TITLE
: THISMAN
CHAPTER : FINAL 'คน คน นี้'
PAIRING : YANGYANG x
LIYIFENG
RATE : PG – 13
RATE : PG – 13
“ผมว่าผมทำไม่ได้
ไม่ได้หรอก ต่อให้ผมตามเขาไป เขาก็จะหนีผมไป
ต่อให้ตามทัน เขาก็ไม่เคยเห็นผมในสายตา”
“นายจะยอมแพ้แล้วหรือ
?”
หยางหยางเงยหน้าไปหาผู้จัดการของเขา
ถูกตั้งคำถามที่ตอบได้ยาก เขาคิด
เขาที่มีแต่ความมืดมน
เหมือนถูกจองจำในที่มืด
แต่ก็สมแล้ว
เขาเป็นซาตาน
ที่ที่มืดมนก็สมกับเขาแล้ว
“ผม....”
เขายังคง...คิดทบทวน
“ผม....”
และในที่สุดหยางหยางก็ได้คำตอบ
“ผม...ยอมแพ้ไม่ได้หรอก...”
พี่สาวผู้จัดการของหยางหยาง ถอนหายใจ และเริ่มจุดยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าน้องชายของเธอจะดูเหนื่อยล้ากับเรื่องหัวใจมากก็ตาม อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนไม่เอาการเอางาน อกหักจนเกือบเป็นบ้าตาย ก็ยังมีชีวิตเพื่อหน้าที่ต่อไป
ส่วนเรื่องความรักก็ไม่แพ้กัน
แม้ดูเหมือนใจจะแทบสลายคามืออี้เฟิงไปแล้ว
แต่เขาก็ยังอยากเอาเสี้ยวหัวใจที่เหลือไปสู้
“ดี”
หยางหยางเอียงคอ พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจตัวเอง รอยยิ้มเบาบางแต่เขาหนักแน่น
“ผมอยากเจอเทพบุตรของผม...อย่างน้อยก็ขออีกซักครั้ง.... ผมอยากเห็นรอยยิ้มของเขา”
แม้เขาจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แม้ในฝัน
เขายังทำให้อี้เฟิงยิ้มให้เขาไม่ได้เลย ที่จริงแล้วเขายอมแพ้
และเลิกล้มความตั้งใจไปแล้ว ก่อนหน้านี้ แต่
ฮึ
แค่นึกถึงรอยยิ้มของคนคนนี้ หยางหยางก็พลันยิ้มตามเสียแล้ว
เพราะมีรอยยิ้มที่น่ารักของอี้เฟิงลอยผ่านเข้ามาในความคิด ...ไม่สิ
ที่จริงมันวนเวียนอยู่ในหัวใจของซาตานผู้นี้มาช้านาน ตั้งแต่ได้รับมันมา
แม้อยากเลิกล้ม อยากยอมแพ้ อยากให้หัวใจตายและด้านชาไป แต่เมื่อมีแรงกระตุ้นเป็นรอยยิ้มที่สดใส
เขาก็อยากลุกขึ้นมาสู้ใหม่ แม้ดูไม่มีความหวังเลย
แต่เพื่อรอยยิ้มให้เขามีกำลังและพลังในการเพิ่มแรงให้หัวใจยังคนเต้นอยู่ต่อไป
แม้เขาจะถูกแทนว่าเป็นซาตานไร้หัวใจ...เขาอยากบอกว่ามันไม่จริง..ก็ที่ให้อี้เฟิงไป
เขาไม่เห็นมันหรือ... หยางหยางถอนหายใจอีกครั้ง ที่บอกว่าจะสู้..ไม่ได้สู้กับอี้เฟิง
เทพบุตรคนนั้น แต่สู้กับตัวเอง ว่าเขาจะทนอยู่ได้หรือไม่ ถ้าไม่มีพลังต่อชีวิต
เขาเพียงขอหนึ่งรอยยิ้ม จะให้นานเท่าไหร่...เขาคิดว่าจะเป็นสิบหรือร้อยครั้งสู้
ก็ยอม
อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องทนอยู่เหมือนตายทั้งเป็น รอยยิ้มนั้น
..หากว่าเขาได้รับมาจากอี้เฟิง อาจจะต่อชีวิตไปได้
ชีวิตของซาตานที่มืดมนคนนี้...เขาอยากให้เทพบุตรของเขา... ไว้ชีวิต
หลังจากผู้จัดการสาวของหยางหยางเห็นท่าทางแล้ว เมื่อเขาไม่ยอมแพ้
ก็ต้องกลับมาจัดการเรื่องที่ตัวเองทำไว้
หยางหยางหันไปพบสายตาของผู้จัดการสาวที่รอคอยให้เขาตอบกลับมา เขาคิดแล้วว่าจะหันหน้าเข้าหาปัญหาและเรื่องหนักหน่วงทุกอย่าง
เอาพลังที่มีไปสู้ เขาแม้จะรู้สึกท้อถอยและอยากยอมแพ้
เพราะเรื่องของหลี่อี้เฟิงทำให้พลังในการดำเนินชีวิตหายไปมากกว่าครึ่งแทบสูบร่างกายให้แหลกเหลว
แต่เขาก็ยังมีจิตใจที่อยากทำให้ปัญหาที่เคยก่อนั้นหายไป เรื่องนี้เป็นจุดที่หยางหยางยังไม่อยากยอมแพ้
งานในวงการไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เข้ามา จะออกได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร
เขาเข้ามาในวงการเพราะความฝัน เขาก็ควรรับผิดชอบกับความฝันของตัวเอง
และนี่เป็นอีกทางที่เขาจะได้พบกับอี้เฟิง ที่จริงมันอาจจะย้อนแย้งเล็กน้อย
เขานั้นไม่อยากทำให้งานเสียเพราความรัก แต่ความรักทำให้เขาหมดพลังในการใช้ชีวิต
“เอาล่ะ..ผมพร้อมแล้ว”
“ดี ก็ไม่ได้จะบอกว่าให้ลืมอี้เฟิงหรอกนะ
ฉันพอเข้าใจบ้างว่านายรักเขามาก
แต่อย่างน้อยก็อย่าทำให้รอบข้างที่นายอยู่กับเขามาต้องผิดหวังด้วย
เฮือกสุดท้ายก็ยังดี ลุกขึ้นมาทำอะไรให้ดีขึ้นเพื่อตัวนาย...และถ้านายอยากเจออี้เฟิงนี่ก็เป็นหนทางแก้ไขของนาย
ที่พูดนี่เข้าใจใช่มั้ย”
ผู้จัดการสาวย้ำเตือนให้สติกับหยางหยาง หากเขาล้มลงไปและไม่ลุกขึ้นมา
จะไม่มีอะไรดีขึ้นและเขาจะไม่ได้อะไรเลย และอย่าไปหวังเรื่องหัวใจของอี้เฟิง ต่อให้เขาฝันก็ไม่มีทางได้
เธอย้ำอีกครั้ง แม้จะเหมือนตอกย้ำ หยางหยางรับฟังอย่างเข้าใจ
คลี่คลายปมของตัวเองในใจทีละปม เขาไม่ควรให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวเสียหายและวุ่นวาย
เขาควรแก้ปัญหาด้วย ตัวเอง แม้ใจจะสลาย
ก็ขอให้ร่างกายทำงานไปเพื่อนหน้าที่กับความฝัน และนี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่เขาจะใช้โอกาสพบอี้เฟิงอีกครั้ง
ถ้าไม่เกี่ยวกับงาน
ในเวลาส่วนตัวมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่อี้เฟิงคนนั้นจะมาพบเขาต่อหน้า
“ผมดูแย่มากใช่มั้ยตอนนี้”
“ก็คนอกหักเหมือนจะตาย แต่แค่เกือบตาย
ต้องขอบคุณฉันหรือเฉินเสียงที่ยังรั้งไม่ให้นายตาย
“พี่ต้องขอบคุณอีกอย่างหนึ่งด้วย”
“อะไร”
หยางหยางทอยิ้มออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นน้องชายของเธอยิ้มอย่างจริงใจและแม้เป็นยิ้มเบาบางก็ดูมีความสุขเหมือนเขานึกอะไรอยู่ในใจ
บางอย่างที่มอบความสุขให้เขาได้อย่างมหาศาล
เธอก็ดีใจที่น้องชายคนนี้ยังมองอะไรในแง่ดีบ้าง ไม่จะเป็นจะตายจนนิ่งสนิท
“ยิ้มของอี้เฟิง”
ผู้จัดการสาวพ่นลมออกจมูกเย้ยใส่หยางหยางแบบแกมหยอก
เธอยิ้มแซวหยางหยางอย่างเปิดเผย ตบไหล่หยางหยางไปแรง ๆ
“นี่นายรักเขามากขนาดไหน”
“มากพอที่จะให้เขาทำอะไรก็ได้กับผม
ตอนนี้แค่ผมได้ยิ้มของเขาแค่ยิ้มเดียว ก็เหมือนได้ยาต่อชีวิตแล้ว”
“ให้ตายซี่ นายรักเขามากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งที่เกลียดกันมากแท้ๆ ก่อนหน้านี้น่ะ”
หยางหยางถอนหายใจอีกครั้งของวัน เขาคิดไปในหลายเรื่อง
และตอนนี้เขาก็อยากจะเล่าอะไรผู้จัดการของเขาฟัง เธอเหมือนพี่สาวที่สามารถบอกเล่าทุกอย่างได้
และเธอควรจะรู้เรื่องราวด้วย เพราะเธอก็รับผลกระทบนี้จากที่เขากระทำเหมือนกัน
"อยากรู้เรื่องของผมกับอี้เฟิงมั้ย”
“ก็ดี..แต่ว่านะ”
“แต่ตอนนี้เราจะต้องไปเคลียร์เรื่องข่าวที่ออกเสียก่อน
อย่างน้อยก็ไปคุยกับข้างบนว่าเขาจะไม่ฆ่าหยางหยางในวงการบันเทิงจีนตาย
เพราะข่าวนี้”
THISMAN
“อี้เฟิง”
เจ้าของชื่อที่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่แล้ว
จนผู้จัดการต้องเข้ามาดูเสียหน่อย ผู้จัดการของอี้เฟิงที่อยู่กันมานาน
รู้จักกันดีว่าเป็นอย่างไรและทำงานมาร่วมหัวจมท้ายกันมา
มีหรือที่เธอจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรในใจ
“ยังคิดเรื่องนั้นอยู่หรือ ?”
“ก็..ครับ”
อี้เฟิงตอบตามความจริงหลังจากช่างใจไปสักครู่ เขาหันไปมองใบหน้าที่เหนื่อยล้ากับงานมากมายของผู้จัดการที่รู้จักและทำงานกันมา
เธอใจดีและเข้าใจอี้เฟิงเสมอ ดูแลอี้เฟิงเป็นอย่างดี และรู้ใจอี้เฟิงที่สุดด้วย
จะดื้อจะเอาแต่ใจเธอก็จะกำราบอี้เฟิงได้
บางครั้งก็ได้เธอที่เป็นคนเตือนสติหลาย ๆ อย่างที่อี้เฟิงคิดมากและเกือบพลาดพลั้งไป
“เด็กผู้หญิงคนนั้นก็สมควรจะได้รับบทเรียนของเธอแล้ว
....ส่วนหยางหยาง...พี่ว่าเธอคงสมใจอยู่ไม่น้อย...ใช่มั้ย ? หรือ..ไม่?”
อี้เฟิงไม่สบตากับเธอในพยางค์สุดท้ายที่เธอยืดเวลาให้นานขึ้น
เธอเหมือนแค่มองอี้เฟิงก็รับรู้และเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง แม้ไม่ทั้งหมด
“อี้เฟิง”
“อือ”
“พี่จะนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ วันนี้เรามีเวลานิดหน่อย เธอมีงานไม่เยอะ”
เทพบุตรหน้าหวานนั่งฟัง พลางเอียงคอคิดไปด้วย เขาไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกไป
หรือแม้แต่สีหน้า แต่อี้เฟิงไม่แน่ใจว่าจะห้ามการแสดงความรู้สึกผ่านดวงตาได้หรือไม่
บางทีเขาก็เก็บไว้ไม่หมด
เมื่อได้อยู่กับคนที่เข้าใจและสนิทกันมากมายแบบผู้จัดการที่เสมือนครอบครัวของเขา
เรื่องราวที่ผ่านมา ข่าว ๆ นั้น อาจจะเป็นเพราะมีชื่อหลี่อี้เฟิงเข้าไปอยู่ในวงข่าวลือนั้นด้วย
ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกเอ่ยถึงมากที่สุดในบรรดาข่าวลือแอบอ้างนั้น ทางบริษัทของอี้เฟิงจึงรีบล่าตามหาคนปล่อยข่าว
โดยนักสืบในโลกออนไลน์ที่เก่งที่สุดเท่าที่บริษัทใหญ่มากด้วยอำนาจของเขาจะหาได้
อีกทั้งยังร่วมมือกันเฉพาะกิจกับต้นสังกัดของหยางหยางผู้ที่ได้รับผลกระทบจากข่าวมากที่สุด
แม้อี้เฟิงและหยางหยางจะล่วงรู้ว่าเป็นเรื่องจริงแทบทั้งหมด
ทางบริษัทที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงแต่ก็รู้ไม่ครบทุกเรื่อง
แต่ก็ต้องจัดการให้ต้นข่าวได้หลาบจำ
แหล่งข่าวต้นฉบับคือสาวน้อยที่อี้เฟิงเคยร่วมงานด้วยเมื่อไม่นานมานี้
แต่เธอหลงรักหยางหยางหมดใจ
เธอสารภาพมาหมดเปลือกเพราะเธอถูกต้อนด้วยทีมผู้จัดการและนักสืบที่เป็นผู้คว้าควานตัวเธอมาได้
ทั้งสองบริษัทต่างไม่พอใจ และทางต้นสังกัดของสาวคนนี้ก็เช่นกัน
ไม่พอใจที่เธอทำเช่นนี้ แต่ไม่ล่วงรู้มาก่อนว่าเธอเป็นคนทำ แต่เธอยืนยันเรื่องหนึ่งจริงจังว่า
“หยางหยางคนนั้นหลงรักหลี่อี้เฟิงจริง ๆ คุณก็ไปถามเอากับเจ้าตัวดู ฉันไม่ได้คิดขึ้นมาเอง
ผู้ชายคนนั้นมีอะไรกับฉันก็ยังคิดถึงแต่คนคนนั้น ฉันเกลียดเขาเหลือเกิน”
เธอพูดออกไปอย่างเหลืออดเหลือทน
ผสมกับความบ้าคลั่งของเธอที่จนตรอกจนไม่มีทางสู้ได้อีก
เธอมองเห็นอนาคตในวงการบันเทิงของเธอว่ามันจะต้องมืดมนแน่นอน เพราะความคิดสั้นของเธอ
แต่อย่างน้อยบริษัทใหญ่ต้นสังกัดของอี้เฟิงและบริษัทดาวรุ่งต้นสังกัดของหยางหยาง
ก็ยังไม่เล่นงานเธอและต้นสังกัดเธออย่างรุนแรง เพราะถือว่าเธอยังเด็ก อายุไม่ถึง
20 ด้วยซ้ำ และขาดความยั้งคิด ทุกฝ่ายไม่คิดจะแจ้งความหาความผิดอะไรแค่ตักเตือน และบอกให้เธอหลบหน้าไปให้พ้นจากวงการซักสองสามปี
เมื่อเธอได้ฟังเช่นนั้นก็แทบทรุดลงเป็นลม
ยังคงต่อว่าหยางหยางและอี้เฟิงที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้
“ถ้าหยางหยางสนใจฉันตั้งแต่แรกก็คงไม่ทำแบบนี้ ...ฝากไปบอกเขาอีกอย่าง
ฉันจะขอให้หยางหยางไม่มีวันได้หัวใจของหลี่อี้เฟิง
..ขอให้เขาเป็นเหมือนฉันที่เพ้อหาเขาทั้งวัน..หลงรักใครแล้วเขาไม่รักก็เหมือนตายทั้งเป็น”
อี้เฟิงก็ได้รับสารนี้
เพราะผู้จัดการของอี้เฟิงก็เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย
อีกฝั่งทีมผู้จัดการของหยางหยางก็อยู่ด้วยเช่นกัน
ขาดเพียงแค่เขากับหยางหยางที่ไม่ไปอยู่ในเหตุการณ์ให้มันบานปลาย สุดท้ายเมื่อจบการสะสางปัญหา ซึ่งทั้งหมด อยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ทั้งสองคนเคยมาพักในช่วงถ่ายละครของเมืองใหญ่ในจีน
ทีมผู้จัดการของทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันกลับไป
วันนั้นอี้เฟิงติดสัมภาษณ์นิตยสารอยู่แต่ไม่ไกลจากที่นี่
แต่หยางหยางไปที่โรงแรมนั้นด้วย แต่เขาไม่ได้เข้าไปในเหตุการณ์
ครั้งแรกที่อี้เฟิงคิดจะตามไปที่นั่น แต่พอเขารู้ว่าหยางหยางอยู่ที่นั่นด้วย..
อี้เฟิงก็เปลี่ยนใจ หากเจอกัน มันก็จะเหมือนให้โอกาสให้คนคนนี้มาเจอเขา
แม้ในใจลึก ๆ อี้เฟิงก็อยากเห็นใบหน้าของเขาสักครั้งเหมือนกัน
“อี้เฟิง พี่ขอพูดอะไรซักนิด”
ผู้จัดการสาวของอี้เฟิงที่นั่งข้างอยู่นาน
พูดทักขึ้นหลังจากอี้เฟิงจมในความคิดไปนานจนเธอนึกสงสัย ที่จริงเธอที่แม้ไม่ได้มานั่งพูดคุย
ปรับทุกข์อะไรกับอี้เฟิงมากนักแต่เธอสังเกตเด็กคนนี้ตลอดเวลา และยิ่งพักหลัง ที่ไม่เจอกับใครบางคน
อี้เฟิงดูนิ่งเงียบและจมกับความคิดนานและลึกลงเกินไป
จนบางทีเธอถึงต้องกับสะกิดเรียกอี้เฟิงแรง ๆ เพื่อให้กลับมาสู่ความเป็นจริง
“หยางหยางน่ะ...ที่จริงไม่ได้เกลียดเขาแล้วใช่มั้ย”
เธอถามตรงอย่างไม่น่าเชื่อ
อี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าไป เหมือนตกใจกับคำถามจนรู้สึกว่าอึดอัด
เขาปล่อยออกมาพร้อมความคิดมากมาย ใบหน้าหวานดูเปลี่ยนไป อารมณ์สลับสับเปลี่ยน
อี้เฟิงกำลังสับสน เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเศร้าแต่ก็คล้าย อาลัยอาวรณ์ไม่มีทางใช่แต่ก็เกือบใช่
ความเกลียดนั่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอย่างไร แต่เขาตอบไป
“ผม..นิ่งสนิท..ไม่มีความรู้สึกอะไร กับหยางหยางแล้ว
จะเป็นความรู้สึกที่แม้กระทั่งเกลียดเขาก็ตาม”
“งั้นก็แสดงว่าเมื่อก่อน เธอเคยมีความรูสึกอื่นกับหยางหยางสินะ”
“จะพูดแบบนั้นก็ใช่”
อี้เฟิงคิดไปเมื่อครั้งแรกที่พบหยางหยาง ใบหน้าของเด็กคนนั้น
รอยยิ้มที่ตรึงใจ บุคลิกของเขา ตอนนั้นนั่นเองที่ทำให้อี้เฟิงรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินวนในท้อง
เขารู้สึกปั่นป่วน ยิ่งเด็กคนนั้นมาใกล้ ๆ และนั่นเป็นความรู้สึกแรกที่เจอ
อี้เฟิงเอาเก็บไปคิด จนเมื่อไม่นานหลังจากที่พบหยางหยางอีกครั้ง เด็กคนนั้น
กลับมาพบเขาด้วยสายตาใหม่ แววตาที่ไม่เหมือนเดิม
เกลียดกันมาจากไหนกัน....นั่นคือความรู้สึกแรกที่ได้พบหยางหยางอีกครั้ง
อี้เฟิงทั้งตกใจและใจหายที่เด็กที่อี้เฟิงเคยรู้สึกดีด้วยเมื่อแรกเจอ เขาหายไปแล้ว
กลายเป็นซาตานร้ายกาจและชั่วช้าที่เขาไม่อยากคิดถึงและอยากผลักเขาออกไปจากชีวิต
ไม่เคยคิดอยากลืมใครในชีวิตมาก่อน
อี้เฟิงคิดว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาเป็นทุกสิ่งที่มีความหมายสำหรับเขา
แต่หยางหยางเป็นคนแรกที่อยากจะลืม เพราะสิ่งที่เขาทำมันข่มเหง
หักหาญและทำร้ายใจกันเหลือเกิน เกินใจจะอดทนไหว
น้ำตาที่เขาเสียไปตั้งมากมายเท่าไหร่
อี้เฟิงมักจะแทนหยางหยางว่าซาตาน เขาใจร้ายมากเหลือเกิน
แต่แม้ใคร ๆ เรียกหลี่อี้เฟิงคนนี้ว่าเทพบุตร
อี้เฟิงก็ไม่ครั้นอยากแทนตัวเองเช่นนี้มากเท่าไหร่นัก
เพราะบางครั้งเขาก็คิดร้ายกับหยางหยาง หลังจากที่ได้รับการกระทำป่าเถื่อนของซาตานมานับไม่ถ้วน
ทั้งข่าวลือร้าย ๆ ทั้งแกล้งเขา ทั้งปั่นหัวใจให้เขารักและมองข้ามให้เขาเป็นอากาศ
แบบนั้นก็ถือเป็นเรื่องไม่ดีที่คนที่จะแทนตัวเองเป็นเทพบุตรเขาไม่น่าจะทำกัน
อี้เฟิงทำแบบนั้นก็เพราะคิดว่าเขาก็ควรได้รับบทเรียนอะไรบ้าง
ซึ่งร้ายที่สุดคือการล้อเล่นเรื่องความรักกับหัวใจของใครซักคน
อี้เฟิงคิดว่ามันดูโหดร้าย แต่นั่นเป็นวิธีสอนบทเรียนและเอาคืนกับหยางหยางได้สาสมใจอี้เฟิงที่สุดแล้ว
เขาจึงบอกตัวเองว่า..เขาก็ร้ายไม่ต่างจากซาตานเช่นหยางหยางเหมือนกัน
ที่จริงแล้วอาจจะไม่มีเทพบุตรตั้งแต่แรกก็ได้
อาจจะเป็นซาตานตนหนึ่งที่ใจร้ายกับซาตานตนหนึ่งที่มักหลงว่าตัวเองเป็นเทพบุตร
มาสู้กัน
และผลก็คือ
พ่ายแพ้ทั้งคู่
อี้เฟิงจำครั้งสุดท้ายที่หยางหยางคนนั้นข่มเหงเขา
คนคนนี้บอกรักเขาย้ำซ้ำ ๆ จนเขาจำเสียงนั้นเข้าไปอยู่ในโสตประสาท ความทรงจำ
เขายังบอกว่าเขาพ่ายแพ้...อี้เฟิงไม่เคยรู้สึกชนะอะไร
เพราะเขาก็มานั่งคิดทบทวนกับสิ่งที่ตัวเขาเองทำ ไม่ได้นึกสำนึกอะไรขนาดนั้น
เพราะหยางหยางควรได้รับแล้ว แต่อี้เฟิงแค่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และควรจบเรื่องบ้า ๆ
แบบนี้เสียที เขาเลือกที่จะทำให้หยางหยางเป็นอากาศ ตัดการพบเจอ ติดต่อทุกทาง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นผล เขาไม่ต้องเจอกับคนที่ทำให้ใจร้าวรานอีก
พอแล้ว..จริง ๆ
“อี้เฟิง... พี่ถามเธอ..ว่าหยางหยางเขาทำอะไรกับเธอ
ถึงทำให้เธออยากลืมเขามากขนาดนี้”
อี้เฟิงเบิกตากว้างขึ้น แต่ส่วนอื่นไม่ได้แสดงอะไร
แววตาของอี้เฟิงปิดไม่มิด
“เธออย่าคิดว่าฉันไม่สังเกตเธอ เธออยากจะทำให้เขาหายไปจากชีวิต ไม่ต้องมายุ่งย่ามอะไรกับเธออีก
นั่นคือเธออยากลืมเขา แต่คงมีบางอย่างที่เขาทำให้เธอลืมยาก ..มันมากขนาดไหน”
เธอถามต่อไป แต่อี้เฟิงเลือกที่จะเงียบไม่ตอบอะไรออกมา เขาไม่อยากบอก
ทั้งรู้สึกลำบากใจ อับอายส่วนหนึ่ง เสียใจ ร้าวราน
และกลัวเธอจะเป็นห่วงมากไปกว่าเดิม
“อี้เฟิง พี่คิดว่าเธอควรจะบอกระดับความรุนแรงมา
อย่างน้อยที่สุดเธอควรให้พี่รู้เรื่องนี้”
อี้เฟิงถอนหายใจ มั่นใจว่าเธอจะถามอย่างไม่ลดละ
“มากครับ..มากที่ใครคนหนึ่งจะทนได้ไหว ผมเลยอยากลืมเขาไปเลย
แต่เพราะเรื่องที่เขาทำ มัน..แค่หลับตาบางทีผมก็เผลอพามันเข้ามาในความทรงจำ”
“เธอ..ถูกเขาทำอะไรมามากขนาดนั้น”
“ทั้งกายทั้งใจของผม บอบช้ำ ถูกเขาทำร้าย จะว่าผมอ่อนแอก็ได้
แต่เขา..ร้ายกาจ หยาบช้ากับผมมากจริง ๆ”
“อี้เฟิง..”
เธอไม่คิดว่าบางคำจะหลุดออกมาจากปากเด็กคนนี้
เพราะบางคำเป็นคำที่ดูรุนแรง แต่ถ้าหากเด็กคนนี้ใช้คำพวกนี้แทน
รวมถึงใบหน้าแสดงอารมณ์ออกมาเมื่อเอ่ยถึง แววตาเจ็บปวด เหมือนจะร้องไห้นั่นอีก
เธอแทบไม่อยากไปสะกิดใจให้ได้เจ็บช้ำกันไปอีก แต่ก็ต้องถามให้รู้กันบ้าง
“เขา..ทำหลาย.หลายอย่างที่ผมไม่อยากให้อภัย
ผมกลายเป็นคนที่สู้อะไรเขาไม่ได้เลยซักอย่าง..ร่างกายผม...มันก็เหมือนของเขา บางทีผมก็อยากไปให้พ้น ๆ แต่ก็ต้องเจอเขาอีก
เขาก็ทำกับผมซ้ำ ๆ ...ผมก็เจ็บปวดเป็นนะ..แต่แค่ผมหนีเขาไม่พ้น...ทั้งกายทั้งใจเลย”
ในที่สุดอี้เฟิงตัดสินใจบอกบางประโยค ทั้งน้ำเสียงที่สั่นเครือเมื่อเอ่ยหรือคิดถึงเรื่องนี้ทุกครั้ง
ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นใจความสำคัญของความเจ็บช้ำทั้งปวง ผู้จัดการสาวของเขา
ฟังทุกประโยคอย่างใจเย็นและขบคิด เท่าที่เธอจำได้ซึ่งเธอจำได้ดี
ล่าสุดที่เธอเห็นรอยแปลก ๆ หลายแห่ง
หรือก่อนหน้านั้นที่บางทีเธอเห็นปฏิกิริยาผวาเมื่อเธอหรือคนอื่น ๆ
เอ่ยชื่อหยางหยางให้ได้ยิน
หรือความไม่สบายกายที่อี้เฟิงเป็นอยู่บางครั้ง
เด็กคนนี้ไม่กล้าเล่าเพราะมันเป็นเรื่อง...เช่นนี้
เธอได้ยินประโยคทั้งหมดก็คิดต่อได้ ปะติดปะต่อเรื่องราว
เธอคิดว่าเธอดูแลเด็กคนนี้ได้ดีที่สุด และไม่มีอะไรจะมาทำร้ายได้แล้ว เธอคิดเช่นนั้น แต่มันไม่ใช่
ร้ายที่สุดกลับอยู่ข้างกาย และเด็กคนนี้ไม่กล้าบอกอะไรเลย
เลยนอกจากบางครั้งที่เซื่องซึมและมีน้ำตาให้เห็น...
“พี่เข้าใจมันหรือ?...”
“ฉันก็พอสังเกตอะไรได้..แต่ไม่คิดว่าจะ...ไอ้เด็กนั่นจะทำกับเธออย่างนั้นจริง
ๆ...”
“ทุกครั้งที่ผมไปกองถ่ายทุกครั้ง ผมก็จะคิดว่าผมจะหลุดพ้นจากเขาเมื่อไหร่
แต่ตอนนี้ผมอาจะหลุดแล้วก็ได้ ...ใกล้แล้ว ผมเลยไม่อยากเจอเขาอีก
ผมไม่อยากเจ็บตัวเจ็บใจแบบนั้นแล้ว...ฮึก...พี่เข้าใจใช่มั้ย
ผมเป็นผู้ชายนะพี่ ผมทน..ฮึก..ไม่ได้หรอก”
ยิ่งพยายามเล่า...เหมือนตอนนี้อี้เฟิงหยุดไม่ได้
เขากำลังพรั่งพรูความเจ็บปวดออกมาเรื่อย ๆ อย่างรวดร้าว
ใจของอี้เฟิงที่ยิ่งรื้อค้นความเจ็บปวดนี้ก็เหมือนแก้วแตกที่ถูกตีซ้ำให้บอบช้ำ เขาย้ำเสมอว่าไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้แต่สุดท้ายมันก็มักมาหลอกหลอนอยู่เสมอ
เขาคิดว่าเขาเข้มแข็งพอแล้ว แต่บางทีมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นผู้ชายที่อ่อนแอจริง ๆ
“ผมมันอ่อนแอ...จริง ๆ”
“ไม่หรอกอี้เฟิงไม่ ๆ เธอไม่ได้อ่อนแอ แต่ที่เธอ..ได้รับ...มัน”
ผู้จัดการสาวโอบกอดอี้เฟิง
เธอรู้ว่าตอนนี้อี้เฟิงต้องการที่ปลอดภัยสำหรับตัวเขาเองแล้ว อี้เฟิงไม่ต้องการทำให้ตัวเองเสียน้ำตาและเจ็บช้ำอีก แต่จากที่ฟังน้ำเสียงและการบรรยายความรู้สึก
เธอก็สัมผัสได้บางอย่าง เด็กคนนี้ยังปิดอะไรเธอได้ไม่มิดเช่นเคย
“เธอเจ็บปวดมากจริง ๆ จากหยางหยาง...
ฉะนั้น...อย่าอาลัยอาวรณ์เขา...ถ้ากลัวก็ตัดเขาให้ขาด
แต่ถ้าเธอกลับไปเธออาจจะต้องเสี่ยงกับความเจ็บ”
“ผมไม่....ไม่ได้อาลัยอาวรณ์”
“อี้เฟิง เธอปฏิเสธหัวใจตัวเองไม่ได้ พี่เห็นเธอตอนนี้...เธอพูดทุกคำ
เธอเจ็บ เธอกลัว แต่เธอคิดถึงเขา...ถ้าอย่างนั้นเธอต้องกลับไปคิดใหม่ เธอบอกมาแค่คำเดียว
ถ้าเธอไม่อยากเจอเขาแล้ว...พี่จะทำให้เธอ เขาจะออกไปจากชีวิตเธอทันที”
หลังจากโอบกอดอย่าครู่หนึ่ง อี้เฟิงถูกผลักออกมาและถามคำถามนี้
อี้เฟิงในตอนนี้สับสนมากจริง ๆ เธอก็มองเห็นความสับสนนี้ทั้งในน้ำตาเสียงแววตา
อี้เฟิงเองก็รู้สึกตัวเช่นกัน
สับสนมาก ๆ ทั้งที่เจ็บปวดจากเขา แต่ในส่วนจิตใจที่ลึกบอกว่าไม่อยากเสียน้ำตาให้เขา
ก็กลับร้องไห้เพราะเขา คิดถึงเขา...นั่นเป็นสิ่งที่อี้เฟิงไม่อยากเชื่อ
มันกลายเป็นความผูกพันแล้วหรือ....
ไม่อีกแล้ว
“ว่าอย่างไรอี้เฟิง เรื่องราวมันนานเกินไป
พี่เห็นเธอไม่ร่าเริงแบบนี้มานานแล้วนะ ไม่ใช่แค่เดือนเดียว..แต่ติดต่อกันจนทุกคนเขาสังเกตได้
เราไม่อยากเห็นเทพบุตรตัวน้อยของเขา โศกเศร้าแบบนี้ตลอดไป”
อี้เฟิงมองหน้าผู้จัดการสาวที่กำลังให้เขาตัดสิน ใบหน้าหวานนิ่วหวาน
คิ้วขมวด ดวงตากลมโตแดงก่ำเพราะกลั้นน้ำตา แม้หยาดน้ำตาจะซึมออกมาแล้วก็ตาม
“ผม....”
“คิดให้ดี...ดีที่สุดสำหรับหัวใจของอี้เฟิง รู้ใช่มั้ยว่าหมอนั่นมาขอเจอเธอเป็นร้อยครั้งแล้ว...ถ้าหลังจากนี้หยางหยางมาขอพบอีกและรุกหนักมากขึ้น
เธอจะยอมให้เขาเจอมั้ย..ตอนแรกพี่ก็เริ่มใจอ่อนคิดว่าเธอกับเขาควรจะปรับความเข้าใจกันแต่..เมื่อพี่ได้รู้เรื่องราวมากขึ้น...พี่ก็ต้องปกป้องเทพบุตรของพี่แล้ว
แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับอี้เฟิงด้วย”
“เธอจะยอมให้เจ้าปีศาจนั่นมาทำร้ายเธอที่เป็นเทพบุตรอยู่อีกมั้ย”
อี้เฟิง..คิด..และคิดอย่างหนักในหัวใจตีพันกันยุ่งไปหมด
ความรู้สึกสับสนอย่างมากมายถาโถมเขาเข้ามา
ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลยทันที
เขาอยากจะพูดอยากตอบว่าไม่อยากให้ซาตานตนนั้นมาทำร้ายแล้ว
แต่เมื่อจะพูดแบบนั้นก็ถูกส่วนหนึ่งของใจรั้งไว้และร้องร่ำอยู่ในนั้น จนเจ็บปวด..ซ้ำๆ ไปอีก อี้เฟิงอยากตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเสียที
แต่เขาเสียน้ำตามากเหลือเกิน
“ว่าไงอี้เฟิง”
“ผม.....”
แม้ย้ำคิดและตัดสินใจ น้ำตาก็ยังไม่หยุดกลั่น
ตอนนี้อี้เฟิงร้องไห้ออกมาแล้ว...อีกครั้งที่เสียน้ำตา
ทั้งที่กำลังตัดสินใจอยู่แท้ ๆ แต่เขาร้องไห้เหมือนจะขาดใจ ผู้จัดการสาวโอบกอดอี้เฟิงที่ร้องไห้หนักขึ้น
จะสะอื้นตัวโยน..
ตัดสินใจอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง
เธอมองเด็กคนนี้ เขาสับสนมากจริง ๆ นี่หยางหยางทำร้ายใจเด็กคนนี้ของเธอมากแค่ไหนกัน
ใบหน้าหวานยังเปื้อนน้ำตา ซุกอยู่ตรงไหล่ของผู้จัดการของเขา กำมือแน่น
...และกำลังจะบอกถึงการตัดสินใจ
“ผม...
อี้เฟิงกำหมัดแน่นขึ้น ปลอดปล่อยน้ำตาออกมาให้ไหลตามแรงโน้มถ่วง
ร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อย เขากำลังพยายามห้ามใจ
ไม่ให้อ่อนแอไปมากกว่า
“ผมไม่ควรคิดถึงเขาอีกแล้ว”
THISMAN
คำว่าสะสางในที่นี้ก็คือการทำให้เรื่องราวเรื่องหนึ่งมันจบไป
ในวันนั้นที่หยางหยางได้ตัดสินใจว่าอย่างน้อยเขาก็ควรจะต้องรวบรวมแรงที่มีไปจัดการปัญหาที่ตนเคยก่อไว้ทั้งล่าสุดและก่อนหน้านั้นอีกหลายประเด็น
เขาเข้าไปที่ต้นสังกัด
และไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่เป็นสถานที่เพื่อสะสางปัญหาล่าสุด
เขาไม่ได้เข้าไปในห้องนั้น แต่เขาก็รอรับสถานการณ์อยู่ด้านนอก
หยางหยางรู้อยู่แล้วว่าหลี่อี้เฟิงจะไม่มีวันมาที่นี่ ก็เพราะมีเขาอยู่
และนอกจากนั้น ถ้าเขามาก็จะยิ่งแสดงว่า
เขาคือนักแสดงหนุ่มที่หยางหยางมีความสัมพันธ์ด้วยตามที่เป็นดังข่าว
เพราะทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง
เขาจึงไม่ควรมาเป็นดีที่สุด เพราะมันจะทำอะไรให้ชัดเจนมากเกินไป และต้นเรื่องที่ทำให้เรื่องราวเกิดขึ้นคือ
ผู้หญิงคนนั้น สาวชุดแดงที่หยางหยางเคยมีสัมพันธ์ด้วย เธอหลงรักเขากว่าที่เขารู้
ไม่คิดเหมือนกันว่าเธอจะคิดกับเขาไปไกลขนาดนั้น เพราะที่ผ่าน ๆ
มาไม่ว่าจะหญิงสาวหรือชายหนุ่มที่หยางหยางมีสัมพันธ์ด้วยก็เป็นพวกที่ผ่านมาและก็ผ่านไป
ไม่ไดตั้งใจจะมาหยุดอะไรใครอยู่แล้ว
แต่เธอคนนี้รักเขา และรักหลงจะหน้ามืด
กระทำอะไรลงไปตามใจโดยไม่ยั้งคิด
เขาคิดเธอน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ให้เธอทำ
หากเธอจะคิดลงโทษหรือคับแค้นใจเรื่องเขา
แต่เธอเลือกที่จะเอาอี้เฟิงไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะหากเทพบุตรแปดเปื้อน
ผู้ที่ทำเช่นนั้นจะต้องถูกงโทษ
อี้เฟิงมีคนคอยดูแลและปกป้องมากมาย
ข่าวนี้ทำให้กระทบงานและชื่อเสียงของอี้เฟิงมากพอสมควร เธอจึงถูกลงโทษโดยทุกคนที่ปกป้องอี้เฟิง
เขาเองก็อยากจะลงโทษเธอ แต่หยางหยางคิดว่า การที่เขาไม่รัก ไม่สนใจเธอคนนี้ก็เท่ากับลงโทษเธอมากพอแล้ว
ก็เหมือนกับที่เขากำลังถูกลงโทษโดยเทพบุตรคนนี้
อี้เฟิงไม่ได้รักเขาเลย หยางหยางจึงคิดว่า
แค่นี้ก็เจ็บปวดมากพอแล้วสำหรับการลงโทษในครั้งนี้
และนอกจากบทลงโทษจากอี้เฟิง หยางหยางยังได้รับบทลงโทษจากต้นสังกัดอีกด้วย
หลังจากที่ปล่อยให้หยางหยางไปเสเพล สังสรรค์จนได้เรื่อง มีเรื่องมีราวชกต่อย
แถมยังมีความฉาวเช่นนี้ และไม่ใช่แค่ครั้งนี้
ต้นสังกัดยังรวบรัดเอาความผิดของเขานับไม่ถ้วนมานับรวมในบทลงโทษครั้งนี้ แต่หยางหยางเองก็คิดเมื่อต้นสังกัดสรุปและจะลงโทษเขาแล้ว บทลงโทษที่ว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกคิดมากหรือเจ็บปวดอะไร
การกักบริเวณ และห้ามออกไปไหนโดยพลการ ห้ามไปเที่ยวกลางคืน ห้ามดื่มเหล้าอีก
นอกจากการถ่ายละคร ไปไหนก็ต้องมีผู้จัดการคอยตามไปด้วยทุกครั้ง
ไม่ว่าเขาจะไปเข้าห้องน้ำก็ตาม
รวมถึงห้ามพาใครขึ้นไปคอนโด หรือพากลับไปที่บ้าน ไม่ว่าอย่างก็จะต้องอยู่ในสายตาของผู้จัดการและต้นสังกัด
ผู้จัดการจะต้องทำรายงานเรื่องของหยางหยางทุกสามวันและส่งไปหาบอร์ดบริหาร
นอกจากนี้หยางหยางก็ถูกพิจารณาหักเงินที่ทำให้หุ้นในบริษัทตกไปหลายจุด
เสียหายไปหลายอย่าง ทั้งงานโฆษณา งานถ่ายนิตยสารหลายเล่มที่ถูกยกเลิกไปเพราะข่าวฉาว
ๆ ทำให้เสียรายได้
ไม่นับงานละครที่ทำให้ทางต้นสังกัดต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้กองถ่ายในช่วงเวลาที่เขาหยุดงานไป
หยางหยางได้รับรู้ความผิดและความเสียหาย
รวมทั้งรับทราบบทลงโทษทั้งหมด
เขารู้เหมือนตัวเองเป็นนักโทษก็ไม่ปาน ซาตานที่ถูกจองจำไว้ ก็ควรแล้วที่จะต้องเป็นเช่นนี้
อย่างน้อยเขาก็ยังมองในแง่ดีว่า เขาไม่ถูกไล่ออกจากวงการ
เพราะหยางหยางยังมีฐานแฟนคลับมากพอที่จะสนับสนุนและให้กำเนิดความโด่งดังของเขาได้ใหม่
หน้าตาของหยางหยาสงที่เจ้าตัวมั่นใจหนักหนา ต้นสังกัดเองก็คงเสียดายหากจะให้เขาออกจากวงการไป
อีกฝ่ายต้นสังกัดของอี้เฟิงเองก็ย้ำหนักหนาว่าห้ามให้หยางหยางไปยุ่งย่ามกับอี้เฟิงและทำความวุ่นวายอีก
หยางหยางไม่ได้พูดอะไรในประเด็นนี้ ต้นสังกัดไม่สนใจว่าเขาจะรักอี้เฟิงมั้ย
แต่แค่อย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้
หลังจากที่ได้รับทราบเรื่องราว หลังจากที่สะสางกับสาวชุดแดงคนนั้น
และกลับไปที่ต้นสังกัดเพื่อจัดการกับความผิดของหยางหยาง
ทั้งผู้จัดการและหยางหยางวนกลับมาที่คอนโดของหยางหยาง เพื่อส่งเขา
และสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าห้ามออกไปไหนอีก ในช่วงนี้เขาไม่มีงานอะไร เพราะงานหลายอย่างถูกยกเลิกไปเพราะข่าว
วันนี้จึงเหมือนเป็นวันนั่งทบทวนความผิดของเขาเอง
“หยางหยาง อย่าออกไปไหน”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
“แล้วก็นะ ไอ้เรื่องความรักของนาย
ต้นสังกัดเขาไม่มารับรู้ ตอนนี้นายก็เหมือนกับนักโทษนั่นล่ะหยางหยาง
รักเขาก็เก็บไว้ในใจ ตอนนี้นายไม่สามารถไปไหนด้วยตัวเองได้อีกแล้ว
ฉันเองก็จนปัญญา”
หยางหยางเข้าใจที่เธอพูดทุกคำ ทุกประโยค แต่ในเมื่อหยางหยางตั้งใจจะทำอะไรแล้ว
เขาตั้งใจไม่ยอมแพ้ในทุกเรื่อง และนั่นรวมถึงเรื่องของอี้เฟิงด้วย
เขาหวังว่าผู้จัดการที่อยู่เคียงข้างเขา จะรับฟังคำขอของนักโทษเช่นเขา
“ถ้าผมจะขออะไรซักอย่างจะได้ไหม หากว่าผมทำตัวเองให้ดีขึ้นได้”
THISMAN
หยางหยางไม่แน่ใจว่าคำขอของเขาจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่
ซาตานเช่นเขาจะควรคู่กับคำอธิษฐานหรือเปล่า
เพียงแค่อยากเห็นรอยยิ้มของคนคนนี้ เทพบุตรคนนี้อีกสักครั้ง
ไม่แน่ใจว่ามันมากไปหรือไม่
แต่เขาก็ได้อธิษฐานไปแล้ว
“อี้เฟิง”
เขาได้ร้องขอว่า หากเขาทำตัวเองให้ดีขึ้น และเชื่อฟังทุกอย่าง
ขอแค่ซักครั้งให้เขามีโอกาสพบอี้เฟิงได้มั้ย
ผู้จัดการสาวของเธอถึงกับแทบเป็นลม ถึงขั้นขึ้นเสียงว่า
เขาขออะไรที่มันเป็นไปไม่ได้
เรื่องก่อนหน้าที่ไปทำกับอี้เฟิงก็ยังไม่เล่าให้เธอฟัง มีสิทธิ์อะไรอีก
แถมยังมีความผิดที่เป็นชนักติดหลังเช่นนี้
“เลิกขออะไรที่เป็นไปไม่ได้ หยางหยาง”
“ผม....ขอร้อง”
“ทำตัวดีขึ้น แล้วมันยังไงล่ะ นายก็แค่---“
“ผมขอแค่กำลังใจ แค่เห็นหน้าเขา ได้คุยกับเขาแค่สองสามคำ
ขอให้เขายิ้มให้ผมซักครั้ง...แค่นั้นก็พอ ผมจะไม่ทำอะไรเขาแล้ว”
ผู้จัดการของหยางหยางมักจะใจอ่อนกับคำขอของหยางหยางเสมอ
แต่ครั้งนี้เธอต้องขบคิดเป็นอย่างมาก หยางหยางต้องการพลังใจมากมายจริง ๆ นอกจากเธอ
ทีมงานและแฟนคลับ เรื่องหัวใจของหยางหยางนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงาน
คนที่ทำงานในวงการบันเทิงมักจะรีดเร้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมาใช้ประกอบการทำงานและแรงผลักดัน หยางหยางที่เป็นแบบนี้
หัวใจแห้งเหี่ยวรอวันสลาย
เธอรู้ดีว่าเขารักอี้เฟิง ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามากเพียงใด แต่เธอกลัวว่าหยางหยางจะไปทำร้ายอะไรเขาอีก
หยางหยางเป็นเด็กที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยาก
“แลกกันหน่อย ฉันจะพยายามหาทางให้
แต่นายต้องเล่ามาให้หมด ทุกอย่าง นายทำร้ายอะไรหลี่อี้เฟิง”
“ไอ้เด็ก..ไอ้เด็กเวร”
เมื่อหยางหยางเล่าทุกอย่าง บทสิ้นคำสุดท้ายในประโยค
เธอถึงขั้นลุกขึ้นและฟาดฝ่ามือลงมาลงตรงใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างแรงหนึ่งครั้ง ให้สมกับอารมณ์ความรู้สึกในใจที่เธอได้ยินเรื่องทั้งหมด
ยังสบถด่าหยางหยางต่อ จนเธออารมณ์เย็นลงก็นั่ง เพื่อให้หยางหยางแก้ตัวอะไรซักนิด
“นายร้ายกาจได้ขนาดนี้ ...ได้ยังไงกัน
ฉันไม่เคยเลี้ยงนายให้เป็นแบบนั้น จะเกลียดกันก็ไม่ว่าแต่ไม่ใช่ไปข่มเหงเขาแบบนั้น
นายมันปีศาจชัดๆ “
“นั่นล่ะครับที่เขาเรียกผม ไม่สิ เขาเรียกว่าซาตาน
ร้ายยิ่งกว่าปีศาจไปเสียอีก ผมย่ำยีเขา...ด้วยผมของผมเอง
และผมก็ต้องเสียใจที่สุดเพราะผมรักเขา”
เธอบอกให้หยางหยางหันหน้ามาสบตาเธอ
เธอไม่แน่ใจว่าเธอยังอยู่ข้างหยางหยางหรือเปล่าหลังได้ยินเรื่องทั้งหมด เป็นผู้ชายที่ถูกผู้ชายด้วยกันทำหยาบช้าแบบนี้
ให้เธอเป็นหลี่อี้เฟิงคงแค้นหยางหยางร้อยพันเท่า
เด็กหลี่อี้เฟิงคนนั้นแม้จะหยิ่งผยอง หรือยโสไป แต่เขาก็เป็นคนที่ใจดี
และเรื่องนี้ที่เขาเลือกไม่พูดออกมา อาจจะเพราะความใจดี และอับอายที่ต้องพูดให้ใครรู้
เขาคงไมได้รู้สึกดีอะไรเลยกับที่หยางหยางไปรักเขาแล้วทรมานใจ
ที่อี้เฟิงได้รับก็คงเจ็บปวดเช่นกัน
“นายรู้มั้ย คนที่โดนกระทำซ้ำ ๆ แบบนั้น เขาจะรู้ผวา
อับอายและไม่มีทางออกมากมายขนาดไหน เขาอยากหนีนายจะแย่อยู่แล้วมั้ง
ฉันคิดว่าฉันไม่อยากช่วยนายเลยจริงๆ
หยางหยางคว้ามือผู้จัดการสางของเขาไว้ เว้าวอนอีกครั้ง
เขาบอกกับตัวเองไว้แล้วว่าไม่อยากยอมแพ้
เขาที่..เกลียดอี้เฟิงตั้งแต่แรก ๆ ที่ได้พบ จากความอิจฉาริษยา
กับชื่อเสียงและผู้คนที่รายรอบเขา
หยางหยางเคยมองว่าคนคนนี้ไม่เคยต้องพยายามอะไรมากมาย ก็มีผู้คนรักใคร่
และมีแต่ความปรารถนามอบให้ ต่างกับเขาที่ต้องฝ่าฟันเข้ามา
แม้อี้เฟิงจะประกวดรายการหนึ่งและเข้ามาได้ แต่เขาก็ยังมีคนคอยสนับสนุน
หยางหยางเองที่ต้องเข้ามาในโลกมายานี้เพียงลำพัง
เขาจึงเกลียดคนที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ยิ่งหยางหยางพาตัวเองจมดิ่งไปสู่ความมืด
ยิ่งนานวันที่ได้เห็นอี้เฟิง เขายิ่งทวีความเกลียดมากจนเมื่อมาพบกัน
ความเกลียดเหล่านั้นจึงถูกทำให้รับรู้ถึงอี้เฟิง
ด้วยการกระทำอันเลวร้าย
เขาเลือกที่จะทำเช่นนั้นเอง เส้นทางที่เขาเลือก มันผิดไปแล้ว
หากรู้ว่าเขาจะรักหลี่อี้เฟิงมากถึงเพียงนี้ เขาจะตกหลุมรักคนคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น
จะไม่ทำอะไรแบบนี้แน่นอน
เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำให้ความรู้สึกด้านลบที่อี้เฟิงมองเขา
หมดไปได้ไหม
อย่างน้อยให้เป็นศูนย์ กลับมาเริ่มกันใหม่ ให้เขาได้เริ่มใหม่ ถ้าเป็นไปได้
เขาอยากจะให้เป็นเช่นนั้น
“อี้เฟิง”
ชื่อของเขาถูกเรียกจากคนที่เขาไม่อยากให้เรียกมากที่สุด
เป็นโชคดีของอี้เฟิงที่วันนี้กองถ่ายละครเลิกกองเร็วเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ อี้เฟิงรีบกลับมาที่ห้องทันที
เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ แต่อย่างไร เพราะความโด่งดังของเขา เขาก็ไปไหนมาไหนไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อกลับมาที่ห้องได้ไม่นาน
เขาได้ยินเสียงเคาะประตูและใครคนหนึ่งร้องเรียก
หยางหยาง
ทำไมคนคนนี้ถึงเข้ามาใกล้ได้ขนาดนี้ เขายังตกใจ
อี้เฟิงเร่งโทรไปหาผู้จัดการ ไถ่ถามว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“เธอถามตัวเองก่อนอี้เฟิงว่าเธออยากเจอเขามั้ย”
“ผมไม่---“
“อี้เฟิง เรื่องราวมันกินเวลากินหัวใจเธอมาหลายเดือนมากแล้วนะ
ฉันทนเห็นเธอเป็นแบบนั้นทุกวันไม่ได้หรอก
เด็กของฉันที่ยิ้มแย้มร่าเริงทุกวัน แต่ทุกวันที่ผ่านมานี้
ฉันเห็นยิ้มเพียงแค่ใบหน้า แค่กระตุกกล้ามเนื้อยิ้ม แต่หัวใจเธอ
..บางทีฉันเรียกว่าฝืนยิ้มน่าจะเหมาะ
เธอบอกว่าเธอไม่อยากคิดถึงเรื่องของเขาแล้ว
แต่ตอนพูดน้ำเสียงเหมือนจะขาดใจ
ไปทำให้มันจบ ๆ ไป เธอจะได้รู้ซักทีว่า เขามีผลต่อใจกับเธอมากน้อยขนาดไหน
และหลังจากนี้เธอก็จะไม่ได้ต้องเจอเขาแล้ว ...อีกอย่าง
ฝั่งโน้นเองก็ขอร้องฉันมาเหมือนกัน หยางหยางกับผู้จัดการมาก้มหัวขอร้องฉัน
เธอก็รู้ว่าผู้จัดการของหยางหยางเป็นผู้หญิงที่รักศักดิ์ศรีตัวเองมากแค่ไหน
แต่ถึงขนาดเธอคนนั้นมาก้มหัวขอร้อง เพราะเด็กคนนั้นในความดูแลของเธอกำลังจะขาดใจ
ฉันเองก็อยากเห็นเด็กของฉันหลุดพ้นจากความอึมครึมด้วย "
"ฉันว่าฉันพูดมากไปแล้ว แค่นี้ล่ะ "
เธอถอนหายใจใส่โทรผ่านปลายสายส่งมาหาอี้เฟิง มือเรียวที่ถือโทรศัพท์สั่นน้อย ๆ
เขาบอกว่าจะไม่ยอมคิดถึงคนคนนี้จะตัดให้เขาออกไปจากชีวิต ความทรงจำ
ไม่อยากคิดถึงความเจ็บปวดที่ถูกทำร้ายแล้ว ใครจะไปอยากพูดถึง คิดถึง
เรื่องแบบนั้นกัน ยิ่งเห็นหน้าเขาก็ยิ่งนึกถึง มันผ่านเข้ามาจนอี้เฟิงรู้สึกปวดใจอีก ถึงจะเหมือนถูกหักหลัง แต่หยางหยางก็มาอยู่ตรงหน้าห้องเขา
ไม่มีทีท่าจะกลับไป ถอยออกไปง่าย ๆ
อี้เฟิงดีใจที่หยางหยางไม่สามารถติดต่อเขาผ่านทางโทรศัพท์หรือโซเชี่ยลได้
อี้เฟิงเปลี่ยนใหม่ทุกอย่าง เพื่อให้ซาตานคนนี้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก
แต่ทำไมซาตานคนนี้ถึงระรานหัวใจเขานัก
เลิกแล้วกันเสียที
ไม่อยากเสียใจแล้ว
เขาจะสร้างกำแพงให้สูงกว่านี้ได้มั้ย
จะทันที่ซาตานคนนั้นจะพังถล่มมันลงมาหรือเปล่า
“ผมรู้ว่ามันรบกวนคุณ แต่อี้เฟิง...ผม..แค่มาขอร้อง”
หลังจากที่เขาเงียบไปนาน อี้เฟิงคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องยังไม่กลับออกไป อี้เฟิงไม่อยากเปิดประตูออกไปเลยด้วยซ้ำ
ไม่อยากพบหน้า เขาต้องการอะไรมากกว่านี้อีก เขาให้ซาตานผู้นี้ไปหมดทุกอย่างแล้ว
เท่าที่ให้ไปได้ ยกเว้นแค่หัวใจที่ไม่ยอมเด็ดขาด ไม่มีวัน หรือซาตานผู้นี้จะมาร้องเอาหัวใจของเขาไปอีกหรือ
นั่นยังไม่พออีกหรือ
“ไปให้พ้น”
อี้เฟิงตะโกนลั่นออกมา แม้เขาที่ยืนอยู่หน้าบานประตูยังได้ยินชัดถ้อยคำ ออกปากไล่ด้วยเสียงดังขนาดนั้น
อีกฝ่ายคงไม่อยากพบหน้าเขามากจริง ๆ
แม้ว่าทางทีมผู้จัดการของอี้เฟิงจะเปิดหนทางให้เขาได้เข้ามา หยางหยางที่ปฏิบัติตัว
ทำงานอย่างดีเยี่ยม สร้างความพอใจให้กับทีมงานและต้นสังกัดมาตลอดหลายเดือน เขาได้ความดีความชอบนั้น และใช้มันอ้างคำขอที่ยากแต่ในที่สุดผู้จัดการของเขาก็ยอมตกลง
เธอถึงขั้นไปขอร้องกับทีมผู้จัดการของอี้เฟิงที่แม้ไม่ถูกกัน แต่ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายทำให้ทั้งเขาและผู้จัดการอึ้ง
เพราะเหมือนอีกฝ่ายก็รอให้พวกเขาไปพูดคุย
“อี้เฟิงเองคงมีอะไรอยากจะพูดกับหยางหยาง แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่า
ถ้านายแตะต้องอี้เฟิงอีก ฉันจะฆ่านายแน่”
เธอที่หวงอี้เฟิงดั่งดวงใจ
หยางหยางรู้ข้อนี้ดีว่าผู้จัดการทีมนี้ของอี้เฟิงรักและเอ็นดูอี้เฟิงมากเท่าไข่ในหิน เขายึดมั่นและทำตามสัญญาแน่นอน
และทำให้ทีมของอี้เฟิงเชื่อใจ ผู้จัดการของเขายืนยันด้วยอีกเสียง
และเขามีเวลาแค่คืนเดียวเท่านั้นที่จะได้พบกับอี้เฟิง เขาที่ย้ายมาทำงานที่เมืองเดียวกับอี้เฟิงแล้ว
แต่โรงแรมที่พักก่อนหน้าอยู่ห่างกันมาก หยางหยางจึงพยายามให้ผู้จัดการเปลี่ยนที่พักเป็นโรงแรมเดียวกับอี้เฟิง
อย่างน้อยก็แค่คืนเดียว และถ้ากอยู่ในโรงแรมเดียวกัน การป้องกันแน่นหนา ไม่มีใครมาเห็นเหตุการณ์
ทุกอย่างจะไม่ถูกเปิดเผย
และแน่นอนหยางหยางจะไม่แตะต้องหลี่อี้เฟิงไปมากกว่าการพูดคุย
แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอี้เฟิงด้วย
ว่าเขาจะยอมออกมาพบกันหรือไม่
“แค่ครั้งเดียว ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
เขาพูดแบบนั้นกลับมา อี้เฟิงก็ได้ยินชัดเจน
ตอนนี้เขาพาตัวเองมายืนอยู่หลังบานประตู ถ้าหากเปิดประตูของห้องพักของเขาออกไป
ก็อาจจะพบเขาส่งสายตาอ้อนวอน ร้องขออีก ครั้งนี้เขาจะมาเอาอะไรจากหลี่อี้เฟิงคนนี้ไปอีก ไม่ให้อีกต่อไปแล้ว
“ฉันไม่มีอะไรจะจะพูดกับนาย นายจะมาเอาอะไรจากฉันอีก
นายยังไม่พอใจกับสิ่งที่นายทำอีกหรือไง”
กว่าอี้เฟิงจะตอบกลับเขามา ตอนนี้เป็นเวลาดึกที่ล่วงวันใหม่ไปแล้ว
เวลาของหยางหยางใกล้จะหมด หากเข้าสู่ช่วงวันใหม่ที่ท้องฟ้าสว่างนั่นหมายความว่าเขาจะต้องออกจากโรงแรมนี้ไปทันที
โอกาสของเขาไม่มีทางร้องขอได้อีกแล้ว นี่คือครั้งสุดท้ายที่นักโทษอย่างเขาจะได้มัน
มันเหมือนเขามารอคำตัดสินจากอี้เฟิง
สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับอี้เฟิงคนเดียวว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปแบบไหน
ตายไปแล้วหรือยังเหลือเศษเสี้ยวไว้บ้าง
อาจจะดูมากเกินไป แต่เรื่องความรักต่อใครซักคนหนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาได้เลย
“ผมรักคุณนะอี้เฟิง”
มาบอกรักกันอีกแล้ว... จะมาเอาหัวใจของฉันไปจริง ๆ สินะ อี้เฟิงคิดซ้ำไปมา
เมื่อครู่อี้เฟิงเกือบใจอ่อนเปิดประตูให้หยางหยาง แต่เมื่อได้ยินคำบอกรัก
ก็เหมือนถูกของร้อนอี้เฟิงถอยหลังจากบานประตูที่คั่นกลางเขากับหยางหยางเอาไว้ คำบอกรักของหยางหยางเหมือนกับหลุมกับดัก
“มันสายไปแล้ว หยางหยาง”
อี้เฟิงพูดประโยคถัดมา เบาแค่ เสียงที่เล็กหลุดออกมาจากหลังบานประตูนั้นเหมือนกับกระซิบ หยางหยางทบทวนคำเหล่านั้นของอี้เฟิงซ้ำไปมา
สายเกินไปแล้ว นั่นสินะ เพราะทำร้ายไว้มากไป จนเกินกว่าจะให้อภัย แต่เขายังไม่อยากยอมแพ้ จนกว่าเวลาจะหมดไป
“อี้เฟิง ขอแค่...ยิ้มเดียว
ยิ้มเดียว แล้วผมก็จะไป อย่างที่คุณต้องการ”
เขายืนรอให้ว่าซาตานผู้นี้จะร้องขออะไรมากเกินไปอีกหรือไม่
เขาบอกว่าเขาขอให้อี้เฟิงยิ้มให้ นั่นมันยากเกินไป และทำใจลำบาก
ใครจะไปอยากยิ้มให้กับคนที่ทำร้ายตัว
พาลเห็นหน้าก็เหตุการณ์เล่านั้นก็ผ่านเข้ามาแล้ว
“มากเกินไปแล้วหยางหยาง”
“แค่ครั้งเดียว แค่ยิ้มของคุณ
ให้ผมทำอย่างไรก็ได้ จะทำอะไรกับผมก็ได้
แต่ให้ผมได้มีชีวิตต่อไปอีกเถอะ”
เป็นการโต้ตอบกันครั้งแรก โดยไม่ทิ้งทวนเวลาไว้นาน
แต่จะยังปิดประตูไว้อย่างนั้นไม่เปิดออกให้เห็นหน้ากัน อี้เฟิงจะไม่ตัดสินใจ เขากลับถอยออกไปจากประตู
“อี้เฟิง....”
ในที่สุดเขาก็เห็นใบหน้าที่คิดถึง
แม้จะต้องยืนรอนานเป็นชั่วโมง
หยางหยางรออี้เฟิงจนเวลาของเขาเองล่วงเลยไป ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่อึดใจ
แต่ในที่สุด อี้เฟิงก็ยอม
“นายมันโลภมาก”
“ขอบคุณที่ยอม...ให้ผมได้เห็นหน้าคุณใกล้ ๆ อีกครั้ง”
“และนายห้ามแตะต้องฉัน”
หยางหยางที่เผลอพลั้ง เขาย้ำตัวเองเสมอว่า หากอี้เฟิงยอมมาพบหน้าเขา
และอยู่ใกล้กัน ต่อให้แค่คืบ ก็ห้ามแตะต้อง แต่ตอนนี้
มือแกร่งของหยางหยางเลื่อนไปใกล้ใบหน้าหวานที่แสดงความรู้สึกหลากหลาย
เข้าใกล้แก้มใสนั่นเรื่อย หากอี้เฟิงไม่พูดห้ามเอาไว้ ก็คงจะได้สัมผัส แต่นั่นมาได้ เขาจำเป็นต้องห้ามใจ
หยางหยางแค่อยากเห็นใบหน้าของอี้เฟิงให้ชัดเจน
อยากเกลี่ยปอยผมที่ระอยู่ตรงแก้มและปกปิดดวงตาคู่สวย
บดบังความสดใสของใบหน้าหวานนี้ออกให้พ้นไป
เมื่อได้ยินคำห้าม หยางหยางลดมือลงมาไว้ข้างตัวที่เดิม เขามองคนตรงหน้าอย่างคิดถึงและห่วงหา
อารมณ์หลากหลายของเขาตีกันยุ่งในความรู้สึก ซาตานผู้นี้พ่ายแพ้และไร้พลัง
เมื่อพบกับเทพบุตรที่เฝ้าคิดถึง แม้เขาจะทำให้ซาตานพ่ายแต่ก็เหมือนได้น้ำรดหัวใจ
ซาตานผู้นี้ที่ตกหลุมรักเทพบุตรอย่างหมดหัวใจ
“นายมันเป็นพวกโลภมาก ไม่รู้จักพอ ทำร้ายคนอื่น
ให้เจ็บช้ำแล้วยังร้องขออะไรที่คนอื่นไม่ได้อยากให้”
อี้เฟิงพูดออกมาจนจบ ตามที่ใจคิด เขาอยากต่อว่าหยางหยางให้สาแก่ใจ
แต่คิดคำไม่ออก และพลันจะร้องไห้ออกมาเสียดื้อ ๆ
จึงจบประโยคไว้แค่นั้นก่อนที่ก้อนสะอื้นจะออกมา
ตั้งแต่ที่อี้เฟิงก้าวพ้นผ่านประตูจากในห้องออกมา
เขาก้มหน้าไม่มองหยางหยางเลย
เขาจะไม่สบตาคู่นั้นของหยางหยาง
อี้เฟิงมั่นใจตัวเองว่าจะเขาจะไม่สามารถสะกดใจตัวเองหากได้สบตา
“คุณออกมาตามคำขอของผม...ใช่มั้ย”
“แค่ยิ้มเดียว แล้วนายต้องไปให้พ้นจากชีวิตฉันเสียที”
ใบหน้าหล่อเหลาแค่นยิ้มรับกับเงื่อนไข เขาขออี้เฟิงไปเท่านั้นและนั่นก็เป็นเงื่อนไข
มากเกินพอแล้ว ที่เขาจะได้มา
อี้เฟิงเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ เขาพยายามกลั้นความรู้สึกทั้งปวงเอาไว้
และใบหน้าหวานก็ปรากฏกระจ่างตาต่อคนตรงหน้า
รอยยิ้มที่หยางหยางเฝ้าฝันอยากได้
เป็นยิ้มที่น่ารักและสดใสสมเป็นรอยยิ้มของหลี่อี้เฟิง
ผู้ที่เป็นเทพบุตรในใจของเขา
หยางหยางอยากสัมผัสแต่หักห้ามใจไว้
ได้แค่มองและยิ้มตอบกลับไป โดยที่ใบหน้าของอีกคนยังคงยิ้มให้เขา หยางหยางสังเกตแววตาอี้เฟิง
ทำไมเขารู้สึกเศร้าเหมือนกัน แต่ทั้งหมดที่หยางหยางได้รับ นี่มันมากมายแล้ว
จนสุดท้ายอี้เฟิงก็หันหลังกลับเข้าห้องและปิดประตูไล่หลังไป
หยางหยางทรุดลงร้องไห้ลงกับพื้นที่ยืนอยู่ตรงนั้น
น้ำตาของเขาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ แต่เขาอยากร้องไห้ออกมา น้ำตาของหยางหยางไหลออกมาไม่หยุด
ทั้งดีใจที่ได้เห็นเขาใกล้ ๆ ได้รอยยิ้มที่น่ารักตามต้องการ
โศกเศร้าที่หลังจากนั้นเขาต้องทำตามเงื่อนไข คือต้องจากอี้เฟิงและไม่พบกันอีก
แม้ไม่อยากทำ ความพยายามทั้งหมดมาอยู่ที่วันนี้และมันก็สำเร็จ เป็นไปตามที่หวัง
ไม่มากไปกว่านี้ หยางหยางไม่กล้าหวังอะไรอีกแล้ว และทั้งหมดนี้
ทำให้หยางหยางเพิ่งรู้นี่เองว่าเขารักอี้เฟิงมากถึงขนาดแค่
เพียงรอยยิ้มเดียวก็ต่อชีวิตอันมืดมนของเขาได้
ทำไมหยางหยางถึงร้องไห้....
ทำไมหยางหยางคนนั้นถึงต้องร้องไห้ต่อหน้าเขาด้วย
อี้เฟิงที่วิ่งหนีภาพนั้นและกลับเข้ามาในห้อง
หลังจากเขาจุดยิ้มที่พยายามกลั่นออกมาให้หยางหยางได้ไม่นาน
เป็นยิ้มที่จริงใจและอี้เฟิงอยากมอบให้หยางหยางเท่าที่เขาปรารถนาและจะให้ได้ และไม่นาน หยางหยางคนนั้นก็ร้องไห้
เขาไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าน้ำตาของเขาไหลออกมา อี้เฟิงเกือบจะเข้าใกล้ไปแตะต้องซาตานผู้นั้นเองเสียแล้ว
โดยการยกมือเกลี่ยน้ำตาตรงใบหน้าหล่อเหลาของเขา
แต่อี้เฟิงก็ห้ามตัวเองไว้ เมื่อมอบของที่เขาต้องการจนพอใจ จึงรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้อง
และเขาก็กลับเข้ามาร้องไห้
อี้เฟิงได้ยินเสียงร้องสะอื้นจากหน้าประตู
คนคนนี้ก็ร้องไห้เหมือนกันกับเขา
เขาก็ร้องไห้อยู่เหมือนกัน แต่คนคนนี้จะไม่ได้ยินเสียงของอี้เฟิง มือเรียวยกมืออุดปากกลั้นสะอื้นเอาไว้
ไม่ต้องการให้อีกคนรู้ว่าเขาร้องไห้อีกครั้งให้เขารู้
น้ำตาของอี้เฟิงไหลออกมาไม่ขาดสาย ร่ำร้องเสียให้พอหลี่อี้เฟิง
“ฮึ่ก..”
อี้เฟิงไม่คิดว่าน้ำตาของหยางหยางจะมาอิทธิพลกับตัวเองมากถึงขนาดอยากยกมือไปเกลี่ยให้เขา
อี้เฟิงรู้ว่าในใจตัวเองลึก ๆ อยากให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ แต่ไม่รู้เหตุผล เขาไม่ยอมแพ้กับความรู้สึกลึกๆ นั้นของตัวเอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หนีกลับเข้ามาในห้อง เทพบุตรอย่างเขาก็อ่อนแอเหลือเกิน
นั่นอาจจะเป็นแผนการของซาตานอีกก็ได้ อี้เฟิงคิด เขายังร้องไห้ไม่หยุด
เมื่อไหร่ซาตานผู้นั้นจะหยุดเอาบ่วงมาคล้องกับเขาไว้สักที
จากที่คิดว่าตัดความผูกพันที่ซับซ้อนและยุ่งเหยิงนี้ออกจากกัน
แต่กลายเป็นว่าหลังจากที่ทั้งเขาและหยางหยางได้พบหน้า....
มันก็ชัดอยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้น
หลี่อี้เฟิงที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ กับหยางหยางที่สะอื้นอยู่หน้าประตูเหมือนจะขาดใจ
อี้เฟิงยังได้ยินเสียงทุ้มนั่นเรียกชื่อเขา
เหตุการณ์นี้มันทำให้ความรู้สึกของอี้เฟิงกลับตาลปัตร
ถ้านายไม่เลือกทางนั้น
เราอาจจะรักกันได้
แต่นายเลือกเอง
อี้เฟิงร้องบอกคนที่สะอื้นอยู่หน้าประตูนั้นในใจ
เขาเองก็กลั้นสะอื้นเช่นกัน
เกือบแล้ว
“เกือบแล้ว หยางหยาง เราเกือบจะรักกันได้แล้ว “
ซาตานที่กล้าแกร่งที่แม้มีปีกแข็งแรงมากด้วยพลังเกือบจะไต่สวรรค์ขึ้นไปด้วยพ่ายเพราะน้ำตาของเทพบุตรเพียงน้อยนิด
แต่เทพบุตรก็พ่าย เพราะซาตานผู้นี้น่าหลงใหลมากเหลือเกิน
เกือบแล้วที่จะลงนรกไปด้วยกัน
คนคนนี้ ก็ต่างหลั่งน้ำตาไม่แพ้กันเลย
************************************************************************************************************END THISMAN
TALK :: แปะก่อน เดี๋ยวมาว่ากัน 555
TT__TT ไม่มีคำบรรยาย..
ตอบลบความรัก บางทีก็จบแบบไม่ แฮปปี้สินะ
รักมาก.. แต่ก็ทำลายความรักด้วยมือของตัวเอง
คนนึงได้ตายไปแล้ว ส่วนอีกคนกำลังค่อย ๆ ตายตามไปแบบช้า ๆ
อยากได้สเปหวาน ๆ ซักตอน #เกาะแขนเกาะขาคนแต่ง #ส่งสายตาใสแป๋วแบบน้องแกะ
นะ นะ นะ นะ น๊าาาาา... ;;___;; ฮรึกกกก
จบงดงามมาก
ตอบลบสวยมากจริงๆ เป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องไม่เยอะที่ดำเนินลงในจุดที่ควรเป็นไป และ มันดีมากจริงๆ ไม่รู้จะพูดยังไง