TITLE :
[Fic] THISMAN
CHAPTER : 7 ‘คนคนนี้ตามหา’
PAIRING : YANGYANG x
LIYIFENG
RATE : PG -15
RATE : PG -15
*****************************************************************************
“หายไปไหน”
หยางหยางเอ่ยกับตัวเองอยู่สองสามครั้ง
หลี่อี้เฟิงคนนั้นหายไปเป็นเป็นชั่วโมงแล้วหลังจากสุดท้ายที่พบเขา ก็
หลังจากที่เล่นสนุกกับร่างกายนั้นอย่างสมใจอยาก เขาก็ละจากคนคนนี้และเดินออกมา
เขาวูบไหวในใจแปลก ๆ แต่ตอนนี้ในขณะที่คิดและนั่งเอ่ยบ่น
หยางหยางแกล้งแสร้งทำเป็นเดินตามหาอีกคนหนึ่งไปด้วย แต่จริง ๆ แล้วก็ช่างเขา
คิดแบบนี้ด้วยซ้ำ หายไปได้ก็ดี
อา....หัวใจของเขาวูบไหว อีกแล้ว ซ้ำดูเหมือนจะมีแผล...
ไม่หรอก เขาอาจจะคิดไปเอง
“อี้เฟิง น้องอี้เฟิง”
“ เฟิงเฟิง อยู่ไหนน่ะ”
ทุกคนร้องเรียกคนที่หายไป สอดเสียงประสาน
ในละแวกสถานที่การถ่ายทำที่กองละครตั้งอยู่ ที่เป็นป่าเขา
และแทบไม่เห็นบ้านคนอยู่ใกล้ ๆ เลย จะมีก็เพียงสิ่งก่อสร้างชั่วคราว
ไว้พักพิงเมื่อเดินเข้าป่ามาอาจจะเป็นของเจ้าของที่แถวนี้ หรือผู้ที่ให้กองละครเช่าสถานที่ถ่ายทำ
บรรยากาศ ทั้งต้นไม้ หญ้ารก ๆ และกลิ่นดินกลิ่นทราย
ซึ่งเหมาะกับการถ่ายละครในเชิงแอคชั่นและผจญภัยยิ่งนัก
ที่นี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีของกองถ่าย
แต่สำหรับนักแสดงที่ไม่คุ้นเคยกับการที่จะต้องมานอนกลางดินกินกลางทรายแบบกองถ่ายนี้อาจจะรู้สึกไม่สบายตัว
หยางหยางเคยเล่นหนังทำนองนี้มาแล้ว
แถมเขายังเป็นนักเรียนทหาร เรื่องเหล่านี้ไม่มีปัญหา
แต่เทพบุตรคนนั้น เรื่องมากเสียเต็มประดา ผู้คนคิดเอาใจ ทำตัวให้เป็นศูนย์กลาง
ให้ผู้อื่นมาดูแล เขาเห็นแล้วก็คิดนึกไม่ชอบใจขึ้นมา เป็นคนที่น่ารำคาญจริง
ๆ สำหรับหยางหยาง ทั้งที่เป็นผู้ชายแต่ก็ต้องให้คนอื่นมาดูแลพะเน้าพะนอ
พอกลับมาคิดประเด็นที่เขาหายตัวไปแบบนี้
ก็ต้องทำให้คนอื่นเขามาลำบากตามหาอีก ก็ไม่ชอบใจเสียแล้ว หยางหยางเบ้หน้า เอียงคอ
ให้อารมณ์ตัวเองเย็นลงหน่อย แสร้งเป็นรุ่นน้องที่ดี เดินตามหารุ่นพี่
ทั้งที่จริงเขาแทบไม่ได้มองด้วยซ้ำ
“หยางหยาง นายเจออี้เฟิง
เมื่อช่วงก่อนเที่ยงคืน พี่ยังเจอเขานอนฟุบบนโซฟาแต่ดูเพลีย ๆ นิดหน่อย
เขาบอกไม่เป็นไร แต่ไปเดินตกผา เป็นลมที่ไหนมั้ยก็ไม่รู้”
พี่ทีมงานของกองถ่ายคนหนึ่งมาบ่นกับหยางหยาง
เขาได้แค่ฟังและมีสีหน้าคล้อยตามไปกับเรื่องราวของเธอแต่พอจบเธอบ่นเสร็จก็ไปช่วยเดินตามหาต่อ
หยางหยางแค่ไหวไหล่ และไม่สนใจ แสร้งเดินตามหาไป ใบหน้ารูปหล่อหันไปหันมา
ก็ไปเจอกับทีมงานของหลี่อี้เฟิงคนนั้นที่วิ่งวุ่นกันจนไม่เป็นอันทำอะไร
ตัวทำเงินของตัวเองหายไปทั้งคนก็เข้าใจว่าต้องวุ่น แต่ในใจของหยางหยางสะใจไม่น้อย
“หยางหยาง ครั้งไม่ใช่ฝีมือนายใช่มั้ย”
พี่สาวผู้จัดการของหยางหยางเอ่ยถาม
เมื่อเธอเดินตามหลังมาสมทบกับหยางหยางทัน เขามองหน้า และปฏิเสธไป ว่าเขาไม่ได้มีส่วนทำให้หลีอี้เฟิงหายไปเสียหน่อย
แต่ที่มีส่วนคือทำให้ไม่มีแรงต่างหาก
เขาจำได้ว่าใบหน้าสุดท้ายของคนคนนี้คือ
ความระโหยโรยแรงทั้งสิ้นทั้งปวง ไม่มีแรงจริง ๆ เพราะปลดลปล่อยออกมามาก
ฤทธิ์ยานั้นไม่เลวเลย คนคนนี้เป็นบ้าจนคลั่ง
และอยากได้เขามากถึงขนาดต้องจัดการความต้องการด้วยตัวเอง
โดยไม่ต้องพึ่งแรงของหยางหยางด้วยซ้ำ หลี่อี้เฟิงตอนนั้นร้อนแรงสุด
ๆ
“อืม”
และเขาก็ไม่ปฏิเสธใจตัวเองอย่างที่ผ่าน ๆ มาหลายเดือนว่า
เขาหลงใหลเรือนร่างนั้นแล้ว
เขารู้สึกถึงความสุขระหว่างที่ได้ทำอะไรแบบนั้นกับคนคนนี้
ไม่ปฏิเสธอีกต่อไปจากก่อนหน้านี้ที่คิดย้อนแย้งตัวเอง และไม่ยอมรับใจอย่พักใหญ่
นั่นพบว่าทำให้เขาเสียพลังงานในการคิดอะไรอย่างอื่น เรื่องของหลี่อี้เฟิงวนเวียนอยู่ตลอดเวลา
นานนับวันเข้า ที่เขาเข้าไปยุ่งย่ามในชีวิตคนคนนี้ ทำให้เรือนร่างนั้นมีร่องรอยที่เป็นของเขา
เสียงที่เมื่อได้ยินยามอยู่กับเขา แววตาที่สะท้อนเงาของเขาจากนัยย์ตา
หยางหยางมั่นใจเรื่องแววตานั้น แบบที่หลี่อี้เฟิงมอง
เขามีแววตาจงเกลียดจงชังแบบนั้นมีไว้ให้เขาแคต่เพียงผู้เดียว
คิดแล้วก็เหมือนเขาชอบความเจ็บปวดหรือ ?
ไม่เลย เพราะคนคนนี้ส่งแววตาเกลียดชังมาให้
เพราะทำอย่างที่มากกว่านั้นไม่ได้ หลี่อี้เฟิงกลัวเขา
เขารู้ เพราะว่าถ้าทำอะไรขึ้นมา คิดเอาคืน
หยางหยางจะแปลงเป็นซาตานและไปสะสางแค้นอันลึกซึ้งร้อนแรงนั้นถึงที่ โดยไม่ปรานี
การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเทพบุตร
ทำให้ซาตานจำแลง ในความคิดของหลี่อี้เฟิงเช่นหยางหยางรู้ว่า
เทพบุตรคนนี้กลัวซาตานคนนี้ ไม่มีวิธรรับมือที่ดีเลยซักครั้ง อ่อนแอ และไร้ความสามารถในการตอบโต้กับความเกลียดชัง
เพราะถูกปกป้องอยู่เสมอแต่เพราะครั้งนี้
เขาทำให้หลี่อี้เฟิงเจ็บช้ำเป็นเรื่องที่ปรึกษาใครไปก็พูดได้แค่ว่า ‘ข่มเหงน้ำใจ’ จะไปบอกกับใครได้อย่างไรกัน
ว่าเขาถูกผู้ชายด้วยกันทำอะไรแบบนั้นตลอดหลายเดือน มันจะเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก
สำหรับวงสนทนาและแววตาที่ทุกคนมองเทพบุตรแห่งชาติคนนี้จะเปลี่ยนไป
หยางหยางนึกคิดเรื่องนี้ทั้งหมดก็ยิ้มเยาะไป
ก็อยากให้ไปเล่าใครอยู่เหมือนกัน เขาเสียหายเพราะเป็นคนทำ
แต่คนคนนี้ก็ไม่แพ้กัน จะพ่ายแพ้ย่อยยับ ถ้าเขาไม่ชนะ
ก็ให้มันพ่ายไปกันทั้งคู่เลยแล้วกัน
“พี่หวังว่าจะไม่ใช่แผนของนายอีกนะหยางหยาง”
พี่สาวผู้จัดการของหยางหยางเห็นใบหน้าหล่อยิ้มขึ้นมาโดยไม่มีประเด็น
เธอสงสัยจึงพูดดกัคอไว้ เผื่อน้องชายของเธอนึกจะทำขึ้นมาจริง ๆ
เขาคิดในใจตอบแทนไปว่า แค่ทำให้หมดแรง แต่ไม่ใช่ทำให้หายตัวไป แบบนี้ละครไม่คืบ
เขาก็ลำบาก
ตามหาอยู่นานแต่ก็ยังไม่เจอ
ตอนนี้ท้องฟ้ายามดึกสงัดเริ่มมีเมฆดำก้อนใหญ่ปกคลุมแล้ว อีกไม่ช้า
ฝนก็คงจะตกลงมา ซึ่งเมฆก้อนใหญ่ขนาดนี้คงจะตกเหมือนเทวดาเทน้ำ
กองถ่ายอาจจะเลื่อนการถ่ายทำอีกครั้ง ทั้งสภาพอากาศที่ไม่ดี
และพระเอกคนเก่งที่หายไป
“เขาหายไปไหนของเขานะ”
เดินหาไปนาน ๆ
ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดทีไม่เจอตัวเสียที
หยางหยางเดินทางย้อนกลับกองถ่ายหลังจากเดินตามาหามาห่างจากที่พักและกองถ่ายอยู่ไกลอพอสมควร
ทุกคนเดินไปก่อนล่วงหน้าหยางหนยางแล้ว และระหว่างก็ปรึกาถึงปัญหานี้ด้วย
จะให้นักข่าวรู้ไม่ได้ โชคยังดีที่เหตุการณ์ณืเกิดขึ้นในช่วงกลางคืนดึกสงัดที่ไม่มีนักข่าวประจำการอยู่
คุณผู้กำกับก็ลงมาตามหาอี้เฟิงด้วย
ซึ่งหนหลังขากลับเขาย้ำทีมงานทุกคนไปจนถึงคนยกน้ำเสิร์ฟว่าห้ามหลุดเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด
หยางหยางได้ยินก็รับคำด้วย แม้จำอยู่ไกล
แต่น้ำเสียงคุณผู้กำกับเครียดเล็กน้อย ส่งผ่านเสียงมา
ทีมงานทุกคนก็เริ่มเคร่างเครียด และพยายามหาวิธีแก้
และแบ่งทีมกันไปค้นหาอี้เฟิงอีกครั้ง ในอีกส่วนหนึ่งของโซนป่าแห่งนี้
ทำให้คนอื่นเขาลำบากแท้ ๆ หยางหยางคิด
เขาสาวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงฟ้าร้องไล่หลังตามมา วันนี้ต่อให้มีหลี่อี้เฟิงอยู่ก็อาจจะถ่ายไมได้อยู่ดี
เพราะสภาพอากาศย่ำแย่ เพราะเมฆก้อนใหญ่ที่เหมือนจะเทฝนหนักลงมาทุกเมื่อ
จำได้ว่าพยากรณ์อากาษแจ้งข่าวสำคัญผ่านวิทยุชุมฃนว่าจะมีพายุกำลังแรงเข้ามา
เป็นช่วงข่าวด่วนเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นรวดเร็วและเปลี่ยนอย่างกะทันหัน
หืม ?.....
กลิ่นนี้
หยางหยางสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ลอยมาตามสายลมก่อนที่ฝนจะตกลงมา เขาที่เดินสาวก้าวเร็ว ถึงกับต้องชะลอ
เพราะเป็นความสงสัยในใจที่เกิดขึ้น
กลิ่นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เหมือนกับเคยสัมผัสผ่านมาแล้ว
เขาอาจจะอยู่ใกล้มาก ๆ กับสิ่ง ๆ นี้ที่มีกลิ่นนี้ติดมา
น้ำหอมของหลี่อี้เฟิง
ทันใดหยางหยางก็คิดออกว่า
ทั้งที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกันเรือนร่างชวนฝันนั้นบ่อยจนแทบจำรายละเอียดบนร่างได้อยู่แล้วแต่กลับลืมกลิ่นสัมผัสของร่างกายเสียได้
กลิ่นนี้เป็นกลิ่นน้ำหอมที่หลี่อี้เฟิงใช้เป้นประจำ
เป็นกลิ่นเฉพาะของเขาที่ทุกคนต่างบอกว่ามันช่างเหมาะกับภาพลักษณ์ของหลี่อี้เฟิง
เป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายแป้งเด็กเบาบาง แต่ไม่ได้อ่อนเยาว์ขนาดนั้น
มีส่วนหนึ่งที่กลิ่นนี้ชวนให้นึกถึงความซุกซนในความอ่อนเยาว์ของกลิ่น
เขาต้องอยู่ใกล้ ๆ นี้ล่ะ....
หยางหยางหันหลังกลับสาวเท้าไปตามหาอีกครั้ง โดยไม่ทันคิดผ่านถึงสมองด้วยซ้ำ เท้าของเขาเดินก้าวออกไป
พร้อมในความคิดที่วนอยู่ว่าหลี่อี้เฟิงกำลังอยู่ที่ไหน
และสายฝนก็โปรยปรายลงมา
หยางหยางไม่ได้วิ่งเข้าไปหาที่หลบฝนใด ๆ ทั้งนั้น
แต่เขาออกตามหาหลี่อี้เฟิง กลิ่นนั้นหายไปแล้วพร้อมสายฝนที่ตกลงมา
เขาจึงใช้สัญาชาตญาณตัวเอง ตามหาคนคนนี้เหมือนในบทละครแล้วกัน
“คุณ.....อี้เฟิง!”
และในที่สุดก็พบ มานอนหลับใหลตรงพุ่มไม้ ถ้าไม่สังเกต
หรือตั้งใจตามหา มองหา จะไม่เห็นร่างบอบบางนอนฟุบอยู่ตรงนี้แน่นอน
อี้เฟิงไม่ใช่คนที่ตัวใหญ่มากขนาดนั้นแม้สูงถึง 180
ซ้ำยังไม่ไม่มีกล้ามเนื้อจึงกลายเป็นหนุ่มน้อยที่ดูน่าปกป้องเสียแทน
จากสายตาคนรอบข้าง หยางหยางพุ่งตัวไปหาให้เข้าไปถึงร่างนั้น
มือแกร่งช้อนร่างโอบด้านหลังและซ้อนมือตรงหลังคอให้ลุกขึ้นนั่งแต่อีกคนรู้สึกมาสบายตัวขนาดหนักและนั่งไม่ไหว
จึงให้ซบตรงอกของหยางหยางแทน อี้เฟิงยังไม่สลบไปจนหมดสติ
แต่แค่เห็นเลือนรางว่ามีคนเข้ามาหา
“เจอฉันซะที นึกว่าจะต้องหนาวตายตรงนี้แล้ว”
อี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน ค่อย
เสียงหวานแหบพร่าแทบไมได้ยินหากไม่เงี่ยหูฟังใกล้ ๆ ริมฝีปากเรียวเล็กนั้นเอ่ย
ฝนที่ตกลงมานั้นทำให้เสียงเล็ก ๆนี้เบาลงไปอีก หยางหยางก้มลงไปต่ำ
และฟังคนที่เอนซบตรงอก มือสองข้างที่พยุงร่างและคล้ายกับโอบกอดเอาไว้นั้น
เขาทำให้มันกลายเป็นการโอบกอดอย่างแท้จริง
มือของหยางหยางทำตามใจรัดร่างของอี้เฟิงไว้แนบแน่นที่อก
ใบหน้าหวานเงยหน้าตาที่พร่ามัวขึ้นมา มองใบหน้าอีกคนที่มาอุ้มตัวเองอยู่
มือที่แทบยกขึ้นมาไม่ไหว เพราะไร้เรี่ยวแรง แตะที่แขนแข็งแรง
เอ่ยจบทั้งประโยคอย่างยากลำบากแล้ว จึงส่งรอยยิ้มให้แทนคำขอบคุณเขาไป
อี้เฟิงคิดว่ายิ้มนี้ก็ช่วยให้อีกคนรู้สึกได้ว่าเขาดีใจแค่นไหนที่มีคนเจอเขาเสียที
“อี้เฟิง!”
ใบหน้าหวานยังแต่งแต้มรอยยิ้มติดมุมปากแต่สลบคาอกไปแล้วอาจจะทั้งเพราะไม่มีแรง
และตากลม แถมยังมีฝนที่ตกกระหน่ำเสียตอนนี้แล้ว หยางหยางโอบรัดกอดให้แน่นขึ้น
แนบใบหน้าหล่อเหลาก้มชิดมใบหน้าหวานล้ำที่ซีดเซียว
เขาชิดหน้าผากของตัวเองกับหน้าผากของคนที่สลบหลับใหลไปแล้ว
ยิ้มน่ารักนั้นติดตาตรึงใจหยางหยางมากกว่าที่เขาเองจะเข้าใจด้วยซ้ำ
เหมือนมันถูกบันทึกไปตลอดกาลในหัวใจของเขา
“อี้เฟิง...”
เขาทำได้เพียงแค่เรียกชื่อ และผ่อนลมหายใจคงที่
ประทับจูบเบาบาง ให้อีกคนที่อาจจะไม่รับรู้
หรือรับรู้ได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งของประสาทสัมผัสว่า ตัวเองปลอดภัยในอ้อมอกเขาแล้ว
THISMAN
หลังจากที่หยางหยางพบอี้เฟิง
ทุกคนดีใจมากเมื่อเห็นรุ่นน้องโอบอุ้มช้อนร่างรุ่นพี่ท่ามกลางฝนกระหน่ำ
และพามาจนถึงจุดรวมพลของกองถ่าย เขาเป็นคนเดียวที่ตามหาหลี่อี้เฟิงจนเจอ
พอถึงห้องพักส่วนของอี้เฟิง เขาวางร่างนั้นลง อีกคนเข้าสู่นิทรา
หลับสนิทไม่รู้อะไร จนแพทย์สนามของกองถ่ายมาตรวจร่างกายเบื้องต้น
เพราะจะพาออกไปโรงพยาบาลตอนนี้ก็ไม่ได้ และเบื้องต้นก็พบเพียงรอยชกช้ำ
และบาดแผลจากการลื่นไถล คาดว่าอี้เฟิงคงไปเดินเล่นและพลัดตกลงไป
พร้อมทั้งร่างกายที่อ่อนเพลียมาก อาจจะเป็นเพราะการทำงานโหมหนักจนไม่สบาย ทีมงานส่วนของอี้เฟิงรับฟังคำสั่งของคุณหมอ
และตามไปรับยาภายหลัง ทีมงานนี้มองหยางหยางอย่างไม่เชื่อสายตาเท่าไหร่
ว่าสุดท้ายคนที่หาอี้เฟิงจนเจอจะเป้นคนคนนี้ ทีมงานส่วนตังของทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักกันดีและรับรู้ถึงความเกลียดชังของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี
“ขอบคุณที่พาอี้เฟิงกลับมา”
หยางหยางไม่ตอบอะไรแค่พยักหน้าและเดินกลับออกไป
แต่ทันที่ผู้กำกับรั้งตัวเขาไว้ก่อน บอกให้หยางหยางกินยาและพักผ่อนด้วย
“พักผ่อนด้วยหยางหยาง นายก็เพิ่งไปตากฝนมา”
เมื่อผู้กำกับพูดเช่นั้นเขาก็รับคำ
เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพ
พลางเสตาไปมองอี้เฟิงที่หลับใหลอยู่บนเตียงสนามเหมือนเขากำลังถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเสื้อผ้าที่อยู่นั้นเปียกปอนไปหมดเพราะฝนแล้ว
หยางหยางเบนสายตาไปทางอื่น คิดได้ว่าโชคดีที่รอยที่เคยทำไว้จางหายไปเกือบหมดแล้ว
และรอยใหม่ก็มีเพียงแค่ตรงลำคอขาว
ส่วนมากตอนนี้บนร่างของอี้เฟิงมีรอยแผลที่ได้มาจากอุบติเหตุเมื่อครู่
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เขาพาตัวเองออกมาจากเต้นท์ส่วนตัวของอี้เฟิง
ฝนฟ้ายังไม่หยุดเทลงมา คุณผู้กำกับก็ตามเขาออกมาด้วย ผู้น้องโค้งหัวให้
“นายดูเป็นห่วงอี้เฟิงมาเลยนะหยางหยาง”
“เอ๋ ? หรอครับ ?
“
คุณผู้กำกับมองใบหน้าหล่อเหลา
และส่งยิ้มให้แม้เหนื่อยอ่อนจากเรื่องราวยุ่งวุ่นวาย
“แววตานายมันบอกหมด ฉันผ่านโลกมามาก
แววตาแบบนี้มองก็รู้ว่ามีมากขนาดไหน ความเป็นห่วงนั้นน่ะ”
พูดจบคุณผุ้กำกับยกมืออบอุ่นยีหัวเด็กน้อยนักแสดงของเขาอย่างนึกเอ็นดูเป็นลูกหลาน
และเดินไปจัดการงานส่วนตัว หยางหยางโค้งส่งอีกครั้ง หลังจากนั้นก็กลับมาคิดกับตัวเอง
แววตา ... ?
ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำอะไร ไม่มีการเสแสร้งใด ๆ ทั้งสิ้น
หยางหยางมั่นใจในฝีมือการแสดงของตัวเองแม้แต่สายตาก็เปลี่ยนแปลงปิดบังความรู้สึกแท้จริงได้
แต่ครั้งนี้เขาไมได้ทำ...นั่นเขารู้ว่าเป็นความรุ้สึกแท้จริงของเขาทั้งหมด
“บ้าไปแล้วแน่ ๆ หยางหยาง แกมันบ้าไปแล้ว”
เขากลับไปคิดกับตัวเองอยู่พักหนึ่งที่ห้อง
และพร้อมทำกิจวัตรส่วนตัว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หาอะไรใส่ท้องและทานยาตามที่คุณหมอได้นำมาให้เมื่อครู่นี้
พี่สาวผู้จัดการก็ย้ำหนักหนาว่าให้กินยาตามที่หมอสั่ง
และขอโทษที่เธอคิดผิดไปว่าหยางหยางเป็นคนทำ
เพราะเธอระแวงเรื่องภาพที่หยางหยางเคยเปิดเผยออกมาว่าจะใฃ้เล่นงานหลี่อี้เฟิง
“นายนอนซะ “ เธอสั่งแค่นั้นและออกจากห้องพักของหยางหยางไป
ร่างกายแข็งแรงทิ้งตัวลงบนเตียงสนาม เอนกายลงนอนให้สมองโล่ง คิดทบทวนความรู้สึก
บ้าไปแล้ว.... หยางหยางว่าตัวเองอีกครั้ง
และคิดถึงรอยยิ้มนั้นที่ได้รับเมื่อครู่ใหญ่แม้เป้นรอยยิ้มที่เบาบาง แต่มันติดตรึงใจหยางหยางเหลือเกิน
เพราะเมื่อหยางหยางพบหน้ากับหลี่อี้เฟิงมันจะมีแค่การเสแสร้งแกล้งและใบหน้าเกลียดชังที่ส่งมา
แต่เมื่อครู่นั้นคือ รอยยิ้มที่จริงใจและส่งมาหาเขา จะไม่ให้ตราตรึงได้อย่างไร
มือแกร่งยกแตะหน้าผาก เมื่อก่อนหน้าเขาแนบหน้าผากตัวเองกับคนคนนี้
และจูบเขาไป จูบนั้นไม่ใช่จูบแบบเมื่อครั้งก่อนที่เคยกระทำกับหลี่อี้เฟิง
เป็นจูบที่มีความรู้สึกอื่นที่แปลกไป หยางหยางไม่เข้าใจมันนัก
เขาพยายามปัดมันให้ตกไป ไปหล่นอยู่ตรงซอกของหัวใจ
แต่เรื่องรอยยิ้มน่ารักของหลี่อี้เฟิงก็กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
เหมือนเขากำลังแย่ หยางหยางกำลังแย่
หัวใจของเขาอาจจะถูกโจมตี
มือแกร่งข้างเดิมเลื่อนลงมาที่หัวใจ
และแตะดูว่ามันมีอาการอย่างไร
เต้นแรง...เมื่อนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มนั้น
“ให้ตาย”
และจบสิ้นคำ หยางหยางก็ไม่ทันได้รั้งห้ามหัวใจ
ความคิดส่งผ่านไม่ทันสมอง แต่จิตใจบอกว่า ตอนนี้เขาขอไปอยู่ข้าง ๆ
ร่างที่เขาโอบอุ้มมาเมื่อครู่นี้เสียซักหน่อยแล้วกัน
พอเลกผ้าหน้าเต้นท์ที่พักก็ไม่พบใคร
คาดว่าจะน่าจะแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวแล้ว
หยางหยางจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ และทรุดร่างนั่งข้าง ๆ
อี้เฟิงที่หลับอยู่บนเตียงสนามบนเก้าอี้ที่ตัวเองคว้าได้ตรงหน้าเต้นท์
“อืม”
เสียงครางครือเบา ๆ ออกจากลำคอคนหลับ
เหมือนแมวน้อยกำลังป่วย หยางหยางลดใบหน้าลงต่ำ มองพินิจใบหน้าหวานนี้อีกครั้ง
ได้เห็นมุมที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน
เพราะหากร่วมรักกันก็ไม่สนใจอะไรเล็กน้อยแบบนี้อีก
ใบหน้าหวานที่ประกอบด้วย จมูกรั้นได้รูป
ปากเรียวสวยที่หยางหยางจูบซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
แก้มที่ดูนุ่มนิ่มที่หยางหยางเคยฝากจูบเช่นกัน คิ้วเข้มที่รับกับดวงตากลมโตเมื่อยามตื่น
เป็นดวงที่สะกดให้หยางหยางต้องมองกลับไปทุกครั้ง
หยางหยางไล่มองทุกส่วน..และย้อนมาที่ความคิดของตัวเอง
ภาพรอยยิ้มนั้นกลับมาอีกครั้ง เขายกมือขยี้หัวตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์
ไม่รู้ว่าตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไร ไม่มีเหตุผลที่มา แต่ก้ไม่อยากออกไป
อยากอยู่ตรงนี้อีกซักพัก เพื่ออะไรเขาตอบได้ว่าขอแค่มองหน้าคนคนนนี้ก็พอ
แต่เหตุผลไม่มี ทำไมถึงคิดถึงคนคนนี้ หาเหตุผลไมได้
หยางหยางจึงรีบสรรหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองในจิตว่า แค่อยากทำอะไร ๆ แบบนั้นด้วย
เลยมารอดูอาการ
เหตุผลงี่เง่าสิ้นดี
หยางหยางมองดูตัวเองที่เหมือนจะเป็นบ้า ทันใด
ร่างหลับใหลขยับตัวและหันตะแคงตัวเองมาทางเขา
เหมือนอี้เฟิงกำลังละเมออยู่
ปากเรียวสวยขยับแต่ไม่ได้ศัพท์ว่าเขาพูดอะไร หยาหยางก้มต่ำลงไปใกล้ ๆ อีก
มือน้อยนั้นคว้าแขนเสื้อของหยางหยางไว้
และเมื่อใกล้มากขนาดนี้จึงฟังได้ศัพท์มานิดหน่อย
เป็นประโยคเดิมที่เขาได้ยินตอนเขาพบอี้เฟิงตรงพุ่มไม้เมื่อก่อนหน้านี้
ใบหน้าหล่อนิ้วไมสบอารมณ์
เหตุผลเพราะหัวใจกำลังย่ำแย่อย่างหนัก แย่แน่ ๆ
ใบหน้าหวานน่ารักที่ซีดเซียวพอตะแคงมาก็ยิ่งมองเห็นชัดมาขึ้น
มือที่คว้าแขนเสื้อหยางหยางไว้ลดลงไปแล้ว เขาเลิกละเมอและกลับไปนอนสงบเหมือนเดิม
หยางหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาและผุดลุกขึ้นทันทีก่อนจะถลำลึกและทำให้หัวใจตัวเองแย่ไปมากกว่านี้
“รู้สึกแย่ชะมัด”
นั่นเป็นคำที่บรรยายความรู้สึกของเขาได้ดี
ไม่ใช่รู้สึกแย่ที่ได้เห็นหน้าอี้เฟิง แต่มันแย่ตรง พอเขาเห็นใบหน้าหวานๆ
นั่นแล้วรู้สึกตรงกันข้ามต่างหาก นั่นทำให้ทุกอย่างที่หยางหยางตระเตรียมไว้ในความคิดจัดไว้เพื่อหลี่อี้เฟิงโดยเฉพาะ...ความเกลียดชัง
นั้นเริ่มสั่นคลอน เขารู้ตัวเองทุกอย่าง
แต่หาเหตุผลรองรับอาการไมได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนนี้
ร่างของหยางหยางรีบละความคิดและรีบสาวเท้าออกมาให้ห่างจากหลี่อี้เฟิง
และก่อนจะมีคนอื่นมาเห็นเขาในเต้นท์
แต่ไม่ทันจะได้เลิกผ้าตรงหน้าประตูเต้นท์ที่พัก
หยางหยางหันหลัง
สาวเท้ากลับเข้าไปหาร่างหลับใหลนั้นอีกครั้ง
ใจนึกอยากทำอะไร เขาสุดแล้วแต่ใจ
ริมฝีปากที่อบอุ่นฝากประทับจูบไว้ที่หน้าผากของร่างหลับใหลได้สมใจแล้ว
หลังจากที่ครั้งก่อนติดอยู่ในใจ เพราะอยากทำแต่ไม่ได้ทำ
แต่ครั้งนี้เขาได้ทำมันแล้ว หยางหยางที่ถอนจูบออกมาจากหน้าผากเนียนช้า ๆ
มองดูใบหน้านี้อีกครั้ง
ที่ร่างกายอ่อนแอ
เขารู้ว่าไม่ใช่แค่ทำงานนหัก็เพราะยานั่นที่เขาให้อี้เฟิงกินเข้าไป และกิจกรรมถัดไปหลังจากน้นทีทำให้อ่อนเพลีย
ทุกอย่างมันมีเหตุผลที่ทำให้ร่างนี้ต้องป่วยและไมสบายนอนซมตรงนี้
เขาเอ่ยคำที่ไม่คิดว่าจะต้องเอ่ยกับหลี่อี้เฟิง
หยางหยางยังนึกแปลกใจกับตัวเอง แต่นั่นเป็นหลังที่เขาเอ่ยออกไปแล้ว
“หายไว ๆ นะ”
THISMAN
หลังจากวันนั้นที่เกิดเหตการณ์วุ่นวาน
กองถ่ายกลับสู่วันเวลาปกติและเริ่มถ่ายฉากถัดมา ต้องดำเนินการกันรวดเร็วหน่อย
เพราะจำเป็นต้องรีบเข้ากระบวนการตัดต่อแล้ว จึงเร่งถ่ายทำในฉากที่คั่งค้าง และ
สภาพอากาศก็ดีซะด้วย จึงเร่งถ่ายเก็บไว้กันเป็นว่าเล่น
“อี้เฟิง ขอโทษนะที่ต้องถ่ายเยอะ ๆ
แต่มีบอดี้การ์ดดูแลแล้ว ฝากพี่เขาด้วยล่ะหยางหยาง”
ทีมงานเอ่ยแซวทั้งสองคนที่ยืนรอเข้าฉากอยู่ใกล้ๆ
กับที่ถ่ายทำ ทั้งสองที่หลังจากวันนั้นแทบไม่พบหน้ากัน
แต่มีสถานการณ์และบรรยากาศที่เปลี่ยนไป จนทีมงานส่วนตัวที่รู้ว่าสองคนนี้เกลียดกันดี
กลับแปลกใจขึ้นมาจนต้องถามว่า
“สองคนนี้เป็นอะไร”
เจอคำถามเดียวกัน แต่ไม่ได้คำตอบ ทั้งคู่ไม่ตอบอะไร
เพราะยังหาคำตอบให้ไมได้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเปลี่ยนไป แล้วเหตุผลล่ะ?
ยิ่งไม่มี
ทั้งสองยืนรอเข้าฉากกัน
ทั้งคู่นิ่งและไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันเลย แม้จะยืนข้างกันนาน
หยางหยางเบี่ยงหน้าลองลอบมองคนเป็นรุ่นพี่ข้าง ๆ
ยังคงเป็นใบหน้าที่อยากหลบหลีก
เขารู้สึกแตกต่างจากเมื่อก่อนที่มองใบหน้านี้
แต่ตอนนี้มองแล้วมีอาการนอกเหนือจากที่คิดผุดขึ้นมาด้วย อี้เฟิงที่หันมาเมื่อกับที่หยางหยางเสหลบไปทัน
เขามองใบหน้าหล่อเหลานั้น นิ่งสนิทไม่มีความรู้สึกใด ๆ
หยางหยางรู้สึกแรงที่ชายเสื้อโค๊ตของตัวเองที่มีไว้เพื่อกันหนาวที่คลุมอยู่บนร่างกาย
“ฉันไม่สบายอยู่ ขอเสื้อโค้ตนี่หน่อย”
หยางหยางมองใบหน้านั้นอย่างไม่เชื่อ
กล้ามาขอเขาแบบนี้ได้อย่างไร เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน
แต่ที่แปลกและไม่น่าเชื่อยิ่งกว่า
“ขอบใจ”
หยางหยางส่งให้อี้เฟิงอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ไต่ถามอะไร
และไปคว้าเอาผ้าคลุมข้าง ๆ แถวนั้นซึ่งน่าจะเป็นของทีมงานมาห่มไว้กับตัว อี้เฟิงรับไปอย่างไม่เชื่อเช่นกัน เขาแค่พูดแต่กลับได้มาจริง ๆ
จากหยางหยางที่เกลียดชังเขาคนนี้
และความเงียบงันก็ปกคลุมอีกครั้ง
“ที่บอกขอบใจน่ะไม่ใช่แค่เรืองเสื้อแต่เรื่องวันก่อนก็ด้วย”
“ช่างมัน
คิดซะว่าผมต้องทำไปเพราะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีระหว่างพี่น้อง”
“เออ จะยังไงก็เหอะ
อย่างน้อยนายก็อุ้มฉันมาจนถึงกอง ....ก็ขอบใจ”
หยางหยางพ่นลมและครางลำคอ เริ่มหงุดหงิด
ไม่เข้าใจว่าเขาเป็นแบบนี้ทำไม ช่วงนี้หยางหยางมีอาการแบบนี้และไม่เข้าใจตัวเองบ่อยขึ้น
“แต่นายขโมยจูบฉันนะ”
หยางหยางได้ยินประโยคนั้น
เขาเบิกตากว้างตกใจในประโยคที่อี้เฟิงพูดออกมา ทำไมถึงพูดแบบนี้
แต่ไม่แสดงให้เห็นเขาเสใบหน้าหล่อไปทางอื่นก่อนที่อี้เฟิงจะสังเกต
อี้เฟิงเม้มปากไม่พอใจ เพราะเขาพูดด้วยก็ไม่ยอมพูด
ค้อนใส่หยางหยางกับตัวเอง และสุดท้ายก็มีทีมงานมาหาและเรียกทั้งสองคนไปเข้าฉากอีกครั้ง
หยางหยางมองดูร่างบอบางที่สวมเสื้อโค้ตของเขานำลิ่วไปแล้ว
มองไปพักใหญ่ เขาถึงได้รับรุ้ว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่
THISMAN
หลายวันมานี้ หยางหยางเข้าออกกองถ่ายนี้แทบทุกวัน
บางครั้งต้องค้างที่กองนานเพราะมีซีนที่ต้องถ่ายกลางคืน
เขาจึงมีเวลาได้ทบทวนและทดสอบอะไรบางอย่างกับตัวเองที่เกี่ยวกับหลี่อี้เฟิงทุกอย่าง
ตอนนี้เป็นเวลาเข้านอนแล้ว และตอนนี้เขาก็ไม่ยังพร้อมเจออี้เฟิง
แม้อยากไปหา แต่ครั้งสมองสั่งการทันรั้งเอาหัวใจไว้กับที่
เขาต่อสู้กับตัวเองสุดท้ายก็นั่งอยู่ที่เต้นท์และอยู่ที่นี่ไปอย่างอดทน
“บ้ากันไปหมด”
เขาบ่นกับตัวเอง
หลังจากหลายสัปดาห์เขาสังเกตตัวเองที่มีอาการ ปฏิกิริยา ความรู้สึกต่ออี้เฟิง
มันเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนหน้ามากขึ้นเรื่อย มากตามจำนวนวันที่พบหน้ากัน
และรอยยิ้มนั้นก็ตามมาหลอกหลอนเขาในใจอีก ผ่าจากเหตุการณ์นั้นมา อี้เฟิงกับหยางหยางเริ่มมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไป
สองคนกันและกันก็รู้และจับสังเกตได้
และก็ปล่อยให้บรรยกาษนั้นมันไม่มีคำตอบไปเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์เมื่อเย็นที่ผ่านมาเมื่อครู่
อี้เฟิงเดินมาหาเขาที่นั่งพักอยุ่ที่โคนต้นไม้ เพื่อรอถ่ายฉากถัดไป
แต่ก่อนหน้านั้นเขามีแผลจากฉากก่อนหน้านี้
“อะ เอาไป”
“อะไร”
“รุ่นพี่เขอามาให้อย่าปฏิเสธ”
“สร้างภาพลลักษณ์ที่ดีอะไรอีก”
“ฉันไมได้เป็นคนที่ต้องคอยสร้างอะไรตลอดเวลาขนาดนั้น
และมือนายมีแผล แปะพลาสเตอร์ซะ”
พูดจบร่างของอี้เฟิงก็ทรุดนั่งตรงหน้า
และฉีกวองพลาสเตอร์แปะที่หลังมือข้างที่ไม่มีถุงสวมให้
ปัดเศษดินเศษหญาให้พ้นแผลโดยการเป่า หยางหยางมองดูการกระทำนี้อย่างไม่เข้าใจ
อี้เฟิงเงยหน้างช่อนดวงตากลมโตมองเขา และมองอย่างหงุดหงิด
ก่อนละตัวเองออกจากตรงนั้นไปและส่งเสียงมา
“ฉันโกหก ซาตานหน้าโง่ ฉันสร้างภาพ
เห็นมั้ย พี่ๆ ทั้งกองเห็นว่าฉันเป็นรุ่นพี่ที่น่ารักไปหมดทั้งกอองแล้ว”
เขาจุดยิ้มอย่างเผลอใจหยางหยางมองดูแผลที่มือ
ที่จริงมันหายกับสนิทแล้วเพราก็ผ่านมาเป็นวัน แต่ที่รู้สึกเป็นอีกอย่างต่างหาก
ความอบอุ่นไหลวนอยู่บนแผล
ดูเพ้อเจ้อชะมัด
และหัวใจของหยางหยางบีบหน่วงอีกครั้ง เมื่อคิดถึง
“บ้าชิบ”
จากเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้หยางหยางเริ่มรู้สึกถึงความสับสนของตัวเอง
ตราชั่งความรู้สึกไปแล้ว จึงเขาทำให้ตัวเองสงบ เสียหน่อย
ความเกลียดที่มีก่อนหน้า สั่นคลอน
หยางหยางคว้ามือถือ
และเครื่องอัดเสียงเครื่องสวยที่มีหลักฐานสามอย่างของหลี่อี้เฟิงกับกับความน่าอับอาย
ถ้ามองของเหล่านี้ เขางก็จะรู้ว่าตัวเองเกลียดชังหลี่อี้เฟิงแค่ไหน
และความรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อครู่นี้แค่ฝันไป
เขาเปิดรุปแรกที่ถ่ายไว้ ร่างบอบบางเปลือยเปล่าและหลับใหลท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า
อย่างที่สองเป็นเสียงที่อัดดไว้ตอนที่หยางหยางนึกสนุกอยากมีเสียงมัดตัวคนคนนี้อีกอย่างเขาใส่หูฟังและกดเปิดฟัง
เขายิ้มเยาะ เป็นเสียงที่ไม่เลว แต่สวนทางกับความรู้สึกเจ้าของเสียง
คงคับแค้นใจ แต่หากว่าอารมณืในเสียงนี้กำลังจะไปถึงสรวงสรรค์
“อืม..”
เสียงทุ้มครางในลำคอ เริ่มรู้สึกรุ่มร้อน
เขาเองก็ไม่น่าคิดไปเปิด แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาเลิกคิดอะไรฟุ้งซ่าน
หยางหยางอย่างสุดท้าย คลิปในโทรศัพท์ดู
ความยาวพอสมควรและแล้วเสร็จกิจกรรมที่หยางหยางคิดว่ามันสนุกดีที่ได้เล่นกับเรือนร่างนั้น
เวลานั้นหลี่อี้เฟิงร้อนแรงเป็นไฟ ความต้องการที่โหมกระหน่ำ
ทำให้คนที่ดูไม่อยากลับต้องการมากถึงขั้นต้องเปลี่ยนฝั่งไปจัดการตัวเองบนร่างของเขา
หยางหยางยิ้มเยาะและหัวเราะเสียงเบาออกมาเมื่อคิดถึง ...และตอนนี้
ของทั้งหมดนี้ก็ปลุกเขาขึ้นมา
หยางหยางก็ไม่ปฏิเสธอีกว่านี่เป็นอะไรที่ปลุกเร้าอารมณ์ของเขาได้
หลี่อี้เฟิงทำให้เขารู้สึกอยาก มือแกร่งละวางมือถือเครื่องสวยและเริ่มจัดการกับความรู้สึกต้องการของตัวเองตอนนี้
เขานั่งอยู่บนเตียง มือใหญ่คว้าเอาส่วนอ่อนไหวใต้ร่มผ้า ไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก เขารูดรั้งให้รีบหมดความต้องการไป
ก่อนที่ใครจะเข้ามาเห็น
“อา....”
ระหว่างเส้นทางขึ้นาสวรรค์
หยางหยางนึกถึงใบหนน้าของอี้เฟิงไปด้วย เขามีแค่นี้
คนคนนี้เป็นคนที่ทำให้หยางหยางเกิดอาการได้มากถึงเพียงนี้
สาว ๆ หนุ่ม ๆ ที่เคยผ่านคนอื่นแทบเทียบไมได้
มือแกร่งรูดรั้งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมส่งเสียงครางในลำคอให้ผ่อนคลายอารมณ์
มืออีกข้าง รั้งให้กางเกงตัวนอก และชั้นใน
ลดระดับให้เขาได้ทำอะไรสะดวกอีกหน่อย มือข้างที่ยังกำส่วนอ่อนไหวอยู่
รูดรั้งไปพลาง และมืออีกข้างเอื้อมไปกดเล่นวีดีโอในมือ
เขาเปลี่ยนเอาหูฟังจากเครื่องเล่นเพลงในใส่แล้ว และใช้มันปลุกเร้าอารมณ์
ยิ่งฟังยิ่งคิดถึงตอนนั้นยิ่งความต้องการพุ่งสูงขึ้นไปเป็นระดับ
หยางหยางอยกไปถึงสวรรค์เร็ว ๆ
“อา...อี้เฟิง..คุณ..”
หยางหยางส่งเสียงทุ้มครางชื่ออีกคนที่อยู่อีกฝั่งกองถ่าย
เขาคิดถึงร่างนี้แต่ปฏิเสธใจไปหา มือแกร่งเร่งให้เร็วขึ้น
ทั้งเสียงในวีดีโอเป็นช่วงกำลังเข้าช่วงสุดยอดของกิจกรรม
หยางปลดปล่อยออกมาแทบจะพร้อมกับจังหวะของวีดีโอในมือพอดี
จึงคิดไปสมมุติไปว่าได้เล่นสนุกกับร่างของอี้เฟิงแล้ว
มือแกร่งเปรอะเปื้อนคราบสีขาวขุ่น และเปื้อนไปถึงกางเกงชั้นใน เขาถอดมันออกทั้งหมด
ทั้งกางเกงตัวนอนด้วย และลุกขึ้นนั่ง แม้ความต้องการยังมีอยู่
เขาควรไปห้องน้ำและจัดการในนั้นดีกว่า มือแกร่งที่ยังเปื้อนคราบขาวขุ่นจากตัวเอง
คว้าผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองต่อ
พอเข้าห้องน้ำมา หยางหยางคว้าเอาโทรศัพท์มาด้วยเช่นกัน
เขาเปิดวนวีดีโอนี้นับครั้งไม่ถ้วน จัดการความต้องการรูดรั้งให้พุงถึงขีดสุดยอดปลดปล่อยมาตั้งเท่าไหร่
ทำเอานึกถึงตอนที่เขาใส่ยาปลุกให้อี้เฟิงกิน แต่เขาแทบไม่ต้องใช้
แต่มีวีดีโอของเขากับอี้เฟิง ก็นับเป็นยาดีได้เลย
หรือเพราะเขาต้องการอีกคนมากเกินไปกันแน่
“เราต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ “ เขาพูดกับตัวเองหลังเสร็จกิจทั้งหมด และกำจัดความต้องการได้ไปแล้ว
มือแกร่งถอเสื้อส่วนบนออกและเปิดฝักบัวอาบน้ำให้น้ำไหลผ่าน
เผื่อเขาจะคิดอะไรและรู้จักตัวเองในส่วนที่ไม่เข้าใจได้มากขึ้นก่อนจะเป็นบ้าไปเสียก่อน
มืออีกข้างดันผนังเอาไว้
เขาก้มหน้าให้น้ำจากฝักบัวไหลรดตั้งแต่ส่วนหัวถึงเท้า ให้หมดความร้อนรุ่ม
“หยางหยาง อยู่ในห้องน้ำหรอ”
พี่สาวผู้จัดการของหยางหยางเดินเข้ามาในห้อง
เธอไม่ต้องขออนุญาตก็เดินมาได้ตามสบายเพราะเป็นคนสนิทเหมือนน้องชายและเป็นเด็กที่ดุแลกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เธอเอ็นดูและสงสารเด็กคนนี้ไปพร้อม ๆ
กันในบางทีที่เธออยากปลอบเด็กคนนี้ก้ไม่เคยแสดงความเศร้าอะไรในบางครั้งที่อาจจะมีอุปสรรคในการทำงานบ้าง
และตอนนี้ก็มีอุปสรรใหม่ เข้ามา
เธอเพิ่งไปประชุมกับทีมงานกองถ่าย
และเข้าคุยประเด็นเรื่องใหญ่ของดารานักแสดงกับอีกทีมหนึ่ง..ก็คือทีมของอี้เฟิงที่อยู่ร่วมบริษัทกัน
ที่จริงเคยร่วมงานกันแต่เพราะความเห็นและเส้นทางการไปสู่อนาคตแตกต่างกัน
จึงจำเป็นจะต้องทำบางอย่างเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้า
เธอยืนนิ่งอยู่ด้านนอกซักพัก พูดเสียงดังขึ้นนิดหน่อย
เพราะหยางหยางอยุ่ในห้องน้ำ และหยางหยางก็ปิดฝักบัวเพื่อให้ได้ยินเสียงเธอ
“หยางหยาง เราอาจจะต้องย้ายที่.
ทุกคนฝ่ายเรา อาจจะต้องออกจากบริษัทไป”
พอจบประโยค
หยางหยางก็ถลาเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่พันรอบเชิงกรานที่รับกับหุ่นสมส่วนของหยางหยาง
ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ ยังไมดั่นได้เช็ดตัวซักด้วยซ้ำ
เพราะตกใจข่าวใหม่จากพี่สาว
“อะไรนะครับ?”
“เราจะต้องไปจัดการอะไรใหม่ กับที่ใหม่
เปิดบริษัทใหม่ ทีมเราตกลงกันแบบนี้ เจี๋ยชิไคกหัวหน้าเราก็พร้อมจะไปแล้ว..ไปกับเรานะ
หยางหยาง”
จบประโยคนั้น ความรู้สึกสับสน และวุ่นวายใจก็ถ่าโถมเขา
********************************************************************************************TBC
8
TALK :: ดราม่าอิงเรื่องจริงเหลือเกิน.....
ตอนนี้ก็โรแมนติคดีใช่มั้ยล่ะะ
ตอนนี้เพิ่งอ่านเมื่อเช้าค่ะ 5555 ระหว่างที่ทำงาน ฮือ หน้าไหม้กลางที่ทำงาน
ตอบลบมันเหมือนกับว่าตอนที่แล้วดู Mad max fury อยู่น่ะค่ะ พอตอนนี้เป็น Love Actually
55555555555 เป็นการเปรียบเทียบที่อุบาทว์มากแต่เห็นภาพสุดล่ะสำหรับเรา
คือแอบตกใจตอนแบบเฟิงหายไปนี่ก็แบบหยางแกนอนกะเขาปะ ทำไมแกไม่รู้สึกตัวอะไร
เหนื่อยมากหรอม เห้อม สมน้ำหน้านะหยางนะ /ตบบ่าปุๆ 2 ที
แต่ชอบความละมุนตอนหยางไปเจอเฟิงแล้วแอบขโมยจูบมาก อหหหหห
ความพังต้องมา ความเขินต้องมี (หมายถึงอิชั้นตอนอ่านเนี่ยล่ะค่ะ...)
ต้องใจสั่นหวั่นไหวขนาดไหนอะถึงอยากทำเรื่องละมุนแบบนั้นอะหยาง
คือนอกจากจะเป็นซาตานแล้วเขาก็ควบตำแหน่งคนซึนแถมยังไม่รู้ใจตัวเองด้วยค่ะ
หยาง...หยางต้องแบบตั้งสติใจเย็นอะ นั่งทำสมาธิแล้วดูหนังรักแล้วถามตัวเองใหม่นะหยาง
ขออนุญาตแซวหยาง นี่คนหรืออะไรคะจมูกนี่ดีเหลือเกิน 555555555555555
พังตอนนั้นไม่เท่าไหร่นะคะ คือมาพังต่อตอนเฟิงขอเสื้อ แบบฟหวหาก่ฟหสด้ฟ
อหหหหห เฟิงขอเลยนะแก แบบเฟิงพูดงะเห็นปะ แล้วยังมีตอนไปทำดีกับเขาก่อนอีก
โอ้ยหยาง ไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้วแก เราอ่านเรายังหวั่นไหวเลย 5555555555555555
นี่เถียงตอนหยางพูดกับตัวเองว่ารู้สึกแย่ไรงี้ตลอด แกไม่ได้แย่หยาง แค่รู้สึกดี
แต่ตอนนี้จบแบบได้กลิ่นดราม่าอีกแล้ว นี่หวานแบบฟินกั๊กๆ อีกสักตอนก็ได้นะคะ
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อออออออออออออออ XD
ปล.คุณเวย์อย่าแซวเราลงทวิตเลย จริงๆเรามีทวิตแต่ไม่บอกหรอกใคร /เขิน
คอมเมนต์แต่เรื่องที่อ่าน เรื่องไหนอ่านอีกเดี๋ยวจะมาทยอยเมนต์ให้นะคะ
*ทำมือรูปหัวใจ* เป็นกำลังใจให้ค่ะ