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดมันจะกลับตาลปัตร
กลายเป็นว่าทุกอย่างนั้นรุ่นพี่หยางหยางคนนั้นก็แค่สร้างบรรยากาศแห่งความรักระหว่างเขาสองคนขึ้นมา
ให้ได้เคลิบเคลิ้ม หลงใหล สุดท้ายเขาก็แค่สนุก..และทิ้งมันไป
ใจสลาย....
นั่นก็คงบ่งบอกสภาพของหัวใจอี้เฟิงดีที่สุด
คิดไปอยู่สามสี่อี้เฟิงยกมือกุมหัวใจที่เต้นอยู่ใต้หน้าอกอยู่ตลอด
เขารู้สึกหนักหน่วงมากจริง ๆ คิดเรื่องนี้
ยิ่งคิดยิ่งทำอะไรไม่ถูก
“เฮ้อ”
ไม่ใช้รอบที่
10 ที่อี้เฟิงถอนหายใจแรงมากแบบนี้ อาจจะนับเป็นร้อยรอบแล้วก็ได้ อี้เฟิงเอื้อมมือไปคว้ามือถือ
แล้วก็พลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น วอลเปเปอร์ของอี้เฟิงเป็นรูปตัวการ์ตูนทั่วไป
ความสนใจมันไม่ได้อยู่ตรงรูปนั้นแต่เป็นมิสคอลกับข้อความของรุ่นพี่ที่ส่งมา
แม้ไม่เยอะ นั้นอาจจะเพราะว่าเขาอยู่ในระหว่างการเก็บตัวนักกีฬาและระหว่างการแข่ง
คงจะหาเวลามาโทรมาส่ง แต่ถ้าอี้เฟิงรับสายหรือตอบกลับไป คุยกันซักสองสามคำ
เขาจะต้องถามกลับไปแน่ สำหรับเรื่องที่เขาสงสัยอยู่
อย่างน้อยก็ไม่อยากทำให้อีกคนต้องมาวุ่นวายใจกับเรื่องนี้ คิดว่าควรจะคุยจริงจังเมื่อหลังอีกฝ่ายกลับมาและ
ทำให้มันชัดเจนตอนนั้นไปเลย
จะเจ็บจะแยกกันหรือจะรักกันต่อไป
ก็อยู่ ณ เวลาตอนนั้น ให้ใจสลายก็เป็นครั้งนั้นครั้งเดียวเลยแล้วกัน
ผู้หญิงคนนั้น..อี้เฟิงคิดออกแล้วว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่ในรูปที่รุ่นพี่หยางหยางกำลังจะพูดแนะนำ
แต่อี้เฟิงพูดขัดและบอกให้พอ ...อืมนี่ล่ะ
ที่เขาคิดคลาแคลงใจว่าที่จริงรุ่นพี่เขาก็จะพูดออกมา
แต่กลับเป็นเขาเสียเองที่พูดขัดพี่เขาไป
ถ้ารุ่นพี่หยางหยางพูดต่อ
เขาจะพูดว่าอะไร.. ความจริง หรือคำโกหก
อี้เฟิงไม่รู้ว่าสิ่งไหนเป็นจริงหรือโกหก
เขาแค่เล่นสนุกหรือจริงจังกับเรื่องราวระหว่างเขาสองคนมากแค่ไหน
แม้จะไม่อยากเชื่อคำพุดของสาวสวยคนนั้น
...แต่ความจริงและ อี้เฟิงเห็นแหวนวงสวยบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอด้วย
แต่รุ่นพี่หยางหยางไม่มี
ยิ่งทำให้อี้เฟิงปวดหัวใจหนักขึ้นเมื่อคิดถึงมัน
“ไปเดินสูดอากาศให้หัวโล่งหน่อยแล้วกัน”
พอพูดจบอี้เฟิงก็เดินก้าวออกไป
และไม่ลืมจะคว้าลูกรัก กีตาร์ตัวโปรดไปด้วย เขาสะพายมันไปด้วย
และเดินทอดน่องออกจากอพาร์เมนท์ที่พักไป พี่ยามหน้าหอ
ทักททายว่าไม่ค่อยเห็นหน้าช่วงที่ผ่าน อี้เฟิงตอบไปตามความจริงว่าไม่ค่อยสบาย
แต่ก้ไม่ได้ระบุให้ชัดหรอกว่าเป็นตรงหัวใจ
พี่ยามไม่ลืมที่จะส่งของกินให้เป็นขนมนมเนยตามที่เคยให้ก่อนหน้านี้
พี่แม่บ้านเองก็มาสมทบและให้น้ำส้มกระป๋องมาด้วย
พอเห็นของกินกับเครื่องดื่มในมืออี้เฟิงก็เลิกล้มความคิดจะไปหาอะไรมึนเมามาดื่มให้ลืม
ให้พูดแล้วอี้เฟิงก็อยากกเมา
ให้ลืมความรู้สึกปวดใจไปซักครู่หนึ่งก็ยังดี แต่สุดท้ายก็ไม่เลือกจะดื่มมัน
อี้เฟิงไม่ใช่นักดื่มที่ดีเท่าไหร่ ดื่มเมื่อจำเป็นและโอกาสสำคัญเท่านั้น
เขาแตะปากเพียงสามสี่จิบก็ล้มฟุบ แบบนั้นก็ไม่ต้องเดินกลับหอ
และได้นอนตากอากาศเย็น ๆ ที่สวนสาธารณะแถวนี้แน่
“อืม”
ริมฝีปากที่เริ่มแห้งแตก
เพราะขาดการดูแลบำรุง อี้เฟิงแลบลิ้นเลียริมฝีปากให้ดีขึ้น เขาเปิดฝากระป๋องน้ำส้มยกดื่มไปครึ่งค่อนกระป๋อง
และทรุดตัวลงนั่งตรงริมแม่น้ำเส้นเล็ก ๆ ที่เขาชอบมานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
แต่งเพลงบ้างหากมีอารมณ์และความตั้งใจ แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เพลง
คำพูดซักพยางค์อี้เฟิงยังนึกไม่ออก ในหัวตีกันยุ่งไปหมด แทบไม่อยากพูดกับใคร
เพราะในหัวมีแต่เริ่มเดิม ๆ ที่คิดมากจนกลายเป็นคนคิดไม่ตก
คิดว่าถ้าอี้เฟิงส่องกระจก
ตาคงจะโหลเป็นแพนด้าแข่งสู้กับแพนด้าที่บ้านเกิดเฉิงตูเลย
เรียวนิ้วสวยที่คล่องมือกับการบรรเลงเพลงด้วยกีตาร์เริ่มคอร์ดแรก
ก็ไปไม่เป็นเสียแล้ว เขาไม่มีแรงจับคอร์ดอาจเพราะไม่ได้กินอะไรเป็นอย่างเป็นมื้อ กินแค่ของในห้องกับของกินที่ได้ติดมาจากคนอื่น
อยากเล่นเพลงซักเพลงใจจะขาด แต่นึกคอ์รดไม่ออกซักเพลง
แต่กลับมามีเพลงที่เขานึกออกอยู่เพลงเดียว แม้จะแค่ท่อนเดียวก็ตาม
แค่ฮุ๊คท่อนเดียวที่อี้เฟิงนึกคอร์ดออก
ลองรวบรวมแรงดีดไปสองสามทีก็เลิกก มือเขาอ่อนแรง
ยิ่งเมื่อนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เจอรุ่นพี่หยางหยางเข้าแล้วก็ยิ่งอาการหนัก
ใบหน้าหวานยู่และขมวดคิ้วหนักขึ้น ซบใบหน้าลงกับกีตาร์
“อี้เฟิง
แกอย่ากระโดดน้ำนะเว้ย มีไรอยู่พูดกันดี ๆ ก่อน “
อี้เฟิงรู้ดีว่าว่าใครร้องเรียกชื่อและพูดจากวนบาทาแบบนี้
เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเขา จิ้งฝู ไอบ้านี้เป็นคนที่กวนประสาทอี้เฟิงมาก
แต่ก็รู้ได้ว่ามันก็รักเพื่อนมาก..แต่ก็ตามประสาวิธีของมัน เขาเงยหน้ามาดูต้นเสียง
เพื่อนของเขาสี่คน มานั่งล้อมรอบและวางเสบียงไว้ข้างตัว
และมานั่งห้อยขาริมน้ำด้วยกันเป็นห้าหนุ่มริมน้ำ
“แกดูแย่ว่ะ
อี้เฟิง”
“เออ
พอรู้ตัว”
“แกจะลาออกจากการเป็นหลี่อี้เฟิงไปเป็นหมีแพนด้าแล้วเรอะ
ตางี้โหลดำเชียว”
“ไอบ้าเอ๊ย”
“ผอมลงขนาดนี้
สวนสัตว์ไม่รับหรอกว่ะ”
“เห็นด้วย
เอานี่ ของกินของโปรดแกหมดเลยนะเว้ย
เอาไปกินซะ”
“แต่ว่ากรุณาแบ่งพวกเราด้วย
ห้ามยัดไปทั้งหมดถุงนี่ ไม่งั้นแกจะได้ลงไปลอยในน้ำ”
“รู้แล้ว
คนนะเว้ย กินเวอร์ขนาดนั้นได้ที่ไหน “
เป็นบทสนทนาไร้สาระที่ทำให้อี้เฟิงยิ้มออกมาได้ในหลายวัน
เพื่อนทั้งสี่คนมองมาที่อี้เฟิงก้ยิ้มออกบ้าง เห็นเพื่อนขาดเรียน ขาดซ้อมชมรม
แถมหน้าตาเป็นแพนด้าแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
สุดท้ายทั้งสี่คนก็ออกมาตามหาเมื่อเพื่อนหายหน้าหายตาไปนาน
วันแรกพวกเขาคิดว่าอี้เฟิงอาจแค่ตื่นสาย หรือไม่อยากมาเรียนด้วยความติสเฉพาะตัว
แต่พอวันหลัง ๆ หายไปไม่บอกเพื่อนฝูง แบบนนี้
ยิ่งอี้เฟิงของพวกเขาเป็นพวกคิดจิตตกง่าย ติสสุด ๆ
ก็เลยต้องตามหามาดูแลความเป็นความตายเพื่อนเสียหน่อย
พอสี่คนมองใบหน้าที่น่ารักอย่างตุ๊กตาของอี้เฟิง
(สี่คนนี้ก็มองเห็นอยู่นานแล้วว่าอี้เฟิงน่ารักเกินผู้ขายทั่วไปแต่ไม่มีทางจะหลงรักแน่นอนเพราะความเกรียนของอี้เฟิงไม่สามารถทำใจรับได้จริง )
ก่อนจะยกมือตบเข้าที่หัวอี้เฟิงทีละคนอย่างไม่ปรานีแรงกันเลย
จนอี้เฟิงต้องคค้อนใส่เพื่อนสนิทที่รักอย่างอาฆาต
“อะไรกันวะ”
พอเพื่อนสี่คนทำแบบนั้นอี้เฟิงก็เข้าใจว่าทำไม
ทั้งสี่คนก็เหมือนเพื่อนกินเพื่อนตายที่รู้ใจ มองกันไม่กี่นาทีก็รู้แล้วว่า
เพื่อนมีความทุกข์ และพวกมันก็รู้ว่า
“หัวใจแกต้องการการซ่อมแซม
อี้เฟิง”
“อือ”
“ร้องเพลงหน่อยมะ”
“ก็ดี”
และริมน้ำตรงนั้นก็กลายเป็นที่ตั้งของวงดนตรีขนาดย่อมให้ห้าหนุ่มร้องเอะอะกันเกือบทั้งคืน
OURSONG ~我們的歌 ~
“ไม่รับโทรศัพท์อีกแล้ว
“
หยางหยางกังวลเหลือเกินว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือ
ตลอดที่มาเข้าคัดเลือก
เก็บตัวและเข้าแข่งที่ต่างประเทศ หยางหยางก็หาทางโทรศัพท์หาอี้เฟิง
หรือส่งข้อความทางอื่นหาอีกฝ่ายตลอดเวลา แต่ไม่มีอะไรตอบกลับจากอี้เฟิงเลย
แม้แต่อีโมติค่อนซักตัว รุ่นพี่นึกถึงอีกคนว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี
หรือมีอะไรทำให้เขาไม่อยากรับโทรศัพท์ หรือไม่สามารถรับได้หรือไม่
หยางหยางก็แค่กังวลว่ามีอะไรเกิดขึ้น..หรือเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
แค่ไม่กี่วันจะเกิดอะไรที่เขาไม่รู้อย่างนั้นหรือ
OURSONG
~我們的歌 ~
อย่างน้อยก็ได้ระบายออกไป
อี้เฟิงกลับมาถึงห้อง
นอนผ่อนคลาย เมื่อเจอเพื่อน ๆ ที่ดี
เขาก็เหมือนได้รับของขวัญอีกอย่างจากสวรรค์เพื่อนดี ๆหาได้ไม่ง่ายนักหรอก
พอได้ระบายกับเจ้าพวกนั้น อี้เฟิงก็รุ้วึกเบาหัวใจขึ้นมาบ้าง
และได้เงี่ยหูฟังหัวใจตัวเองด้วย
“อี้เฟิง..แกต้องตั้งสติ
คิด แกจำได้มั้ย พี่เขามา’จีบ’ แกก่อน รุกแกมากขนาดนั้น “
“จากหลี่อี้เฟิงผู้ไม่เคยสะทกสะท้านคำหวานของใครเลยแต่เขาทำให้แกเป็นถึงขนาดนี้
แกต้องถามใจแก”
“ถามอะไร
ตอนนี้สมองตื้อ ไม่ประมวลอะไรแล้ว นอกจากหิว”
“เฮ้อ
ไอ้บ้าเอ๊ย แกเชื่อใจเขามั้ย แกรู้จักกับพี่ก่อนเรา สนิท
และเข้าไปนั่งในใจเขาพี่เขาแล้วด้วยซ้ำมั้ง
แกน่าจะนึกถึงเวลาช่วงที่แกอยุ่กับพี่เขา”
“สุดท้าย
ถามใจแกดูว่าพี่เขาเป็นอย่างไรสำหรับแก”
“ฟังหัวใจตัวเองซะ
หลี่อี้เฟิง”
นั่นเป็นบทสนทนาช่วงที่อี้เฟิงจดจำขึ้นใจได้มากที่สุด
ท่อนสำคัญคือ เจ้าพวกนั้นเน้นให้อี้เฟิงฟังเสียงหัวใจของตัวเองดูว่ารู้สึกเช่นไร
และให้ซื่อสัตัย์กับใจตัวเอง มีทิ้งท้ายกันไว้อีกว่า
ถ้าหากสรุปแล้วจะต้องเจ็บปวดมากจริง ๆ หรือจะออกเป็นผลดี อย่างไรมันก็คือประสบการณ์
อย่างน้อยก็รักให้เป็น
อี้เฟิงคิดว่าเจ้าพวกนี้เป็นศีราณีได้ไม่เลวเลย
ร่างของอี้เฟิงทอดยาวไปตามเตียงนอน
เขานั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ทำอะไรแบบนี้มาก็ล่วงเลยไปหลายวันแล้ว
พรุ่งนี้เขาจะกลับ
และอี้เฟิงคิดว่า
หากพรุ่งนี้มีโอกาส ได้พูดคุยกับรุ่นพี่ เขาจะพูดแต่ถ้าหากเมื่อเจอเขาแล้ว
อี้เฟิงไม่พร้อมอะไรเลยซักอย่าง เขาจะเดินหนีทันที
ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยกันแน่
อี้เฟิงก็หวั่นในใจ มือเรียวที่ไว้บรรเลงเพลงเสมอยกมาวางกุมไว้แน่นที่ที่เสมอหัวใจ
ใบหน้าหวานนิ่วหน้าเมื่อหัวใจเต้นสะดุด เจ็บหัวใจจัง...
มันไม่ใช่แค่ว่าหยางเกอมีคนอื่น
แต่คำว่าแต่งงาน มันมีอะไรมากมาย
จนทำให้อี้เฟิงแทบไม่กล้าเคลื่อนไหวอารมณ์หรือทำอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เลย
เธอคนนั้นแค่กลับมาทวงสิทธิ์ของเธอ ที่อี้เฟิงไปทับที่เขา คนเราอยู่ไกลก็อาจจะวอกแวก เผลอใจ
แต่ทำไมต้องมาเผลอใจกับหลี่อี้เฟิงคนนี้ล่ะวะ...
ถ้าหากเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
อี้เฟิงก็อยากหายตัวไปจากชีวิตของพี่เขาเลย
เขารู้ตัวแล้วว่ารักพี่ชายข้างห้องคนนี้มากเข้าและ
และหลงใหลในระดับที่ถอนหัวใจออกมาลำบาก อาจจะต้องใช้เวลาทำใจซักพักใหญ่ ๆ
เพราะทั้งเรื่องนี้ที่หญิงสาวในรูปมาบอกให้ฟัง
ทั้งระดับความรักของอี้เฟิงต่อรุ่นพี่ รวมทั้งท่าทีการแสดงออกของรุ่นพี่
รวมแล้วหนักหนามากเหลือเกิน
“เจ็บหัวใจจัง”
อี้เฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมา
หลังจากบ่นอยู่ในใจ น้ำตาจวนจะไหลอยู่แล้ว
เจ็บหัวใจจัง...ฟังดูแล้วหัวใจกำลังร้องไห้
แต่รักเขามากขนาดนี้...เชื่อใจไปแล้ว
อย่างน้อยก็ควรให้อีกฝ่ายได้พูด..ใช่มั้ย
แต่รักเขามากขนาดนี้...เชื่อใจไปแล้ว
อย่างน้อยก็ควรให้อีกฝ่ายได้พูด..ใช่มั้ย
OURSONG ~我們的歌 ~
เช้าวันใหม่ขึ้นมา
อี้เฟิงรู้ดีว่าอีกคน คนข้างห้องกำลังจะกลับมาแล้ว เขาสองจิตสองใจว่าวันนี้จะไปเรียนดีหรือไม่
เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมาดักรอหน้าห้องแน่นอน
หรืออะไรซักอย่างที่จะทำให้พบอี้เฟิงได้เร็ว ๆ
แต่กลับเป็นไม่เจอ
ไม่มีเงาของเขา..
หรืออาจจะเพราะเป็นไปได้ว่าเขาคิดว่าเรื่องที่ปิดบังไว้เปิดเผยออกมาแล้ว..ก็ดี
อี้เฟิงจะสรุปเองเลยแล้วกันว่ามันเป็นเรื่องจริง ถ้าวันนี้เราไม่เจอกัน
อี้เฟิงก็ไม่ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น จนกว่าเขาจะเดินเข้ามาหาเอง
“อี้เฟิง!”
อีกนิดเดียวก็จะกำลังตัดใจแล้วเชียว...
เสียงนี้อี้เฟิงไม่มีทางลืมแน่
ว่าเป็นเสียงของใคร ก็เพราะเจ้าของเสียงวนเวียนอยู่ในความคิดของหลี่อี้เฟิงผู้นี้มาเป็นอาทิตย์
จนในที่สุดเขากำลังจะพบหน้า
“อี้เฟิง..”
เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกไม่ยอมหันกลับไปหาคนที่เรียกอย่างร้อนใจ
เหมือนเขาเพิ่งไปวิ่งจนเหนื่อยหอบที่ไหนมา
แต่แววเหมือนโล่งใจว่าในที่สุดเจออี้เฟิง
“อี้เฟิง..จะไม่หันมาหาเกอหน่อยหรือ
เกอคิดถึงอี้เฟิงมากขนาดไหนรู้มั้ย”
มาถึงเจอกันก็พูดคำหวานใส่
....
ก็เป็นไปตามที่อี้เฟิงคิดว่าพอเจอรุ่นพี่หยางหยาง ..หยางเกอ เขาก็จะต้องเป็นแบบนี้ ฮึดฮัด แสดงอาการแสนงอนออกไปโดยไม่รู้ตัว และนี่อีกฝ่ายต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเขากำลังมีอะไรบางอย่างในใจ
อี้เฟิงก้าวออกไปข้างหน้าสวนทางกับเสียงเรียน
ใบหน้าหวานนิ่ว คิ้วยู่เป็นโบ ตัดสินใจแล้วว่า ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะฟัง
แต่มันก็ย้อนแย้งกับก่อนหน้าที่บอกตัวเองว่าเขาก็อยากให้รุ่นพี่มาเคลียร์กันตรง ๆ
นิสัยย้อนแย้งของอี้เฟิง
ขี้งอน เริ่มเอาแต่ใจ ก็เพราะเขาเริ่มมีความรัก..อี้เฟิงคิดเอาเองว่ามีความรักแล้วตัวเองจะงี่เง่า
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง
“อี้เฟิง
เดี๋ยวสิ”
หยางหยางวิ่งมาดักหน้าเอาไว้ทัน
โชคดีที่เขาเป็นนักกีฬาที่พอมีฝีมือและกำลังพอที่จะวิ่งไล่ตามที่คนที่เดินหนีอย่างเร็ว
จนเมื่อหันไปพบ และได้สบตาใบหน้าที่คิดถึงของอีกฝ่าย
แววตาเปลี่ยนไป....
“อี้เฟิง
...คิดถึงหยางเกอมั้ยครับ”
ที่จริงมีคำถามอีกเป็นร้อยคำถามที่อยากถามแต่หยางหยางเลือกคำถามที่ตรงใจและอยากรู้มากที่สุด
มือแกร่งยื่นไปข้างหน้าหวังเพื่อจะคว้ามือนุ่มนิ่มอีกฝ่ายเอาไว้ แต่อี้เฟิงกลับถอยหลังหนี
จนหยางหยางเลิกคิ้วแปลกใจ
“คิดถึง..แต่ไม่ใช่แบบอย่างที่หยางเกอคิด”
หยางเกอของอี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจจนแสดงสีหน้าออกมาชัดเจน เขารู้สึกเหมือนอี้เฟิงมีอะไรในใจ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขา
แววตาและท่าทางที่เปลี่ยนไป ปั้นปึ่ง แสนงอน แววตาที่ตัดพ้ออย่างที่สุดคอยส่งมาหาเขาตลอด
ใบหน้าน่ารักที่หยางหยางนอนฝัน
ตื่นมาก็คิดถึง
ตอนนี้เหมือนคนที่กำลังมีทุกข์มากแต่แสร้งว่ายังดี
ตอนนี้เหมือนคนที่กำลังมีทุกข์มากแต่แสร้งว่ายังดี
“อี้เฟิงครับ..”
“ครับ”
“ทำไมถึง.....”
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็
ช่วยกรุณาหลีกทางให้ผมผมจะไปเรียน”
“อี้เฟิง
เดี๋ยวสิ นี่เราจะไม่พูดดี ๆ กันหรือ”
“รุ่นพี่หยางหยางมีอะไรหรือครับ
ก็พูดมา ผม.....กำลังรอฟัง”
สรรพนามห่างเหิน
น้ำเสียงที่แข็งกระด้างขึ้นจากครั้งล่าสุดที่เราคุยกัน
ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการอย่างที่เคย อี้เฟิงของเขาเป็นอะไรไป
“ทำไมอี้เฟิงถึง...มีอะไรก็พูดกับหยางเกอดี
ๆ สิ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับไม่เป็นไร แต่รุ่นพี่เอาแต่ถามผมว่าเป็นอะไร มีอะไร
รุ่นพี่นั่นล่ะครับ มีหรือเปล่า”
อี้เฟิงยังไม่เลิกใช้สรรพนามห่างเหิน
รวมทั้งน้ำเสียงนั้นที่เหมือนยิ่งห่าง สายตาพัดพ้อ และใบหน้าที่เห็นอยู่ชัด
ๆว่าเจ็บปวด...เด็กคนนี้แสดงออกมาหมด ทีปากน่ารักเจื้อยแจ้ว ออกมาว่าไม่มีอะไร
ไม่เป็นไร
แต่ตัวเอง..สายตากลมโตสดมใสที่มีความหม่นหมองจากเรื่องในใจบอกมาชัดเจนว่าเจ็บปวดมาก
หัวใจของอี้เฟิงกำลังมีปัญหา
“อี้เฟิง..ไม่เป็นไร เราไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่มั้ย”
หยางหยางเลือกใช้คำถามที่ไม่เข้ากับสถานการณ์นัก
แต่เขาเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเพราะอาการเจ็บปวดยิ่งแสดงชัดเจนมากขึ้นเมื่อยิ่งพูดกับเขา
เขายอมให้เด็กคนนี้ไปนั่งสงบสติ
และหยางหยางอยากทำอะไรก็ได้ซักอย่างให้อี้เฟิงคนนี้มีรอยยิ้มน่ารักและแววตาสดใสที่คอยมองเขาอย่างร่าเริงกลับมาดังเดิม
เขาไม่สามารถทนเห็นคนคนนี้เป็นทุกข์ได้จริง ๆ
แบบนี้เหมือนหัวใจของหยางหยางถูกฉีกเป็นชิ้น
ๆ
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร
ถ้างั้นรุ่นพี่..ผมขอตัวไปเรียน”
“อี้เฟิง!”
“อ๊ะ”
หยางหยางไม่ทนความปั้นปึ่งของเด็กคนนี้
ทำเองก็เจ็บปวดเอง อาการแสดงออกมาให้เขาเห็นโต้ง
พอเห็นคนที่รักมากเป็นเช่นนี้หยางหยางยอมทำอะไรก็ได้บนโลกนี้
เพื่อแลกกับรอยยิ้มของหลี่อี้เฟิงคืนมา
"รุ่นพี่..ปล่อย”
“เรียกเหมือนเดิม
ใช้สรรพนามเหมือนเดิมก่อนได้มั้ยครับ แล้วเกอจะปล่อยให้เป็นอิสระ”
ก่อนที่อี้เฟิงจะก้าวเท้าเลยผ่านหน้าหยางหยางไป
เขาทนไม่ได้ที่เห็นท่าทีเย็นชาแต่อาการทุกอย่างบอกว่าทำแบบนี้มันเจ็บปวดมาก
หลี่อี้เฟิงเป็นเด็กที่โกหกไม่เก่งเลย ใบหน้าแสดงออกมา แววตาบอกทั้งหมดแบบนั้น
จะให้เขาปล่อยออกจากอกไปได้อย่างไร
“อี้เฟิง
ไม่สบายตรงไหน หรือเจ็บปวดตรงไหนมั้ย”
คนถูกถามที่โดนพันธนาการไว้ที่ช้อมือ อี้เฟิงถูกรั้งไว้ด้วยมือแกร่งของหยางหยาง
รั้งไม่ให้เดินผ่านเลยรุ่นพี่ไป เมื่อถูกถามแบบนั้น
มืออีกข้างที่ว่างก็ยกชี้ที่หัวใจตัวเอง โดยไม่พูดอะไรต่อ อี้เฟิงรู้ตัวเองดีว่า
ยิ่งมีความรัก ยิ่งรักมากเท่าไหร่ อี้เฟิงจะยิ่งงี่เง่า
นี่เป็นทฤษฏีที่อี้เฟิงได้ตั้งให้ตัวเอง พอชี้บอกความเจ็บปวดเสร็จสรรพ
หลี่อี้เฟิงก็ร้องไห้
หยางหยางงแทบนั่งทรุดลงไปกับพื้นตรงนั้น
เมื่อยิ่งเห็นน้ำตาของคนที่รักมาก เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเขาแน่นอนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องร้องไห้
เสียน้ำก็ยิ่งอยากทำให้ตัวเองเจ็บแทนอีกฝ่ายเป็นเท่าทวี
แต่หยางหยางก็ทำได้แค่เพียง
“อย่าร้องไห้นะ
คนเก่ง”
มืออีกข้างที่ว่างอยู่เหมือนกันอีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้พันธนาการอีกฝ่ายไว้
ยกไล้แก้มที่มีหยดน้ำตาเกาะอยู่ อี้เฟิงไม่ได้เบี่ยงหลบ
ปล่อยให้รุ่นพี่จัดการมันได้ตามใจ เมื่อหมดหยดน้ำตาหยดสุดท้าย
อี้เฟิงร้องไห้พอแล้ว หยางหยางปล่อยมืออีกคน และให้อี้เฟิงเป็นอิสระ
“เจ็บมากมั้ยครับ”
เป็นคำถามที่ถามด้วยความยากลำบากแต่
หยางหยางไม่รู้อะไรเลย จึงต้องถามออกไปตรง ๆ
“เจ็บมากเลย
ยิ่งที่หัวใจอี้เฟิงคนนี้ยิ่งเจ็บปวด...”
พูดจบสายตาที่ดูเศร้าสร้อยซึ่งมันสะสมมาตั้งแต่วันก่อนหน้านี้ที่ห่างจากหยางหยางไป
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น หยางหยางอยากจะเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้มากขึ้น
“คนเก่งของหยางเกอ
เล่าให้หยางเกอฟังหน่อยได้มั้ยว่ามีอะไร”
อี้เฟิงเม้มปากเหมือนไม่อยากบอกอะไร
เขาไม่อยากพูดจริง ๆ มันเหมือนมีอะไรตีกันยุ่งในหัว ถ้าพูดออกไป เรื่องการแต่งงานของรุ่นพี่เป็นเรื่องจริง
นั่นเหมือนเป็นเรื่องที่กรีดแทงหัวใจอี้เฟิง และนั่นก็ไม่สุภาพสำหรับสาวสวยคนนั้น
แต่ถ้าทุกอย่างไม่จริง อี้เฟิงคงดีใจมาก แต่อย่างไรดี..เขาไม่อยากพูด
อี้เฟิงไม่อยากเอ่ยอะไรเลย
เขากำลังสับสนมาก
“ไปหาอะไรดื่มกันริมน้ำมั้ย
หยางเกอ”
อี้เฟิงไม่ให้อีกฝ่ายพันธนาการไว้ด้วยมืออบอุ่น
เขาเดินนำมาที่ริมแม่น้ำสายเล็กที่อยู่ในไกลจากอพาร์เม้นท์เท่าไหร่นัก
อี้เฟิงตรงไปที่ตู้กดเครื่องกระป๋องเป็นที่แรก
หยางหยางอาสาออกเงินให้อี้เฟิงก็ปล่อยให้เขาทำตามใจ
มือของอี้เฟิงเลื่อนไปตั้งใจจะกดเครื่องดื่มมึนเมาแต่ก็โดนหยางหยางตีมือและกดเป็นน้ำผลไม้มาแทน
ส่วนเขาดื่มโคล่า โดนดุไปตามระเบียบ
ยิ่งพบความอบอุ่นที่คิดถึงในระยะใกล้แบบนี้
อี้เฟิงยิ่งสับสน ใจหนึ่งรักเขามาก แต่ความจริงมันก็ยังคาใจอยู่
รุ่นพี่ไม่มีอะไรจะบอกเขาจริง ๆ น่ะหรือ...
“เอาล่ะ
อี้เฟิง เรามาคุยกันตรง ๆ เลย”
หยางหยางลงนั่งลงตามหลังอี้เฟิงตรงริมน้ำ
ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่อี้เฟิงมาเล่นดนตรีเปิดวงกันวันก่อนกับเพื่อนสนิททั้งสี่คน
มือเรียวสวยกอบกุมกระป๋องน้ำผลไม้ เขายังไม่เปิดดื่มมัน
ก้มหน้าและไม่พูดอะไรอยู่นาน
คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ไม่กล้าถามออกไป ไม่ใช่ไม่อยากรู้ เขาอยากรู้มาก
แต่พอรู้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง...ความจริงนั้นจะกรีดแทงเขาขนาดไหนกัน
“หยางเกอ
คิดถึงผมมากขนาดไหน”
อี้เฟิงส่งคำถามที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ความคิดเลยออกไป
หยางหยางหันหน้ามามอง สีหน้าดูอึ้งนิดหน่อย และก็ตอบกลับมาด้วยแววตาตรงไปตรงมา
“คิดถึงมากเท่าที่คนคนหนึ่งจะคิดถึงใครคนหนึ่งได้ครับ”
อี้เฟิงเพิมแรงที่กอบกุมกระป๋องน้ำผลไม้มากขึ้น
เขาเริ่มกดดันตัวเอง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำไมถึงมีอาการหนักขนาดนี้
ถึงจะบอกว่าตัวเองอาจจะงี่เง่ามากแต่ตอนนี้มันงี่เง่าสุด ๆ ไปเลย
เหมือนเด็กที่กำลังหลงทาง สับสน เพราะความรักครั้งแรกนี้
“ผมถามเกอจริง
ๆ รักแรกของเกอเป็นใครกันแน่”
คำถามที่เริ่มเข้าเรื่องเริ่มมาคำถามแรก
หยางหยางสูดหายใจและตอบคำถามอี้เฟิง
แววตาเขาไมได้โกหก
อี้เฟิงสัมผัสได้
“หลี่อี้เฟิง.. นั่นเป็นความจริงแน่นอนครับอี้เฟิง
“
เขาไม่ได้โกหก
แต่เรื่องที่อี้เฟิงรู้มันช่างสวนทางกันมาก
อี้เฟิงเงียบไปอีกครั้ง เวลาตอนนี้ค่อนค่ำแล้ว
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงไฟข้างทางถูกเปิดสว่าง
โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไรนัก
“มีอะไรรบกวนหัวใจของอี้เฟิงใช่มั้ย ”
หลังจากอี้เฟิงเงียบและครุ่นคิดไปนาน
กลายเป็นหยางหยางที่ไถ่ถามขึ้นมาก่อน อี้เฟิงเม้มปาก หันหาต้นเสียง
ใบหน้าน่ารักนิ่วหน้าอยู่ เหมือนกับกำลังคิดหนักบางเรื่องซึ่งมีหลายเรื่องรวมกัน
และทันที่หยางหยางได้สบตาอี้เฟิงแค่ครู่เดียว
จูบน่ารักที่แผ่วเบาเหมือนขนนกประทับที่ริมฝีปากของหยางหยางอย่างทันท่วงทีและค้างไว้แบบนั้นครู่หนึ่ง
ก่อนถอนออกไป
“อี้เฟิง..”
“ที่เงียบไปเพราะผมกำลังฟังหัวใจตัวเองอยู่
และผมเลือกจะเชื่อใจหยางเกอ..”
แววตาหวั่นไหวที่วูบไหวของอี้เฟิงสะท้านสะท้อนแววตาส่งผ่านมาที่หยางหยาง
เขาอยากรู้จริง ๆ ว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายต้องคิดหนัก
และระแวงต่อความเชื่อใจที่มีต่อเขาได้ขนาดนี้
หยางหยางมั่นใจว่าก่อนหน้านี้เขาเข้าไปนั่งในใจรุ่นน้องที่รักคนนี้ได้แล้ว
แต่กระนั้นตอนนี้เขากำลังจะถูกไล่ออกแล้วอย่างนั้นหรือ?
“หยางเกอ
อี้เฟิงยังเชื่อใจหยางเกอได้อยู่ใช่มั้ย”
“แน่นอนอี้เฟิง
หยางเกอไม่เคยโกหกอี้เฟิง ทุกเรื่อง ไม่มีเลย โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีต่ออี้เฟิง
ไม่มีทางโกหก เกอบอกแล้วไง คนเราโกหกหัวใจตัวเองไม่ได้”
เสียงทุ้มสิ้นเสียงอี้เฟิงที่ก้มหน้ารับฟัง
ก็เงยหน้าขึ้นมาประทับจูบรุ่นพี่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูยาวนานกว่า
แต่มีความรุ้สึกมากมายที่อยู่ในรสจูบครั้งนี้
ในตำแหน่งที่อี้เฟิงจะต้องเงยหน้ามองรุ่นพี่ที่หลงรัก
แววตาของเขาน่าจะบอกรุ่นพี่ได้ดีว่าเขาหวาดหวั่นและหวั่นไหวมากแค่ไหน
อี้เฟิงไม่อยากใช้คำพูดอธิบาย มีใครหลายคนบอกว่าอี้เฟิงแสดงความรุ้สึกผ่านดวงตาได้ดี
และเขากำลังทำมัน
“อี้เฟิงเชื่อใจหยางเกอคนนี้ได้
เท่าที่ใครคนหนึ่งจะเชื่อใครอีกคนได้ เกอขอให้อี้เฟิงลองดู
เกอจะไม่พยายามให้อี้เฟิงไม่บังคับ อี้เฟิง..ลองฟังหัวใจตัวเองดู”
หยางหยางพูดยาว
ช้า ๆ และชัดถ้อยคำ ให้รุ่นน้องที่เขาแสนหลงใหลและรักสุดหัวใจได้ฟัง
...เขาฟังหัวใจตัวเองหลายครั้ง และพบว่าหัวใจบอกว่า หลี่อี้เฟิง คนนี้ล่ะที่ใช่
มองมานาน และไม่สามารถมองใครได้อีก
น้องเขาจะฟังหัวใจตัวเองและได้คำตอบว่าอย่าง
..ก็สุดแล้วแต่
อี้เฟิงยืดตัว
สูดลมหายใจลึก ๆ เขาสบตากับรุ่นพี่ครึงหนึ่ง และหันไปทางแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้า
ตะโกนออกไป
“ผมรักหยางเกอนะ....รักมากด้วย
จะยังไงก็แล้วแต่ ผมรักเกอมาก แม้หัวใจจะเจ็บ”
เขาตกใจที่เด็กคนนี้เป็นคนกล้ากว่าที่คิดไว้ระดับหนึ่ง
อี้เฟิงตะโกนความรู้สึกต่อตัวเขาออกมาดังลั่นแม้ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ก็อาจจะมีคนยได้ยินด้วยซ้ำ
หากผ่านมา หยางหยางรู้ขัดเขินเมื่อได้ยินความรุ้สึกตรง ๆ
จากอี้เฟิงเพราะก่อนหน้าอีกฝ่ายไม่เคยพูดอะไรออกมาเลย
ใบหน้าหวานนั่นเริ่มแดงตามมาเมื่อตะโกนเสร็จไม่รู้เพราะใช้แรงมากหรือเขินกัน
แต่เขารู้สึกขอบคุณที่อี้เฟิง..ฟังหัวใจตัวเอง..และได้คำตอบที่น่ารักนี้ออกมา
“อี้เฟิง..”
“ผมฟังหัวใจดูแล้วเป็นแบบนี้
ยังไงผมก็รักเกอ เป็นอย่างอื่นไมได้อีกแล้ว..แต่ผมก็ยังคงเจ็บที่หัวใจ
เพราะเรื่องราวที่..ได้ยิน”
หยางหยางรู้สึกถึงความหมายในประโยคแปลกประหลาดเกินไป
เด็กคนนี้ไปฟังอะไรจากใครมาแล้วคิดมากขนาดนี้ ใครทีทำให้เด็กคนนี้ไขว้เขวและนั่นทำร้ายความจริงใจของหยางหยางที่เขาอุตส่าห์หมั่นสร้างและฝากไว้ที่หัวใจของอี้เฟิง
อี้เฟิงมั่นใจในความรู้สึกว่ารักเขา
ถึงได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ความเชื่อใจกลับเหลือเกือบเป็นศูนย์..สวนทางกันเหลือเกิน
หยางหยางขบคิดอยู่นาน
ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“อี้เฟิง....
เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เกอไม่อยู่”
“หยางหยาง!”
เสียงใสทะลุกลางบรรยากาศของสองคน
ผู้มาใหม่กำลังมาเยือน อี้เฟิงวูบไหวในอกอีกครั้ง ...
“อาเยี่ยน?!”
รุ่นพี่รู้จักผู้หญิงคนนี้
แน่นอนก็มีรูปคู่กับเขาในห้องแบบนั้น ดู..รักใคร่กลมเกลียวกันดี
อี้เฟิงจะต้องออกจากตรงนี้ไปใช่มั้ย
“อาเยี่ยน..เธอ”
หยางหยางหันมาหาอี้เฟิงที่ลุกขึ้นยืนและเดินถอยหลังออกไปเรื่อย
ๆ
อา..นี่สินะ
เหตุผลที่ทำให้ดวงตาที่เขาหลงรักไม่สดใสและเจ็บปวด
“อาเยี่ยน......---
“
“ขอโทษด้วยว้อย!”
อยู่ ๆ
ผู้หญิงคนนี้ก็โค้งลงต่ำ และพูดขอโทษหยางหยางอย่างมาดแมนผิดกับหน้าตาสะสวย คนที่ถูกขอโทษและคนข้างกายอย่างอี้เฟิงตกใจเพราะเป็นคำขอโทษที่ค่อนดัง
เหมือนเสียงตะโกน อาจจะพอ ๆ กับที่อี้เฟิงตะโกนบอกรักหยางหยางผ่านแม่น้ำสายเล็กเมื่อครู่นี้
จนเมื่อผ่านไปนานผู้หญิงคนนนั้นก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาใคร
เพราะหยางหยางยังไม่อนุญาต และไม่พูดอะไร ตอนนี้เหตุการณ์กำลังชวนงงงวย
อี้เฟิงมองภาพนี้อย่างไม่เข้าใจ
“อาเยี่ยนเงยหน้ามา
และ อธิบายซะ----“
“ขอโทษ...ที่ทำให้ต้องระแวงกัน
ไม่รู้ว่ารักกันขนาดนี้”
ถังเยี่ยนขัดกลางปล้องอีกแล้ว
เธอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ทั้งสองคน หันมองหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างตกใจและประหลาดใจ
หยางหยางที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและอี้เฟิงที่กำลังว่าในเรื่องราวว่าเป็นอะไรอย่างไร
ถังเยี่ยนพูดต่อ
“
ขอโทษน้องอี้เฟิงด้วยที่ทำให้ต้องปวดใจ
แต่ถือว่าน้องกล้าและรักเพื่อนพี่สาวคนนี้มากจริง ๆ ทั้งที่พูดจาแรง ๆแบบนั้นไปแท้
ๆ เป็นพี่สาวคงร้องไห้แทบตาย คงจะโวยวาย ชวนทะเลาะและไม่มาถามอะไรกันมากความแล้วล่ะ”
หยางหยางหันมองถังเยี่ยนสลับกับอี้เฟิงที่กำลังงงเป็นแมวตกใจเขาเข้าไปหาอี้เฟิงและจับมือที่กำลังกำแน่น คว้ามือนั้นไว้และละทำให้อี้เฟิงผ่อนคลายความเครียด
โดยการลูบที่หลังมือ อี้เฟิงสงบลงนิดหน่อย
และเขาก็ลากมือให้เดินมาตรงหน้าถังเยี่ยน
“อาเยี่ยน
เธอทำอะไร”
“ก็..ทดสอบความเชื่อใจ..ก็อยากรู้ว่าน้องอี้เฟิงเขาเชื่อใจนายมากขนาดไหน...ซึ่งถ้าจะให้ผ่าน
ก็คือน้องเขาต้องไม่สนใจคำพูดของฉัน..และน้องอี้เฟิงก็สอบผ่าน”
อี้เฟิงยังคงงงจนทำตัวไม่ถูก
ใบหน้าหวานน่ารักขมวดคิ้วยุ่ง และทำหน้าตาไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า
ไม่เข้าใจอะไรเลย
“เดี๋ยวนะครับ..พี่สาวน่ะ...เอ่อ...”
อี้เฟิงชี้ไปที่แหวนวงสวยที่อยู่ทีนิ้วนางของซ้ายของเธอ
แล้วหันไปหาหยางหยางที่กำลังงงว่านี่เกิดอะไรขึ้น
“พี่สาวไม่ได้จะแต่งกับหยางหยางหรอก
..แต่ให้พูดก็..หยางหยางเป็นรักแรกของพี่สาวแต่มันก็นานเกินจะจำความกันมาเอาเรื่องกันตอนโต
“
ถังเยี่ยนสาวเท้าเข้ามาหาอี้เฟิง
ก่อนคว้ามือของอี้เฟิงไว้กำแน่น เหมือนให้กำลังใจ
“องอี้เฟิง คนที่เรารักเป็นคนที่ใช่
เขาทำให้เรามั่นใจว่าเขารักเรามาก หยางหยางแสดงออกมามาก
พี่รู้จากที่มีคนเล่าให้ฟังอ่ะนะ
หยางหยางมันเป็นคนจริงจังแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนที่ปฏิเสธพี่สาวก็จริงจัง
เรื่องรักแรกพี่สาวโกหก คนที่อยู่ในหัวใจมันก็คืออี้เฟิง”
ถังเยี่ยนพูดร่ายยาว
อี้เฟิงเบิกตา..ตอนนี้คิดว่ากับตะลึงความจริงที่ปรากฏ เขาทั้งโล่งอก ทั้งดีใจ
เหมือนภูเขาทั้งใบถูยกออกไปจากอก ความหนักหน่วงนั้นหายไป แต่กระนั้นก้ยังสงสัย
“แล้วทำไม??..”
“พี่ก็สงสัยว่า
คนที่ทำให้หยางหยางรักได้..ต้องเป็นคนอย่างไรกัน มาเจอหน้าอี้เฟิง พี่สาวก็สงสัยนะ
แต่ตอนที่เราคุยกันจำได้มั้ย น้องได้รับฟังเรื่องโกหกของพี่สาว แม้ตกใจ
หวาดหวั่นแต่ที่สายตาและอาการทั้งหมดนั้นน่ะ ลึก ๆแล้วพี่สาวรู้ว่า น้องอี้เฟิงยังไม่เชื่อที่พี่สาวพูด
จนกว่าจะถามเอาความจริงจากหยางหยาง “
ถังเยี่ยนคิดว่าจะต้องคุยกันยาว
เธอคว้ามือและดึงอี้เฟิงออกจากหยางหยางมา ชวนกลับไปนั่งที่ริมน้ำดังเดิม
“คนเราต้องเชื่อใจคนที่เรารัก
คำพูดของใครก็อย่าไปเชื่อ เขาไม่เคยทำตัวให้อี้เฟิงระแวงซักครั้งและแสดงความรักออกมาให้เห็น
ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยใช่มั้ยล่ะ อะ....อันนี้เดาเอา”
ถังเยี่ยนพูดจริงตบด้วยมุขเล็กน้อย
อี้เฟิงเม้มปากอย่างที่ติดนิสัย เขาพยักหน้าเพราะนั่นเป้นความจริง หยางหยาง
รุ่นพี่คนนี้รุกหนักเขาทั้งทีเพิ่งเจอกันครั้งแรก ความจริงใจแสดงผ่านสายตาออกมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ
เขาตั้งใจมารักอี้เฟิงจริง ๆ นั่นคือข้อความที่หยางหยางส่งมาหาอี้เฟิงตลอด
ทุกอย่างทุกการกระทำ บอกชัดเจนมาก แต่เขาไม่เคยเก็บมาพิจารณา
รู้แค่ว่าจริงจังแค่นไหนแต่อี้เฟิงก็ปล่อยให้มันผ่านไป
นั่นดูไม่แฟร์กับรุ่นพี่หรือเปล่านะ
“หยางหยางเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง
หัวใจนี่ก็คงเป็นเรื่องที่มันจริงจังที่สุด ถ้าสมมุตินะอี้เฟิง
ถ้าน้องเกิดเชื่อที่พี่สาวพูดแล้วมาตีโพยตีพายใส่หยางหยาง
พี่สาวอาจจะเดินมาตรงริมน้ำแล้วเตะน้องลงน้ำไปเลย แต่นี่น้องใจเย็นและมีสติ..อืม
ขี้ขโมยด้วย จูบเพื่อนพี่ไปสองครั้ง”
อี้เฟิงตาโต
แบบนี้แสดงว่าเธอก็อยู่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก
ใบหน้าหวานขึ้นสีเพราะความเขินทันที หยางหยางลงนั่งข้างอี้เฟิงอีกด้าน
มองดูอาการนี้อย่างเอ็นดู แต่เขายังเป็นผู้ต้องหาอยู่
ยังไม่ควรไปขัดขวางความสวยงามของบทสทนานี้
“ที่จริง ถ้าพี่สาวบอกว่าเป็นเรื่องจริง
อี้เฟิงจะทำให้จูบนั้นเป็นจูบลาสินะ”
“ก็คิดไว้แบบนั้นครับ”
“แต่อี้เฟิงก็จับไต๋อะไรซักอย่างได้ใช่มั้ยล่ะ
ว่าเรื่องที่พี่สาวโกหกว่าจะแต่งงานกับหยางหยางมันน่าสงสัย”
หยางหยางแทบสำลักน้ำโคล่าที่เพิ่งดื่มเข้าไป
เอนตัวมาหาถังเยี่ยนแล้วเอามือฟาดเข้าที่หัวถังเยี่ยนเบา ๆ
“ถึงจะสนิทกันแต่ไม่ควรมาแกล้งกันแบบนี้สิ
อาเยี่ยน”
“ก็คิดมุขไม่ออกอ่ะ
มันอยู่ในบทละครที่จะเล่นเดือนหน้า ผ่านเข้าหัวมาพอดี”
“ยัยบ้าเอ๊ย...”
อี้เฟิงมองสองคนเถียงกันข้ามหน้าข้ามตาเขา
ก็ยิ้มขำ อี้เฟิงไม่ระแวงกับความเป็นเพื่อนที่ดีของทั้งสองคนหรอก
เขาสัมผัสบรรยากาศรอบข้างเก่างเพราะเป็นนักดนตรีต้องสัมผัสให้ไวกับเรื่องพวกนี้
สองคนนี้เป็นเพื่อนกันอย่างแท้จริง
“เอาจริง ๆ
ผมเข้าใจนิสัยหยางเกอนะ เขาจริงจังกับผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
ผมเชื่อใจเขาต่อมาไม่นานจากนั้น และรู้ว่าเขาจะไม่มีวันทำให้ผมเสียใจหลังจากนั้นต่อมา
แต่..ผมเองก็ต้องฟังเสียงหัวใจของผมให้ชัดด้วย”
คำสารภาพที่ออกจากริมฝีปากน่ารักออกมาจนครบประโยค
หยางหยางก็คว้ามืออีกคนไปกอบกุม
และฝังจมูกของเชยชมความนุ่มนิ่มที่มือของอี้เฟิงอย่างคิดถึง
พอถังเยี่ยนเห็นก็บ่ายหน้าหนีไม่มองแถมยังบอกหมั่นไส้เสียอีก
“หยางเกอ
ทำให้ผมเชื่อใจนั่นก็จริง แต่เรื่องของคนสองคน ประเด็นแต่งงานมันใหญ่มาก
ถ้าหยางเกอมาหลอกผม ..ยังไงดี ผมว่าสุดท้ายเขาต้องทำให้ผมแคลงใจซักครั้งหนึ่งแน่
แต่ทุกอย่างที่หยางเกอทำ มันไม่มีอะไรที่ทำให้ผมสงสัยในความจริงใจของเขาได้เลย”
ถังเยี่ยนเบ้หน้าอีกครั้ง
ทีนี้ไม่ใช่ใส่หยางหยาง แต่เป็นอี้เฟิงแทน
“เฮ้อ
ฉันชักเบื่อคู่รักคู่นี้และ รู้งี้แกล้งให้นานกว่านี้ ร้องไห้ให้ขี้มูกโป่งไปเลย นี่ถ้าไม่เห็นแก่คุณนายหยาง ที่เอ็นดูอี้เฟิงขนาดหนัก
จะแกล้งให้หนักนานกันนี้เชียว”
“เอ๋?”
ถังเยี่ยนลุกขึ้นยืนแล้วฉุกมือสองคนให้ยืนขึ้นพร้อมกัน
เธอยิ้มสวยหวานให้ทั้งคู่
“แม่นายโครตชอบน้องอี้เฟิงเลย
อยากจะบอก แต่ฉันไม่มั่นใจว่าน้องเขาเป็นคนยังไงเลยมาเทสดูและพบว่าน่ารักกว่านายพันเท่า
หยางหยางถ้าแกทำน้องเขาเสียใจ และเสียแรงที่เขาเชื่อใจและรักนายมากขนาดนี้ นายตายแน่”
ถังเยี่ยนยิ้มหวานกว่าเดิมแถมยกมือหยิกแก้มอี้เฟิงอย่างเอ็นดู
เคยได้ยินจากบรรดาพ่อแม่และคนรอบตัวว่า อี้เฟิงมีความสามารถพิเศษในการทำให้รอบข้างเอ็นดูได้อย่างประหลาด
ไม่เคยเข้าใจมันจนถึงตอนนี้ มันเป็นแบบนี้หรอ
“เสียดายที่พี่สาวจะแต่งงานกับแฟนซะแล้วไม่งั้นจะมาแย่งน้องอี้เฟิงกับไอบ้าหยางนี่”
พูดจบก็หันไปทางหยางหยาง
เธอเบ้หน้าใส่เพื่อนรักอีกแล้ว ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ ก่อนจะยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
เพื่อนก็ย่อมเป็นเพื่อน
“พี่สาวมีรักแรกเป็นหยางหยาง
แต่รักแรกของหยางหยางเป็นน้องอี้เฟิง..พี่สาวฝากเขาด้วย”
ถังเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอีกระดับซึ่งแตกต่างกับเมื่อก่อนหน้านี้
หยางหนางนิ่วหน้าพลางถอนหายใจ เพราะหยางหยางรู้เรื่องนี้ดี ที่เธอเลือกจากไป
ก็เพราะหยางหยางไม่สามารถตอบรับความหวังดีในเรื่องนี้ของเธอได้
“ขอบคุณครับพี่
ผมจะดูแลเขาดี ๆ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง
หยางเกอจะเป็นที่ผมรักมากที่สุดรองจากพ่อแม่แน่นอน”
ฟังคำยืนยันนพาซื่อของอี้เฟิง
ถังเยี่ยนก็หัวเราะดังขึ้นมา ตบบ่าน้องว่าเป็นเด็กที่พูดตรงและน่ารัก
ซื่อเกินไปเสียอีกต่างหาก แต่อย่างไรเธอก็ยอมรับแล้วว่าคนคนนี้จะดุแลคนแรกและเพื่อนรักที่สุดของเธอได้
“ว่าไปฉันหมั่นไส้ความรักของนายสองคนจริง
ๆ ขอซักทีเหอะ”
ถังเยี่ยนดึงมือสองคนให้เดินตามเธอมาตรงริมน้ำ
“เห้ย!”
********************************************************************************************TBC 9
ดราม่าแบบนี้แหละ
ที่เป็นกลิ่นแบบ OURSONG
เรื่องราวในเรื่องมีส่วนที่เป็นประสบการณ์ที่เคยเป็นทีปรึกษาให้เพื่อนน่ะค่ะ
การเชื่อใจต่อคนรักสำคัญมากเลยนะ
ถ้าหากว่าเรารักใครและอีกคนแสดงออกมา
ออกมามากกกว่าเขาจริงจังกับเรามากขนาดไหน
ความเชื่อใจตรงนี้
เราก็ควรเก็บมาคิดน่ะค่ะ
'คนสองคนคุยกันด้วยใจว่าคนนี้แหละใช่'
คำพูดของคนอื่น
vs คำพูดของคนที่เราเชื่อ มันก็มีหนักต่างกันแล้ว
แต่สมัยนี้คนหลอกลวงเยอะจัง
นั่นก็ต้องวัดใจกันตรงความจริงใจของอีกฝ่าย
แต่ถ้ารักกันจริง
ๆแค่แววตาจะดูออกค่ะว่า ความเป้นจริงคืออะไร
ก็อย่างนี้ล่ะเนอะ
ความรัก
ขอบคุณสำหรับการติดตามมาจนถึงตรงนี้
แม่แมว
ชอบตอนนี้มากๆค่ะ ชอบที่เฟิงมีเหตุผล ไม่ตีโพยตีพาย ถ้าเฟิงโวยวายอาจจะทำให้เรื่องเหมือนกับนิยายเรื่องอื่นๆ ที่โดนเป่าหูแล้วเชื่อคนซะงั้น และมันจะน่าหงุดหงิดมากๆเลย.... มันต้องอย่างงี้! ตามความคิดเราถ้าคู่รักที่เป็นชายชาย สิ่งสำคัญที่ต้องมีนอกจากความรัก คือเหตุผลและความเชื่อใจ ทำให้เราชอบตอนนี้มากๆเลยค่ะ ฮือ
ตอบลบคาร์แรกเตอร์ที่ทรงค่า รักตัวละครนิสัยแบบนี้ที่สุด ยิ่งอ่านยิ่งเอ็นดูพ่อคุณเอ๊ยอย่าให้เจอคนแบบนี้นะจะกอดรัดเลยเฟิงคนติสท์ ทั้งสองคนชัดเจนดี แล้วก็พูดไม่ถูกดีจังที่มีตัวละครคาร์แบบนี้อ่านแล้วไม่หงุดหงิด เพื่อนๆก็น่ารักชะมัดเลย
ตอบลบเป็นเรื่องที่บรรยากาศดีเพลินมากกกกกก