วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

[FIC] OURSONG ~我們的歌 ~ หยางเฟิง / เพลงที่ 8





[FIC] OURSONG ~我們的歌 -- หยางเฟิง / เพลงที่ 8
Pairing :: หยางหยาง x หลี่อี้เฟิง
Rating :: PG


เพลงที่แนะนำให้ฟัง :: ฟังหัวใจตัวเอง -  มาช่า วัฒนพาณิช
"อยู่ที่ฉันอยู่ที่เธอ ไม่ใช่ใครที่ไหน แค่เพียงสบตาก็รู้หัวใจ ว่าเรานั้นรักกัน" ***************************************************************************************









ฉันชื่อถังเยี่ยน เป็นคู่หมั้นของหยางหยาง และหลังเรียนจบเราก็จะแต่งงานกัน ทีนี้ รักแรกที่เขาวาดฝันไว้ให้เธอ ปล่อยให้มันสลายไปได้แล้ว เด็กโง่เอ๊ย




อี้เฟิงทวนซ้ำประโยคนี้หลาย ๆ ครั้งในใจ เพราะเป็นประโยคที่ติดใจ และแทงใจที่สุดเท่าที่เขาฟังจากหญิงสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนนั้น เขามีความจำไม่ดีนักแต่จำได้แน่นอนว่าจะต้องเคยเห็นเธอจากที่ไหนซักที่



แต่ที่แน่นอนก็คือ เธอคนนี้เกี่ยวข้องกับรุ่นพี่หยางหยางแน่นอน
นั่นคือความปวดใจอย่างแรกของหลี่อี้เฟิง



เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ คู่หมั้น? แต่งงาน ?



สุดท้ายแล้ว เขา เป็นแค่คนที่มีไว้เพื่อคั่นเวลาให้คนคนนั้นได้เล่นสนุกอย่างนั้นหรือ ทำให้หัวใจของคนอื่นเป็นทุกเป็นร้อนเช่นนี้ เขามีความสุขหรือ ?







หลังจากได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นมาล่วงเวลาก็สามสี่วัน อี้เฟิงเงียบลงและใช้ความคิด กับเรื่องราวเหล่านั้น  อี้เฟิงไปชมรมน้อยลง ไปเรียนบ้าง หากมีพลังและความคิดอยากจะไป ตอนนี้กลายเป็นเด็กไม่ดีนิดหน่อยแล้ว แต่เขาไม่มีความอยากทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากนั่งคิดเรื่องนี้




อาจจะเพราะเป็นความรักครั้งแรกที่รู้สึกจริงจังมากด้วยล่ะมั้ง... แต่เพราะนั่นน่ะ เพราะว่า....... อีกฝ่ายก็ ดูเหมือนจะ จริงจังกับเขาด้วยเหมือนกัน นั่นล่ะทำให้หลี้อี้เฟิงคนนี้เผลอจริงจังตาม หัวใจก็จริงจังแล้วด้วย รักเขาจริงจัง




แต่ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดมันจะกลับตาลปัตร กลายเป็นว่าทุกอย่างนั้นรุ่นพี่หยางหยางคนนั้นก็แค่สร้างบรรยากาศแห่งความรักระหว่างเขาสองคนขึ้นมา ให้ได้เคลิบเคลิ้ม หลงใหล สุดท้ายเขาก็แค่สนุก..และทิ้งมันไป





ใจสลาย.... นั่นก็คงบ่งบอกสภาพของหัวใจอี้เฟิงดีที่สุด





คิดไปอยู่สามสี่อี้เฟิงยกมือกุมหัวใจที่เต้นอยู่ใต้หน้าอกอยู่ตลอด เขารู้สึกหนักหน่วงมากจริง ๆ  คิดเรื่องนี้ ยิ่งคิดยิ่งทำอะไรไม่ถูก




“เฮ้อ”




ไม่ใช้รอบที่ 10 ที่อี้เฟิงถอนหายใจแรงมากแบบนี้ อาจจะนับเป็นร้อยรอบแล้วก็ได้  อี้เฟิงเอื้อมมือไปคว้ามือถือ แล้วก็พลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น วอลเปเปอร์ของอี้เฟิงเป็นรูปตัวการ์ตูนทั่วไป ความสนใจมันไม่ได้อยู่ตรงรูปนั้นแต่เป็นมิสคอลกับข้อความของรุ่นพี่ที่ส่งมา แม้ไม่เยอะ นั้นอาจจะเพราะว่าเขาอยู่ในระหว่างการเก็บตัวนักกีฬาและระหว่างการแข่ง คงจะหาเวลามาโทรมาส่ง แต่ถ้าอี้เฟิงรับสายหรือตอบกลับไป คุยกันซักสองสามคำ เขาจะต้องถามกลับไปแน่ สำหรับเรื่องที่เขาสงสัยอยู่ อย่างน้อยก็ไม่อยากทำให้อีกคนต้องมาวุ่นวายใจกับเรื่องนี้ คิดว่าควรจะคุยจริงจังเมื่อหลังอีกฝ่ายกลับมาและ ทำให้มันชัดเจนตอนนั้นไปเลย





จะเจ็บจะแยกกันหรือจะรักกันต่อไป ก็อยู่ ณ เวลาตอนนั้น ให้ใจสลายก็เป็นครั้งนั้นครั้งเดียวเลยแล้วกัน








ผู้หญิงคนนั้น..อี้เฟิงคิดออกแล้วว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่ในรูปที่รุ่นพี่หยางหยางกำลังจะพูดแนะนำ แต่อี้เฟิงพูดขัดและบอกให้พอ ...อืมนี่ล่ะ ที่เขาคิดคลาแคลงใจว่าที่จริงรุ่นพี่เขาก็จะพูดออกมา แต่กลับเป็นเขาเสียเองที่พูดขัดพี่เขาไป




ถ้ารุ่นพี่หยางหยางพูดต่อ เขาจะพูดว่าอะไร.. ความจริง หรือคำโกหก





อี้เฟิงไม่รู้ว่าสิ่งไหนเป็นจริงหรือโกหก เขาแค่เล่นสนุกหรือจริงจังกับเรื่องราวระหว่างเขาสองคนมากแค่ไหน
แม้จะไม่อยากเชื่อคำพุดของสาวสวยคนนั้น ...แต่ความจริงและ อี้เฟิงเห็นแหวนวงสวยบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอด้วย แต่รุ่นพี่หยางหยางไม่มี


ยิ่งทำให้อี้เฟิงปวดหัวใจหนักขึ้นเมื่อคิดถึงมัน





“ไปเดินสูดอากาศให้หัวโล่งหน่อยแล้วกัน”







พอพูดจบอี้เฟิงก็เดินก้าวออกไป และไม่ลืมจะคว้าลูกรัก กีตาร์ตัวโปรดไปด้วย เขาสะพายมันไปด้วย และเดินทอดน่องออกจากอพาร์เมนท์ที่พักไป พี่ยามหน้าหอ ทักททายว่าไม่ค่อยเห็นหน้าช่วงที่ผ่าน อี้เฟิงตอบไปตามความจริงว่าไม่ค่อยสบาย แต่ก้ไม่ได้ระบุให้ชัดหรอกว่าเป็นตรงหัวใจ พี่ยามไม่ลืมที่จะส่งของกินให้เป็นขนมนมเนยตามที่เคยให้ก่อนหน้านี้ พี่แม่บ้านเองก็มาสมทบและให้น้ำส้มกระป๋องมาด้วย





พอเห็นของกินกับเครื่องดื่มในมืออี้เฟิงก็เลิกล้มความคิดจะไปหาอะไรมึนเมามาดื่มให้ลืม





ให้พูดแล้วอี้เฟิงก็อยากกเมา ให้ลืมความรู้สึกปวดใจไปซักครู่หนึ่งก็ยังดี แต่สุดท้ายก็ไม่เลือกจะดื่มมัน อี้เฟิงไม่ใช่นักดื่มที่ดีเท่าไหร่ ดื่มเมื่อจำเป็นและโอกาสสำคัญเท่านั้น เขาแตะปากเพียงสามสี่จิบก็ล้มฟุบ แบบนั้นก็ไม่ต้องเดินกลับหอ และได้นอนตากอากาศเย็น ๆ ที่สวนสาธารณะแถวนี้แน่





“อืม”





ริมฝีปากที่เริ่มแห้งแตก เพราะขาดการดูแลบำรุง อี้เฟิงแลบลิ้นเลียริมฝีปากให้ดีขึ้น เขาเปิดฝากระป๋องน้ำส้มยกดื่มไปครึ่งค่อนกระป๋อง และทรุดตัวลงนั่งตรงริมแม่น้ำเส้นเล็ก ๆ ที่เขาชอบมานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่งเพลงบ้างหากมีอารมณ์และความตั้งใจ แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เพลง คำพูดซักพยางค์อี้เฟิงยังนึกไม่ออก ในหัวตีกันยุ่งไปหมด แทบไม่อยากพูดกับใคร เพราะในหัวมีแต่เริ่มเดิม ๆ ที่คิดมากจนกลายเป็นคนคิดไม่ตก คิดว่าถ้าอี้เฟิงส่องกระจก ตาคงจะโหลเป็นแพนด้าแข่งสู้กับแพนด้าที่บ้านเกิดเฉิงตูเลย






เรียวนิ้วสวยที่คล่องมือกับการบรรเลงเพลงด้วยกีตาร์เริ่มคอร์ดแรก ก็ไปไม่เป็นเสียแล้ว เขาไม่มีแรงจับคอร์ดอาจเพราะไม่ได้กินอะไรเป็นอย่างเป็นมื้อ กินแค่ของในห้องกับของกินที่ได้ติดมาจากคนอื่น อยากเล่นเพลงซักเพลงใจจะขาด แต่นึกคอ์รดไม่ออกซักเพลง แต่กลับมามีเพลงที่เขานึกออกอยู่เพลงเดียว แม้จะแค่ท่อนเดียวก็ตาม







แค่ฮุ๊คท่อนเดียวที่อี้เฟิงนึกคอร์ดออก ลองรวบรวมแรงดีดไปสองสามทีก็เลิกก มือเขาอ่อนแรง ยิ่งเมื่อนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เจอรุ่นพี่หยางหยางเข้าแล้วก็ยิ่งอาการหนัก ใบหน้าหวานยู่และขมวดคิ้วหนักขึ้น ซบใบหน้าลงกับกีตาร์











“อี้เฟิง แกอย่ากระโดดน้ำนะเว้ย มีไรอยู่พูดกันดี ๆ ก่อน “





อี้เฟิงรู้ดีว่าว่าใครร้องเรียกชื่อและพูดจากวนบาทาแบบนี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเขา จิ้งฝู ไอบ้านี้เป็นคนที่กวนประสาทอี้เฟิงมาก แต่ก็รู้ได้ว่ามันก็รักเพื่อนมาก..แต่ก็ตามประสาวิธีของมัน เขาเงยหน้ามาดูต้นเสียง เพื่อนของเขาสี่คน มานั่งล้อมรอบและวางเสบียงไว้ข้างตัว และมานั่งห้อยขาริมน้ำด้วยกันเป็นห้าหนุ่มริมน้ำ






“แกดูแย่ว่ะ อี้เฟิง”
“เออ พอรู้ตัว”
“แกจะลาออกจากการเป็นหลี่อี้เฟิงไปเป็นหมีแพนด้าแล้วเรอะ ตางี้โหลดำเชียว”
“ไอบ้าเอ๊ย”
“ผอมลงขนาดนี้ สวนสัตว์ไม่รับหรอกว่ะ”
“เห็นด้วย เอานี่ ของกินของโปรดแกหมดเลยนะเว้ย  เอาไปกินซะ”
“แต่ว่ากรุณาแบ่งพวกเราด้วย ห้ามยัดไปทั้งหมดถุงนี่ ไม่งั้นแกจะได้ลงไปลอยในน้ำ”
“รู้แล้ว คนนะเว้ย กินเวอร์ขนาดนั้นได้ที่ไหน “






เป็นบทสนทนาไร้สาระที่ทำให้อี้เฟิงยิ้มออกมาได้ในหลายวัน เพื่อนทั้งสี่คนมองมาที่อี้เฟิงก้ยิ้มออกบ้าง เห็นเพื่อนขาดเรียน ขาดซ้อมชมรม แถมหน้าตาเป็นแพนด้าแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง สุดท้ายทั้งสี่คนก็ออกมาตามหาเมื่อเพื่อนหายหน้าหายตาไปนาน วันแรกพวกเขาคิดว่าอี้เฟิงอาจแค่ตื่นสาย หรือไม่อยากมาเรียนด้วยความติสเฉพาะตัว แต่พอวันหลัง ๆ หายไปไม่บอกเพื่อนฝูง แบบนนี้ ยิ่งอี้เฟิงของพวกเขาเป็นพวกคิดจิตตกง่าย ติสสุด ๆ ก็เลยต้องตามหามาดูแลความเป็นความตายเพื่อนเสียหน่อย



พอสี่คนมองใบหน้าที่น่ารักอย่างตุ๊กตาของอี้เฟิง (สี่คนนี้ก็มองเห็นอยู่นานแล้วว่าอี้เฟิงน่ารักเกินผู้ขายทั่วไปแต่ไม่มีทางจะหลงรักแน่นอนเพราะความเกรียนของอี้เฟิงไม่สามารถทำใจรับได้จริง  ) ก่อนจะยกมือตบเข้าที่หัวอี้เฟิงทีละคนอย่างไม่ปรานีแรงกันเลย จนอี้เฟิงต้องคค้อนใส่เพื่อนสนิทที่รักอย่างอาฆาต



“อะไรกันวะ”





พอเพื่อนสี่คนทำแบบนั้นอี้เฟิงก็เข้าใจว่าทำไม ทั้งสี่คนก็เหมือนเพื่อนกินเพื่อนตายที่รู้ใจ มองกันไม่กี่นาทีก็รู้แล้วว่า เพื่อนมีความทุกข์ และพวกมันก็รู้ว่า



“หัวใจแกต้องการการซ่อมแซม อี้เฟิง”
“อือ”
“ร้องเพลงหน่อยมะ”
“ก็ดี”







และริมน้ำตรงนั้นก็กลายเป็นที่ตั้งของวงดนตรีขนาดย่อมให้ห้าหนุ่มร้องเอะอะกันเกือบทั้งคืน






  OURSONG ~我們的歌 ~








“ไม่รับโทรศัพท์อีกแล้ว “




หยางหยางกังวลเหลือเกินว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือ




ตลอดที่มาเข้าคัดเลือก เก็บตัวและเข้าแข่งที่ต่างประเทศ หยางหยางก็หาทางโทรศัพท์หาอี้เฟิง หรือส่งข้อความทางอื่นหาอีกฝ่ายตลอดเวลา แต่ไม่มีอะไรตอบกลับจากอี้เฟิงเลย แม้แต่อีโมติค่อนซักตัว รุ่นพี่นึกถึงอีกคนว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี หรือมีอะไรทำให้เขาไม่อยากรับโทรศัพท์ หรือไม่สามารถรับได้หรือไม่





หยางหยางก็แค่กังวลว่ามีอะไรเกิดขึ้น..หรือเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป




แค่ไม่กี่วันจะเกิดอะไรที่เขาไม่รู้อย่างนั้นหรือ











  OURSONG ~我們的歌 ~







อย่างน้อยก็ได้ระบายออกไป



อี้เฟิงกลับมาถึงห้อง นอนผ่อนคลาย เมื่อเจอเพื่อน ๆ ที่ดี เขาก็เหมือนได้รับของขวัญอีกอย่างจากสวรรค์เพื่อนดี ๆหาได้ไม่ง่ายนักหรอก พอได้ระบายกับเจ้าพวกนั้น อี้เฟิงก็รุ้วึกเบาหัวใจขึ้นมาบ้าง



และได้เงี่ยหูฟังหัวใจตัวเองด้วย












“อี้เฟิง..แกต้องตั้งสติ คิด แกจำได้มั้ย พี่เขามาจีบ แกก่อน รุกแกมากขนาดนั้น “
“จากหลี่อี้เฟิงผู้ไม่เคยสะทกสะท้านคำหวานของใครเลยแต่เขาทำให้แกเป็นถึงขนาดนี้ แกต้องถามใจแก”
“ถามอะไร ตอนนี้สมองตื้อ ไม่ประมวลอะไรแล้ว นอกจากหิว”
“เฮ้อ ไอ้บ้าเอ๊ย แกเชื่อใจเขามั้ย แกรู้จักกับพี่ก่อนเรา สนิท และเข้าไปนั่งในใจเขาพี่เขาแล้วด้วยซ้ำมั้ง แกน่าจะนึกถึงเวลาช่วงที่แกอยุ่กับพี่เขา”
“สุดท้าย ถามใจแกดูว่าพี่เขาเป็นอย่างไรสำหรับแก”
“ฟังหัวใจตัวเองซะ หลี่อี้เฟิง”








นั่นเป็นบทสนทนาช่วงที่อี้เฟิงจดจำขึ้นใจได้มากที่สุด ท่อนสำคัญคือ เจ้าพวกนั้นเน้นให้อี้เฟิงฟังเสียงหัวใจของตัวเองดูว่ารู้สึกเช่นไร และให้ซื่อสัตัย์กับใจตัวเอง มีทิ้งท้ายกันไว้อีกว่า ถ้าหากสรุปแล้วจะต้องเจ็บปวดมากจริง ๆ หรือจะออกเป็นผลดี อย่างไรมันก็คือประสบการณ์ อย่างน้อยก็รักให้เป็น





อี้เฟิงคิดว่าเจ้าพวกนี้เป็นศีราณีได้ไม่เลวเลย


ร่างของอี้เฟิงทอดยาวไปตามเตียงนอน เขานั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ทำอะไรแบบนี้มาก็ล่วงเลยไปหลายวันแล้ว





พรุ่งนี้เขาจะกลับ







และอี้เฟิงคิดว่า หากพรุ่งนี้มีโอกาส ได้พูดคุยกับรุ่นพี่ เขาจะพูดแต่ถ้าหากเมื่อเจอเขาแล้ว อี้เฟิงไม่พร้อมอะไรเลยซักอย่าง เขาจะเดินหนีทันที







ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยกันแน่ อี้เฟิงก็หวั่นในใจ มือเรียวที่ไว้บรรเลงเพลงเสมอยกมาวางกุมไว้แน่นที่ที่เสมอหัวใจ  ใบหน้าหวานนิ่วหน้าเมื่อหัวใจเต้นสะดุด เจ็บหัวใจจัง...  มันไม่ใช่แค่ว่าหยางเกอมีคนอื่น แต่คำว่าแต่งงาน มันมีอะไรมากมาย จนทำให้อี้เฟิงแทบไม่กล้าเคลื่อนไหวอารมณ์หรือทำอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เลย เธอคนนั้นแค่กลับมาทวงสิทธิ์ของเธอ ที่อี้เฟิงไปทับที่เขา  คนเราอยู่ไกลก็อาจจะวอกแวก เผลอใจ




แต่ทำไมต้องมาเผลอใจกับหลี่อี้เฟิงคนนี้ล่ะวะ...




ถ้าหากเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องจริง อี้เฟิงก็อยากหายตัวไปจากชีวิตของพี่เขาเลย เขารู้ตัวแล้วว่ารักพี่ชายข้างห้องคนนี้มากเข้าและ และหลงใหลในระดับที่ถอนหัวใจออกมาลำบาก อาจจะต้องใช้เวลาทำใจซักพักใหญ่ ๆ เพราะทั้งเรื่องนี้ที่หญิงสาวในรูปมาบอกให้ฟัง ทั้งระดับความรักของอี้เฟิงต่อรุ่นพี่ รวมทั้งท่าทีการแสดงออกของรุ่นพี่ รวมแล้วหนักหนามากเหลือเกิน




“เจ็บหัวใจจัง”



อี้เฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมา หลังจากบ่นอยู่ในใจ น้ำตาจวนจะไหลอยู่แล้ว





เจ็บหัวใจจัง...ฟังดูแล้วหัวใจกำลังร้องไห้
แต่รักเขามากขนาดนี้...เชื่อใจไปแล้ว





อย่างน้อยก็ควรให้อีกฝ่ายได้พูด..ใช่มั้ย








  OURSONG ~我們的歌 ~

















เช้าวันใหม่ขึ้นมา อี้เฟิงรู้ดีว่าอีกคน คนข้างห้องกำลังจะกลับมาแล้ว เขาสองจิตสองใจว่าวันนี้จะไปเรียนดีหรือไม่ เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมาดักรอหน้าห้องแน่นอน หรืออะไรซักอย่างที่จะทำให้พบอี้เฟิงได้เร็ว ๆ





แต่กลับเป็นไม่เจอ ไม่มีเงาของเขา..




หรืออาจจะเพราะเป็นไปได้ว่าเขาคิดว่าเรื่องที่ปิดบังไว้เปิดเผยออกมาแล้ว..ก็ดี อี้เฟิงจะสรุปเองเลยแล้วกันว่ามันเป็นเรื่องจริง ถ้าวันนี้เราไม่เจอกัน อี้เฟิงก็ไม่ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น จนกว่าเขาจะเดินเข้ามาหาเอง










“อี้เฟิง!







อีกนิดเดียวก็จะกำลังตัดใจแล้วเชียว...








เสียงนี้อี้เฟิงไม่มีทางลืมแน่ ว่าเป็นเสียงของใคร ก็เพราะเจ้าของเสียงวนเวียนอยู่ในความคิดของหลี่อี้เฟิงผู้นี้มาเป็นอาทิตย์ จนในที่สุดเขากำลังจะพบหน้า






“อี้เฟิง..”





เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกไม่ยอมหันกลับไปหาคนที่เรียกอย่างร้อนใจ เหมือนเขาเพิ่งไปวิ่งจนเหนื่อยหอบที่ไหนมา แต่แววเหมือนโล่งใจว่าในที่สุดเจออี้เฟิง







“อี้เฟิง..จะไม่หันมาหาเกอหน่อยหรือ เกอคิดถึงอี้เฟิงมากขนาดไหนรู้มั้ย”





มาถึงเจอกันก็พูดคำหวานใส่ ....





ก็เป็นไปตามที่อี้เฟิงคิดว่าพอเจอรุ่นพี่หยางหยาง ..หยางเกอ เขาก็จะต้องเป็นแบบนี้ ฮึดฮัด แสดงอาการแสนงอนออกไปโดยไม่รู้ตัว และนี่อีกฝ่ายต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเขากำลังมีอะไรบางอย่างในใจ




อี้เฟิงก้าวออกไปข้างหน้าสวนทางกับเสียงเรียน ใบหน้าหวานนิ่ว คิ้วยู่เป็นโบ ตัดสินใจแล้วว่า ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะฟัง แต่มันก็ย้อนแย้งกับก่อนหน้าที่บอกตัวเองว่าเขาก็อยากให้รุ่นพี่มาเคลียร์กันตรง ๆ




นิสัยย้อนแย้งของอี้เฟิง ขี้งอน เริ่มเอาแต่ใจ ก็เพราะเขาเริ่มมีความรัก..อี้เฟิงคิดเอาเองว่ามีความรักแล้วตัวเองจะงี่เง่า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง




“อี้เฟิง เดี๋ยวสิ”





หยางหยางวิ่งมาดักหน้าเอาไว้ทัน โชคดีที่เขาเป็นนักกีฬาที่พอมีฝีมือและกำลังพอที่จะวิ่งไล่ตามที่คนที่เดินหนีอย่างเร็ว จนเมื่อหันไปพบ และได้สบตาใบหน้าที่คิดถึงของอีกฝ่าย






แววตาเปลี่ยนไป....





“อี้เฟิง ...คิดถึงหยางเกอมั้ยครับ”





ที่จริงมีคำถามอีกเป็นร้อยคำถามที่อยากถามแต่หยางหยางเลือกคำถามที่ตรงใจและอยากรู้มากที่สุด มือแกร่งยื่นไปข้างหน้าหวังเพื่อจะคว้ามือนุ่มนิ่มอีกฝ่ายเอาไว้ แต่อี้เฟิงกลับถอยหลังหนี จนหยางหยางเลิกคิ้วแปลกใจ





“คิดถึง..แต่ไม่ใช่แบบอย่างที่หยางเกอคิด”





หยางเกอของอี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจจนแสดงสีหน้าออกมาชัดเจน เขารู้สึกเหมือนอี้เฟิงมีอะไรในใจ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขา แววตาและท่าทางที่เปลี่ยนไป ปั้นปึ่ง แสนงอน แววตาที่ตัดพ้ออย่างที่สุดคอยส่งมาหาเขาตลอด





ใบหน้าน่ารักที่หยางหยางนอนฝัน ตื่นมาก็คิดถึง  
ตอนนี้เหมือนคนที่กำลังมีทุกข์มากแต่แสร้งว่ายังดี





“อี้เฟิงครับ..”
“ครับ”
“ทำไมถึง.....”
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็ ช่วยกรุณาหลีกทางให้ผมผมจะไปเรียน”
“อี้เฟิง เดี๋ยวสิ นี่เราจะไม่พูดดี ๆ กันหรือ”
“รุ่นพี่หยางหยางมีอะไรหรือครับ ก็พูดมา ผม.....กำลังรอฟัง”





สรรพนามห่างเหิน น้ำเสียงที่แข็งกระด้างขึ้นจากครั้งล่าสุดที่เราคุยกัน ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการอย่างที่เคย อี้เฟิงของเขาเป็นอะไรไป







“ทำไมอี้เฟิงถึง...มีอะไรก็พูดกับหยางเกอดี ๆ สิ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับไม่เป็นไร   แต่รุ่นพี่เอาแต่ถามผมว่าเป็นอะไร มีอะไร รุ่นพี่นั่นล่ะครับ มีหรือเปล่า”






อี้เฟิงยังไม่เลิกใช้สรรพนามห่างเหิน รวมทั้งน้ำเสียงนั้นที่เหมือนยิ่งห่าง สายตาพัดพ้อ และใบหน้าที่เห็นอยู่ชัด ๆว่าเจ็บปวด...เด็กคนนี้แสดงออกมาหมด ทีปากน่ารักเจื้อยแจ้ว ออกมาว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นไร แต่ตัวเอง..สายตากลมโตสดมใสที่มีความหม่นหมองจากเรื่องในใจบอกมาชัดเจนว่าเจ็บปวดมาก




หัวใจของอี้เฟิงกำลังมีปัญหา





“อี้เฟิง..ไม่เป็นไร  เราไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่มั้ย”






หยางหยางเลือกใช้คำถามที่ไม่เข้ากับสถานการณ์นัก แต่เขาเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเพราะอาการเจ็บปวดยิ่งแสดงชัดเจนมากขึ้นเมื่อยิ่งพูดกับเขา เขายอมให้เด็กคนนี้ไปนั่งสงบสติ และหยางหยางอยากทำอะไรก็ได้ซักอย่างให้อี้เฟิงคนนี้มีรอยยิ้มน่ารักและแววตาสดใสที่คอยมองเขาอย่างร่าเริงกลับมาดังเดิม เขาไม่สามารถทนเห็นคนคนนี้เป็นทุกข์ได้จริง ๆ





แบบนี้เหมือนหัวใจของหยางหยางถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ






“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ถ้างั้นรุ่นพี่..ผมขอตัวไปเรียน”



“อี้เฟิง!”
















“อ๊ะ”









หยางหยางไม่ทนความปั้นปึ่งของเด็กคนนี้ ทำเองก็เจ็บปวดเอง อาการแสดงออกมาให้เขาเห็นโต้ง พอเห็นคนที่รักมากเป็นเช่นนี้หยางหยางยอมทำอะไรก็ได้บนโลกนี้ เพื่อแลกกับรอยยิ้มของหลี่อี้เฟิงคืนมา






"รุ่นพี่..ปล่อย”
“เรียกเหมือนเดิม ใช้สรรพนามเหมือนเดิมก่อนได้มั้ยครับ แล้วเกอจะปล่อยให้เป็นอิสระ”




ก่อนที่อี้เฟิงจะก้าวเท้าเลยผ่านหน้าหยางหยางไป เขาทนไม่ได้ที่เห็นท่าทีเย็นชาแต่อาการทุกอย่างบอกว่าทำแบบนี้มันเจ็บปวดมาก หลี่อี้เฟิงเป็นเด็กที่โกหกไม่เก่งเลย ใบหน้าแสดงออกมา แววตาบอกทั้งหมดแบบนั้น จะให้เขาปล่อยออกจากอกไปได้อย่างไร




“อี้เฟิง ไม่สบายตรงไหน หรือเจ็บปวดตรงไหนมั้ย”




คนถูกถามที่โดนพันธนาการไว้ที่ช้อมือ  อี้เฟิงถูกรั้งไว้ด้วยมือแกร่งของหยางหยาง รั้งไม่ให้เดินผ่านเลยรุ่นพี่ไป เมื่อถูกถามแบบนั้น มืออีกข้างที่ว่างก็ยกชี้ที่หัวใจตัวเอง โดยไม่พูดอะไรต่อ อี้เฟิงรู้ตัวเองดีว่า ยิ่งมีความรัก ยิ่งรักมากเท่าไหร่ อี้เฟิงจะยิ่งงี่เง่า นี่เป็นทฤษฏีที่อี้เฟิงได้ตั้งให้ตัวเอง พอชี้บอกความเจ็บปวดเสร็จสรรพ








หลี่อี้เฟิงก็ร้องไห้











หยางหยางงแทบนั่งทรุดลงไปกับพื้นตรงนั้น เมื่อยิ่งเห็นน้ำตาของคนที่รักมาก เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเขาแน่นอนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องร้องไห้ เสียน้ำก็ยิ่งอยากทำให้ตัวเองเจ็บแทนอีกฝ่ายเป็นเท่าทวี





แต่หยางหยางก็ทำได้แค่เพียง







“อย่าร้องไห้นะ คนเก่ง”







มืออีกข้างที่ว่างอยู่เหมือนกันอีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้พันธนาการอีกฝ่ายไว้ ยกไล้แก้มที่มีหยดน้ำตาเกาะอยู่ อี้เฟิงไม่ได้เบี่ยงหลบ ปล่อยให้รุ่นพี่จัดการมันได้ตามใจ เมื่อหมดหยดน้ำตาหยดสุดท้าย อี้เฟิงร้องไห้พอแล้ว หยางหยางปล่อยมืออีกคน และให้อี้เฟิงเป็นอิสระ








“เจ็บมากมั้ยครับ”
เป็นคำถามที่ถามด้วยความยากลำบากแต่ หยางหยางไม่รู้อะไรเลย จึงต้องถามออกไปตรง ๆ







“เจ็บมากเลย ยิ่งที่หัวใจอี้เฟิงคนนี้ยิ่งเจ็บปวด...”

พูดจบสายตาที่ดูเศร้าสร้อยซึ่งมันสะสมมาตั้งแต่วันก่อนหน้านี้ที่ห่างจากหยางหยางไป มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น หยางหยางอยากจะเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้มากขึ้น







“คนเก่งของหยางเกอ เล่าให้หยางเกอฟังหน่อยได้มั้ยว่ามีอะไร”






อี้เฟิงเม้มปากเหมือนไม่อยากบอกอะไร เขาไม่อยากพูดจริง ๆ มันเหมือนมีอะไรตีกันยุ่งในหัว ถ้าพูดออกไป  เรื่องการแต่งงานของรุ่นพี่เป็นเรื่องจริง นั่นเหมือนเป็นเรื่องที่กรีดแทงหัวใจอี้เฟิง และนั่นก็ไม่สุภาพสำหรับสาวสวยคนนั้น แต่ถ้าทุกอย่างไม่จริง อี้เฟิงคงดีใจมาก แต่อย่างไรดี..เขาไม่อยากพูด อี้เฟิงไม่อยากเอ่ยอะไรเลย






เขากำลังสับสนมาก















“ไปหาอะไรดื่มกันริมน้ำมั้ย หยางเกอ”


















อี้เฟิงไม่ให้อีกฝ่ายพันธนาการไว้ด้วยมืออบอุ่น เขาเดินนำมาที่ริมแม่น้ำสายเล็กที่อยู่ในไกลจากอพาร์เม้นท์เท่าไหร่นัก อี้เฟิงตรงไปที่ตู้กดเครื่องกระป๋องเป็นที่แรก  หยางหยางอาสาออกเงินให้อี้เฟิงก็ปล่อยให้เขาทำตามใจ มือของอี้เฟิงเลื่อนไปตั้งใจจะกดเครื่องดื่มมึนเมาแต่ก็โดนหยางหยางตีมือและกดเป็นน้ำผลไม้มาแทน ส่วนเขาดื่มโคล่า โดนดุไปตามระเบียบ




ยิ่งพบความอบอุ่นที่คิดถึงในระยะใกล้แบบนี้ อี้เฟิงยิ่งสับสน ใจหนึ่งรักเขามาก แต่ความจริงมันก็ยังคาใจอยู่ รุ่นพี่ไม่มีอะไรจะบอกเขาจริง ๆ น่ะหรือ...













“เอาล่ะ อี้เฟิง เรามาคุยกันตรง ๆ เลย”









หยางหยางลงนั่งลงตามหลังอี้เฟิงตรงริมน้ำ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่อี้เฟิงมาเล่นดนตรีเปิดวงกันวันก่อนกับเพื่อนสนิททั้งสี่คน มือเรียวสวยกอบกุมกระป๋องน้ำผลไม้ เขายังไม่เปิดดื่มมัน ก้มหน้าและไม่พูดอะไรอยู่นาน  คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ไม่กล้าถามออกไป ไม่ใช่ไม่อยากรู้ เขาอยากรู้มาก แต่พอรู้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง...ความจริงนั้นจะกรีดแทงเขาขนาดไหนกัน




“หยางเกอ คิดถึงผมมากขนาดไหน”


อี้เฟิงส่งคำถามที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ความคิดเลยออกไป หยางหยางหันหน้ามามอง สีหน้าดูอึ้งนิดหน่อย และก็ตอบกลับมาด้วยแววตาตรงไปตรงมา




“คิดถึงมากเท่าที่คนคนหนึ่งจะคิดถึงใครคนหนึ่งได้ครับ”




อี้เฟิงเพิมแรงที่กอบกุมกระป๋องน้ำผลไม้มากขึ้น เขาเริ่มกดดันตัวเอง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำไมถึงมีอาการหนักขนาดนี้ ถึงจะบอกว่าตัวเองอาจจะงี่เง่ามากแต่ตอนนี้มันงี่เง่าสุด ๆ ไปเลย เหมือนเด็กที่กำลังหลงทาง สับสน เพราะความรักครั้งแรกนี้






“ผมถามเกอจริง ๆ รักแรกของเกอเป็นใครกันแน่”





คำถามที่เริ่มเข้าเรื่องเริ่มมาคำถามแรก หยางหยางสูดหายใจและตอบคำถามอี้เฟิง


แววตาเขาไมได้โกหก อี้เฟิงสัมผัสได้



“หลี่อี้เฟิง.. นั่นเป็นความจริงแน่นอนครับอี้เฟิง “





เขาไม่ได้โกหก แต่เรื่องที่อี้เฟิงรู้มันช่างสวนทางกันมาก  อี้เฟิงเงียบไปอีกครั้ง เวลาตอนนี้ค่อนค่ำแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงไฟข้างทางถูกเปิดสว่าง โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไรนัก


 “มีอะไรรบกวนหัวใจของอี้เฟิงใช่มั้ย ”





หลังจากอี้เฟิงเงียบและครุ่นคิดไปนาน กลายเป็นหยางหยางที่ไถ่ถามขึ้นมาก่อน อี้เฟิงเม้มปาก หันหาต้นเสียง ใบหน้าน่ารักนิ่วหน้าอยู่ เหมือนกับกำลังคิดหนักบางเรื่องซึ่งมีหลายเรื่องรวมกัน และทันที่หยางหยางได้สบตาอี้เฟิงแค่ครู่เดียว จูบน่ารักที่แผ่วเบาเหมือนขนนกประทับที่ริมฝีปากของหยางหยางอย่างทันท่วงทีและค้างไว้แบบนั้นครู่หนึ่ง ก่อนถอนออกไป



“อี้เฟิง..”
“ที่เงียบไปเพราะผมกำลังฟังหัวใจตัวเองอยู่ และผมเลือกจะเชื่อใจหยางเกอ..”




แววตาหวั่นไหวที่วูบไหวของอี้เฟิงสะท้านสะท้อนแววตาส่งผ่านมาที่หยางหยาง เขาอยากรู้จริง ๆ ว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายต้องคิดหนัก และระแวงต่อความเชื่อใจที่มีต่อเขาได้ขนาดนี้




หยางหยางมั่นใจว่าก่อนหน้านี้เขาเข้าไปนั่งในใจรุ่นน้องที่รักคนนี้ได้แล้ว แต่กระนั้นตอนนี้เขากำลังจะถูกไล่ออกแล้วอย่างนั้นหรือ?





“หยางเกอ อี้เฟิงยังเชื่อใจหยางเกอได้อยู่ใช่มั้ย”
“แน่นอนอี้เฟิง หยางเกอไม่เคยโกหกอี้เฟิง ทุกเรื่อง ไม่มีเลย โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีต่ออี้เฟิง ไม่มีทางโกหก เกอบอกแล้วไง คนเราโกหกหัวใจตัวเองไม่ได้”




เสียงทุ้มสิ้นเสียงอี้เฟิงที่ก้มหน้ารับฟัง ก็เงยหน้าขึ้นมาประทับจูบรุ่นพี่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูยาวนานกว่า แต่มีความรุ้สึกมากมายที่อยู่ในรสจูบครั้งนี้



ในตำแหน่งที่อี้เฟิงจะต้องเงยหน้ามองรุ่นพี่ที่หลงรัก แววตาของเขาน่าจะบอกรุ่นพี่ได้ดีว่าเขาหวาดหวั่นและหวั่นไหวมากแค่ไหน อี้เฟิงไม่อยากใช้คำพูดอธิบาย มีใครหลายคนบอกว่าอี้เฟิงแสดงความรุ้สึกผ่านดวงตาได้ดี และเขากำลังทำมัน



“อี้เฟิงเชื่อใจหยางเกอคนนี้ได้ เท่าที่ใครคนหนึ่งจะเชื่อใครอีกคนได้ เกอขอให้อี้เฟิงลองดู เกอจะไม่พยายามให้อี้เฟิงไม่บังคับ อี้เฟิง..ลองฟังหัวใจตัวเองดู”





หยางหยางพูดยาว ช้า ๆ และชัดถ้อยคำ ให้รุ่นน้องที่เขาแสนหลงใหลและรักสุดหัวใจได้ฟัง ...เขาฟังหัวใจตัวเองหลายครั้ง และพบว่าหัวใจบอกว่า หลี่อี้เฟิง คนนี้ล่ะที่ใช่ มองมานาน และไม่สามารถมองใครได้อีก






น้องเขาจะฟังหัวใจตัวเองและได้คำตอบว่าอย่าง ..ก็สุดแล้วแต่




อี้เฟิงยืดตัว สูดลมหายใจลึก ๆ เขาสบตากับรุ่นพี่ครึงหนึ่ง และหันไปทางแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้า ตะโกนออกไป



“ผมรักหยางเกอนะ....รักมากด้วย จะยังไงก็แล้วแต่ ผมรักเกอมาก แม้หัวใจจะเจ็บ”



เขาตกใจที่เด็กคนนี้เป็นคนกล้ากว่าที่คิดไว้ระดับหนึ่ง อี้เฟิงตะโกนความรู้สึกต่อตัวเขาออกมาดังลั่นแม้ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ก็อาจจะมีคนยได้ยินด้วยซ้ำ หากผ่านมา หยางหยางรู้ขัดเขินเมื่อได้ยินความรุ้สึกตรง ๆ จากอี้เฟิงเพราะก่อนหน้าอีกฝ่ายไม่เคยพูดอะไรออกมาเลย ใบหน้าหวานนั่นเริ่มแดงตามมาเมื่อตะโกนเสร็จไม่รู้เพราะใช้แรงมากหรือเขินกัน แต่เขารู้สึกขอบคุณที่อี้เฟิง..ฟังหัวใจตัวเอง..และได้คำตอบที่น่ารักนี้ออกมา


“อี้เฟิง..”
“ผมฟังหัวใจดูแล้วเป็นแบบนี้ ยังไงผมก็รักเกอ เป็นอย่างอื่นไมได้อีกแล้ว..แต่ผมก็ยังคงเจ็บที่หัวใจ เพราะเรื่องราวที่..ได้ยิน”


หยางหยางรู้สึกถึงความหมายในประโยคแปลกประหลาดเกินไป เด็กคนนี้ไปฟังอะไรจากใครมาแล้วคิดมากขนาดนี้ ใครทีทำให้เด็กคนนี้ไขว้เขวและนั่นทำร้ายความจริงใจของหยางหยางที่เขาอุตส่าห์หมั่นสร้างและฝากไว้ที่หัวใจของอี้เฟิง



อี้เฟิงมั่นใจในความรู้สึกว่ารักเขา ถึงได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ความเชื่อใจกลับเหลือเกือบเป็นศูนย์..สวนทางกันเหลือเกิน



หยางหยางขบคิดอยู่นาน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น





“อี้เฟิง.... เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เกอไม่อยู่”



























“หยางหยาง!






เสียงใสทะลุกลางบรรยากาศของสองคน ผู้มาใหม่กำลังมาเยือน อี้เฟิงวูบไหวในอกอีกครั้ง ...



“อาเยี่ยน?!







รุ่นพี่รู้จักผู้หญิงคนนี้ แน่นอนก็มีรูปคู่กับเขาในห้องแบบนั้น ดู..รักใคร่กลมเกลียวกันดี อี้เฟิงจะต้องออกจากตรงนี้ไปใช่มั้ย




“อาเยี่ยน..เธอ”







หยางหยางหันมาหาอี้เฟิงที่ลุกขึ้นยืนและเดินถอยหลังออกไปเรื่อย ๆ





อา..นี่สินะ เหตุผลที่ทำให้ดวงตาที่เขาหลงรักไม่สดใสและเจ็บปวด





“อาเยี่ยน......--- “
“ขอโทษด้วยว้อย!






อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โค้งลงต่ำ และพูดขอโทษหยางหยางอย่างมาดแมนผิดกับหน้าตาสะสวย คนที่ถูกขอโทษและคนข้างกายอย่างอี้เฟิงตกใจเพราะเป็นคำขอโทษที่ค่อนดัง เหมือนเสียงตะโกน อาจจะพอ ๆ กับที่อี้เฟิงตะโกนบอกรักหยางหยางผ่านแม่น้ำสายเล็กเมื่อครู่นี้ จนเมื่อผ่านไปนานผู้หญิงคนนนั้นก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาใคร เพราะหยางหยางยังไม่อนุญาต และไม่พูดอะไร ตอนนี้เหตุการณ์กำลังชวนงงงวย อี้เฟิงมองภาพนี้อย่างไม่เข้าใจ


“อาเยี่ยนเงยหน้ามา และ อธิบายซะ----“
“ขอโทษ...ที่ทำให้ต้องระแวงกัน ไม่รู้ว่ารักกันขนาดนี้”

ถังเยี่ยนขัดกลางปล้องอีกแล้ว เธอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ทั้งสองคน หันมองหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างตกใจและประหลาดใจ หยางหยางที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและอี้เฟิงที่กำลังว่าในเรื่องราวว่าเป็นอะไรอย่างไร


ถังเยี่ยนพูดต่อ


“ ขอโทษน้องอี้เฟิงด้วยที่ทำให้ต้องปวดใจ แต่ถือว่าน้องกล้าและรักเพื่อนพี่สาวคนนี้มากจริง ๆ ทั้งที่พูดจาแรง ๆแบบนั้นไปแท้ ๆ เป็นพี่สาวคงร้องไห้แทบตาย คงจะโวยวาย ชวนทะเลาะและไม่มาถามอะไรกันมากความแล้วล่ะ”


หยางหยางหันมองถังเยี่ยนสลับกับอี้เฟิงที่กำลังงงเป็นแมวตกใจเขาเข้าไปหาอี้เฟิงและจับมือที่กำลังกำแน่น  คว้ามือนั้นไว้และละทำให้อี้เฟิงผ่อนคลายความเครียด โดยการลูบที่หลังมือ อี้เฟิงสงบลงนิดหน่อย และเขาก็ลากมือให้เดินมาตรงหน้าถังเยี่ยน



“อาเยี่ยน เธอทำอะไร”
“ก็..ทดสอบความเชื่อใจ..ก็อยากรู้ว่าน้องอี้เฟิงเขาเชื่อใจนายมากขนาดไหน...ซึ่งถ้าจะให้ผ่าน ก็คือน้องเขาต้องไม่สนใจคำพูดของฉัน..และน้องอี้เฟิงก็สอบผ่าน”




อี้เฟิงยังคงงงจนทำตัวไม่ถูก ใบหน้าหวานน่ารักขมวดคิ้วยุ่ง และทำหน้าตาไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่เข้าใจอะไรเลย



“เดี๋ยวนะครับ..พี่สาวน่ะ...เอ่อ...”


อี้เฟิงชี้ไปที่แหวนวงสวยที่อยู่ทีนิ้วนางของซ้ายของเธอ แล้วหันไปหาหยางหยางที่กำลังงงว่านี่เกิดอะไรขึ้น


“พี่สาวไม่ได้จะแต่งกับหยางหยางหรอก ..แต่ให้พูดก็..หยางหยางเป็นรักแรกของพี่สาวแต่มันก็นานเกินจะจำความกันมาเอาเรื่องกันตอนโต “





ถังเยี่ยนสาวเท้าเข้ามาหาอี้เฟิง ก่อนคว้ามือของอี้เฟิงไว้กำแน่น เหมือนให้กำลังใจ



“องอี้เฟิง  คนที่เรารักเป็นคนที่ใช่ เขาทำให้เรามั่นใจว่าเขารักเรามาก หยางหยางแสดงออกมามาก พี่รู้จากที่มีคนเล่าให้ฟังอ่ะนะ หยางหยางมันเป็นคนจริงจังแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนที่ปฏิเสธพี่สาวก็จริงจัง เรื่องรักแรกพี่สาวโกหก คนที่อยู่ในหัวใจมันก็คืออี้เฟิง”



ถังเยี่ยนพูดร่ายยาว อี้เฟิงเบิกตา..ตอนนี้คิดว่ากับตะลึงความจริงที่ปรากฏ เขาทั้งโล่งอก ทั้งดีใจ เหมือนภูเขาทั้งใบถูยกออกไปจากอก ความหนักหน่วงนั้นหายไป แต่กระนั้นก้ยังสงสัย



“แล้วทำไม??..”
“พี่ก็สงสัยว่า คนที่ทำให้หยางหยางรักได้..ต้องเป็นคนอย่างไรกัน มาเจอหน้าอี้เฟิง พี่สาวก็สงสัยนะ แต่ตอนที่เราคุยกันจำได้มั้ย น้องได้รับฟังเรื่องโกหกของพี่สาว แม้ตกใจ หวาดหวั่นแต่ที่สายตาและอาการทั้งหมดนั้นน่ะ ลึก ๆแล้วพี่สาวรู้ว่า น้องอี้เฟิงยังไม่เชื่อที่พี่สาวพูด จนกว่าจะถามเอาความจริงจากหยางหยาง “


ถังเยี่ยนคิดว่าจะต้องคุยกันยาว เธอคว้ามือและดึงอี้เฟิงออกจากหยางหยางมา ชวนกลับไปนั่งที่ริมน้ำดังเดิม



“คนเราต้องเชื่อใจคนที่เรารัก คำพูดของใครก็อย่าไปเชื่อ เขาไม่เคยทำตัวให้อี้เฟิงระแวงซักครั้งและแสดงความรักออกมาให้เห็น ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยใช่มั้ยล่ะ อะ....อันนี้เดาเอา”



ถังเยี่ยนพูดจริงตบด้วยมุขเล็กน้อย อี้เฟิงเม้มปากอย่างที่ติดนิสัย เขาพยักหน้าเพราะนั่นเป้นความจริง หยางหยาง รุ่นพี่คนนี้รุกหนักเขาทั้งทีเพิ่งเจอกันครั้งแรก ความจริงใจแสดงผ่านสายตาออกมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ เขาตั้งใจมารักอี้เฟิงจริง ๆ นั่นคือข้อความที่หยางหยางส่งมาหาอี้เฟิงตลอด ทุกอย่างทุกการกระทำ บอกชัดเจนมาก แต่เขาไม่เคยเก็บมาพิจารณา รู้แค่ว่าจริงจังแค่นไหนแต่อี้เฟิงก็ปล่อยให้มันผ่านไป



นั่นดูไม่แฟร์กับรุ่นพี่หรือเปล่านะ




“หยางหยางเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง  หัวใจนี่ก็คงเป็นเรื่องที่มันจริงจังที่สุด  ถ้าสมมุตินะอี้เฟิง ถ้าน้องเกิดเชื่อที่พี่สาวพูดแล้วมาตีโพยตีพายใส่หยางหยาง พี่สาวอาจจะเดินมาตรงริมน้ำแล้วเตะน้องลงน้ำไปเลย แต่นี่น้องใจเย็นและมีสติ..อืม ขี้ขโมยด้วย จูบเพื่อนพี่ไปสองครั้ง”



อี้เฟิงตาโต แบบนี้แสดงว่าเธอก็อยู่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก ใบหน้าหวานขึ้นสีเพราะความเขินทันที หยางหยางลงนั่งข้างอี้เฟิงอีกด้าน มองดูอาการนี้อย่างเอ็นดู แต่เขายังเป็นผู้ต้องหาอยู่ ยังไม่ควรไปขัดขวางความสวยงามของบทสทนานี้




“ที่จริง ถ้าพี่สาวบอกว่าเป็นเรื่องจริง อี้เฟิงจะทำให้จูบนั้นเป็นจูบลาสินะ”
“ก็คิดไว้แบบนั้นครับ”
“แต่อี้เฟิงก็จับไต๋อะไรซักอย่างได้ใช่มั้ยล่ะ ว่าเรื่องที่พี่สาวโกหกว่าจะแต่งงานกับหยางหยางมันน่าสงสัย”



หยางหยางแทบสำลักน้ำโคล่าที่เพิ่งดื่มเข้าไป เอนตัวมาหาถังเยี่ยนแล้วเอามือฟาดเข้าที่หัวถังเยี่ยนเบา ๆ 


“ถึงจะสนิทกันแต่ไม่ควรมาแกล้งกันแบบนี้สิ อาเยี่ยน”
“ก็คิดมุขไม่ออกอ่ะ มันอยู่ในบทละครที่จะเล่นเดือนหน้า ผ่านเข้าหัวมาพอดี”
“ยัยบ้าเอ๊ย...”


อี้เฟิงมองสองคนเถียงกันข้ามหน้าข้ามตาเขา ก็ยิ้มขำ อี้เฟิงไม่ระแวงกับความเป็นเพื่อนที่ดีของทั้งสองคนหรอก เขาสัมผัสบรรยากาศรอบข้างเก่างเพราะเป็นนักดนตรีต้องสัมผัสให้ไวกับเรื่องพวกนี้ สองคนนี้เป็นเพื่อนกันอย่างแท้จริง



“เอาจริง ๆ ผมเข้าใจนิสัยหยางเกอนะ เขาจริงจังกับผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ผมเชื่อใจเขาต่อมาไม่นานจากนั้น และรู้ว่าเขาจะไม่มีวันทำให้ผมเสียใจหลังจากนั้นต่อมา แต่..ผมเองก็ต้องฟังเสียงหัวใจของผมให้ชัดด้วย”



คำสารภาพที่ออกจากริมฝีปากน่ารักออกมาจนครบประโยค หยางหยางก็คว้ามืออีกคนไปกอบกุม และฝังจมูกของเชยชมความนุ่มนิ่มที่มือของอี้เฟิงอย่างคิดถึง พอถังเยี่ยนเห็นก็บ่ายหน้าหนีไม่มองแถมยังบอกหมั่นไส้เสียอีก


“หยางเกอ ทำให้ผมเชื่อใจนั่นก็จริง แต่เรื่องของคนสองคน ประเด็นแต่งงานมันใหญ่มาก ถ้าหยางเกอมาหลอกผม ..ยังไงดี ผมว่าสุดท้ายเขาต้องทำให้ผมแคลงใจซักครั้งหนึ่งแน่ แต่ทุกอย่างที่หยางเกอทำ มันไม่มีอะไรที่ทำให้ผมสงสัยในความจริงใจของเขาได้เลย”


ถังเยี่ยนเบ้หน้าอีกครั้ง ทีนี้ไม่ใช่ใส่หยางหยาง แต่เป็นอี้เฟิงแทน



“เฮ้อ ฉันชักเบื่อคู่รักคู่นี้และ รู้งี้แกล้งให้นานกว่านี้ ร้องไห้ให้ขี้มูกโป่งไปเลย  นี่ถ้าไม่เห็นแก่คุณนายหยาง ที่เอ็นดูอี้เฟิงขนาดหนัก จะแกล้งให้หนักนานกันนี้เชียว”


“เอ๋?”


ถังเยี่ยนลุกขึ้นยืนแล้วฉุกมือสองคนให้ยืนขึ้นพร้อมกัน เธอยิ้มสวยหวานให้ทั้งคู่  




“แม่นายโครตชอบน้องอี้เฟิงเลย อยากจะบอก แต่ฉันไม่มั่นใจว่าน้องเขาเป็นคนยังไงเลยมาเทสดูและพบว่าน่ารักกว่านายพันเท่า หยางหยางถ้าแกทำน้องเขาเสียใจ และเสียแรงที่เขาเชื่อใจและรักนายมากขนาดนี้ นายตายแน่”



ถังเยี่ยนยิ้มหวานกว่าเดิมแถมยกมือหยิกแก้มอี้เฟิงอย่างเอ็นดู เคยได้ยินจากบรรดาพ่อแม่และคนรอบตัวว่า อี้เฟิงมีความสามารถพิเศษในการทำให้รอบข้างเอ็นดูได้อย่างประหลาด ไม่เคยเข้าใจมันจนถึงตอนนี้ มันเป็นแบบนี้หรอ




“เสียดายที่พี่สาวจะแต่งงานกับแฟนซะแล้วไม่งั้นจะมาแย่งน้องอี้เฟิงกับไอบ้าหยางนี่”




พูดจบก็หันไปทางหยางหยาง เธอเบ้หน้าใส่เพื่อนรักอีกแล้ว ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ ก่อนจะยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร เพื่อนก็ย่อมเป็นเพื่อน


“พี่สาวมีรักแรกเป็นหยางหยาง แต่รักแรกของหยางหยางเป็นน้องอี้เฟิง..พี่สาวฝากเขาด้วย”



ถังเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอีกระดับซึ่งแตกต่างกับเมื่อก่อนหน้านี้ หยางหนางนิ่วหน้าพลางถอนหายใจ เพราะหยางหยางรู้เรื่องนี้ดี ที่เธอเลือกจากไป ก็เพราะหยางหยางไม่สามารถตอบรับความหวังดีในเรื่องนี้ของเธอได้



“ขอบคุณครับพี่ ผมจะดูแลเขาดี ๆ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง หยางเกอจะเป็นที่ผมรักมากที่สุดรองจากพ่อแม่แน่นอน”



ฟังคำยืนยันนพาซื่อของอี้เฟิง ถังเยี่ยนก็หัวเราะดังขึ้นมา ตบบ่าน้องว่าเป็นเด็กที่พูดตรงและน่ารัก ซื่อเกินไปเสียอีกต่างหาก แต่อย่างไรเธอก็ยอมรับแล้วว่าคนคนนี้จะดุแลคนแรกและเพื่อนรักที่สุดของเธอได้





“ว่าไปฉันหมั่นไส้ความรักของนายสองคนจริง ๆ ขอซักทีเหอะ”



ถังเยี่ยนดึงมือสองคนให้เดินตามเธอมาตรงริมน้ำ




“เห้ย!







********************************************************************************************TBC 9




TALKสวัสดีค่า ตอน 8แล้วเนอะ

ดราม่าแบบนี้แหละ ที่เป็นกลิ่นแบบ OURSONG
เรื่องราวในเรื่องมีส่วนที่เป็นประสบการณ์ที่เคยเป็นทีปรึกษาให้เพื่อนน่ะค่ะ 
การเชื่อใจต่อคนรักสำคัญมากเลยนะ ถ้าหากว่าเรารักใครและอีกคนแสดงออกมา
ออกมามากกกว่าเขาจริงจังกับเรามากขนาดไหน ความเชื่อใจตรงนี้
เราก็ควรเก็บมาคิดน่ะค่ะ 'คนสองคนคุยกันด้วยใจว่าคนนี้แหละใช่'
คำพูดของคนอื่น vs คำพูดของคนที่เราเชื่อ มันก็มีหนักต่างกันแล้ว
แต่สมัยนี้คนหลอกลวงเยอะจัง นั่นก็ต้องวัดใจกันตรงความจริงใจของอีกฝ่าย
แต่ถ้ารักกันจริง ๆแค่แววตาจะดูออกค่ะว่า ความเป้นจริงคืออะไร
ก็อย่างนี้ล่ะเนอะ ความรัก 


ขอบคุณสำหรับการติดตามมาจนถึงตรงนี้


แม่แมว
 


2 ความคิดเห็น:

  1. ชอบตอนนี้มากๆค่ะ ชอบที่เฟิงมีเหตุผล ไม่ตีโพยตีพาย ถ้าเฟิงโวยวายอาจจะทำให้เรื่องเหมือนกับนิยายเรื่องอื่นๆ ที่โดนเป่าหูแล้วเชื่อคนซะงั้น และมันจะน่าหงุดหงิดมากๆเลย.... มันต้องอย่างงี้! ตามความคิดเราถ้าคู่รักที่เป็นชายชาย สิ่งสำคัญที่ต้องมีนอกจากความรัก คือเหตุผลและความเชื่อใจ ทำให้เราชอบตอนนี้มากๆเลยค่ะ ฮือ

    ตอบลบ
  2. คาร์แรกเตอร์ที่ทรงค่า รักตัวละครนิสัยแบบนี้ที่สุด ยิ่งอ่านยิ่งเอ็นดูพ่อคุณเอ๊ยอย่าให้เจอคนแบบนี้นะจะกอดรัดเลยเฟิงคนติสท์ ทั้งสองคนชัดเจนดี แล้วก็พูดไม่ถูกดีจังที่มีตัวละครคาร์แบบนี้อ่านแล้วไม่หงุดหงิด เพื่อนๆก็น่ารักชะมัดเลย
    เป็นเรื่องที่บรรยากาศดีเพลินมากกกกกก

    ตอบลบ