วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[Fic] THISMAN - หยางเฟิง CHAPTER : 10 'คนคนนี้โหยหา'


TITLE : THISMAN
CHAPTER : 10 'คนคนนี้โหยหา'
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG – 13





ผมรู้สึกเหมือนใจจะขาด
อย่างน้อยให้ความรู้สึกนี้หมดไป




ผมมองเห็นเขา...ร้องไห้ อยู่ตรงหน้า
แต่แม้แค่จะเช็ดน้ำตาให้เขาก็ยังทำไมได้




ผมไม่คู่ควรกับคำว่ารักที่พูดออกไป  เขาเกลียดผม




นั่นผมสมควรได้รับแล้ว



อย่างน้อยแค่คำว่าเกลียด อย่างน้อยเขาก็มีความรู้สึกซักหนึ่งอย่างมอบให้ ยังดีกว่าว่างเปล่า ..


.....ไม่มีอะไรเลย





“หยางหยาง...----- หยางหยาง”



เสียงคุ้นหูเรียกชื่อเขาเสียงค่อนข้างดัง เจ้าของชื่อลืมตาตื่นขึ้นมาจากความฝัน  สู่ความจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า คนที่เขาอยากพบเหลือเกินในความฝัน ภาพเดิม ๆ ที่วนเวียนมา หลี่อี้เฟิงยังอยู่ในความฝัน ความทรงจำเขาหลังจากที่เราห่างไกลกัน



“เรียกตั้งนานฉันนึกว่านายจะไม่ยอมตื่นซะแล้ว”
“มีเหตุผลที่ฉันจะไม่ตื่นได้หรือ นายเรียกฉันซะเสียงดังขนาดนี้น่ะเพื่อน”



เฉินเสียงยิ้มกับคำหยอกล้อไม่ถูกเวลาของเพื่อนคนหล่อที่นอนซม มีบาดแผลตามร่างกาย แถมใบหน้าก็ยังมีรอยช้ำ  โชคดีที่ไม่เสียหล่อจนกู้ความหล่อกลับมาไม่ได้ แต่อย่างไร หยางหยางก็ต้องหยุดงานซักสามสี่วัน เพื่อให้รอยช้ำบนใบหน้าหล่อเหลาจางไปบ้าง อย่างน้อยก็ต้องให้เครื่องสำอางราคาแพงกลบมิดรอยได้ก็ยังดี


“นายพร่ำเพ้อถึงคนคนเดิม น้ำเสียงโหยหา นายเจอเขาในความฝัน และเหมือนนายไม่อยากตื่นขึ้นมา”
“ฉัน...ฉันเป็นถึงขนาดนั้นเลย ?”
“ต้องบอกว่า นายรักเขาขนาดนั้นเลยต่างหาก”


หยางหยางยิ้มกับคำที่เพื่อนรักบอก

ก็จริง รัก รักหลี่อี้เฟิงเข้าไปเสียแล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ว่ารักมากขนาดนั้น  มันอยู่ในระดับไหน แต่เพียงแค่รู้ว่าใจเขาเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายตอนนี้


“นั่นสินะ”

 เขาพลิกตัวให้หันมาทางเพื่อนที่นั่งอยู่ที่โซฟาติดผนังใกล้กับประตูห้อง เพื่อนที่ช่วยเขาในเหตุการณ์ก่อนหน้า โชคดีที่เฉินเสียงเกิดกังวลที่เขาออกมา และกลับคนเดียว เห็นเขาอาการไม่ดีเท่าไหร่จึงเอะใจตามมา  แม้ตอนที่สู้กับคนร้ายในตอนนั้นหยางหยางจะใช้เฮือกสุดท้าย หลังจากที่เจ้าคนร้ายที่ร้ายที่สุดถือมีดหมายถึงทำร้ายเขา แต่หยางหยางที่มีวิชาป้องกันตัวอยู่ ใช้วิชาและแรงที่มีพลิกกลับมาให้ตัวเองได้เป็นต่อ



“ตอนนั้นฉันคิดว่าจะวิ่งเข้าไปซัดพวกนั้นซักเปรี้ยงว่ะหยางหยาง เออไม่อยากเจ็บตัวเลยแกล้งโทรหาตำรวจแล้วกันแต่ตอนนั้นนายอย่างกับถ่ายหนังอยู่แหน่ะ”
“พลังพระเอกน่ะ”


คนเป็นพระเอกพูดติดตลก แต่พอออกแรงหัวเราะก็พลันเจ็บที่แผล ความเจ็บปวดริ้วแล่นขึ้นมา จนเพื่อนสนิทต้องบอกให้เขาสงบลงหน่อย  แม้จะใช้ทริคพลิกเกมส์กลับมาโดยที่หยางหยางให้คนร้ายที่ถือมีดเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งและใช้เท้าเตะมีดออกไปอย่างที่เคยเรียน หลังจากนั้นถีบคนร้ายคนนั้นกระเด็นให้พ้นทาง สองคนที่รั้งเขายังอยู่ในอารามตกใจ เขาใช้แรงดันให้ทั้งสองคนเสียหลัก และเตะเข้าที่ข้อพับอย่างแรงให้อีกฝ่ายทรุด เหลืออีกคนหนึ่ง หยางหยางจัดลูกเตะให้โดยใส่แรงทำให้เขาคนนั้นสลบไปทันที สามคนที่เหลือยังคนดิ้นรนต่อสู้อยู่ แต่เฉินเสียงมาและเขาก็แสร้งโทรแจ้งตำรวจทันที จนไล่พวกนั้นไปได้ แต่ทำเอาหยางหยางสะบักสะบอม เฉินเสียงปรี่เข้าไปพยุงเพื่อนเอาไว้ สุดท้ายเพื่อนของเขารอด แม้จะหลบคมมีดไม่พ้น มีบาดเนื้อตรงช่วงท้องแต่ไม่ลึกมากเพียงแค่ลาดแผลกว้างต้องได้รับการดูแลเพราะกลัวติดเชื้อ และอาการบอบช้ำ การทรมาณร่างกายด้วยการไม่นอน ไม่กินอย่างเป็นเวลา พ่วงทั้งความอ่อนเพลียจากการทำงาน หยางหยางจึงต้องนอนโรงพยาบาลอีกซักสองสามคืนเพื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ



“นายรู้มั้ยหยางหยาง นายเพ้อถึงชื่อเขาอยู่จนฉันรู้สึกกลัว”



หยางหยางแปลกใจกับคำว่ากลัวที่เฉินเสียงพูดออกมา เขาเลิกคิ้วถามเพื่อนโดยไม่พูดทั้งที่ยังนอนอยู่ เพื่อนสนิทยิ้มเบาบางเข้าใจและพ่นลมถอนหายใจออกมา


“กลัวสิ นายถูกเขาลงโทษมา ทำกับเขาไว้เยอะนี่”
“ก็สาสมแล้ว”
“นายถูกทำให้รักเขา นายให้ใจเขาไปหมดแล้ว”
“ก็คงอย่างนั้น ให้ไปแล้ว ไม่เอาคืนแล้วด้วย  แล้วแต่เขาแล้วล่ะว่าเขาจะทำอย่างไรกับใจของฉัน”
“ถ้าเขาโยนทิ้งล่ะ?”


เฉินเสียงหยั่งถามเพื่อนที่เป็นคนป่วยบนเตียง หยางหยางยังขยับร่างกายไม่ได้มากเท่าที่ต้องการ แต่เขาอยากจะลุกขึ้นมานั่งเปลี่ยนท่า เพื่อนสนิทข้างเตียงจึงถลามาพยุงให้เขาผุดนั่งได้สะดวก และหยางหยางก็ตอบคำถามของเฉินเสียง


“แค่เสียใจ ฉันจะทำอะไรได้  ความรู้สึกนั้นมันแล้วแต่เขา”
“ฉันว่านายไม่ได้แค่เสียใจ ฉันคนนี้สนิทกับนายและรู้จักนายดี ว่านายรักใครก็จะรักมาก จนตอนนี้นายไม่ได้แค่เสียใจที่เขาไม่สนใจคำว่ารัก แต่นายเหมือนจะตาย”


หยางหยางยิ้มให้เพื่อน เพื่อนเขาคนนี้เป็นคนที่สนิทมากที่เรียกได้ว่าแค่มองกันก็รู้ว่าเพื่อนคนนี้คิดอะไร คบกันมาก่อนที่หยางหยางมาเป็นพระเอกโด่งดัง เขาที่ยังไม่มีงานช่วงที่เข้าวงการแรกเริ่ม พบบาร์แห่งนี้ และเมื่อเข้ามาดื่มก็พบว่าเขาได้เจอเพื่อนดี ๆ คนหนึงและอย่างน้อยเพื่อนคนนี้ก็ไม่เคยทิ้งเขา


“ขอบคุณที่ย้ำให้รู้”
“ไม่ใช่จะตอกย้ำนะเพื่อน ฉันที่รู้จักความรักเหมือนนาย ฉันก็เคยรักผู้หญิงคนหนึ่งมาก ตามจีบเธอทุกวัน แต่เธอไม่เหลียวมองหัวใจมันเจ็บนะ แต่กรณีนายมัน อืม... พูดยาก ฉันก็ผิดที่ไม่ทันห้ามนาย”


หยางหยางยกมือยากเย็นแต่เขาพยายามที่จะตบที่บ่าของเพื่อนและบอกว่านั่นไม่ใช่ความผิดเขา ยิ้มให้เบาบางคืนเพื่อนไปและบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่เพื่อนสนิทก็ท้วงอะไรไม่ได้  เขาริเริ่มมันด้วยความเกลียดชัง อยากกระทำด้วยความสะใจ อยากเห็นอีกคนยอมแพ้  ร้องเรียกชื่อของเขาขอร้องอย่างผู้พ่ายแพ้ ให้เขาเป็นผู้กำชัยชนะอย่างสมที่อยากสู้



แต่ซาตานพ่ายแพ้ราบคาบ ให้เขาไปหมด เทพบุตรคนนั้นที่ซาตานร้ายอย่างเขามอบให้หมดหากทำได้คงจะมอบวิญญาณที่ยังเหลืออยู่ให้ไปด้วย แต่ที่จริงแล้ว แค่เสี้ยวเดียวแม้อะไรที่เป็นของหยางหยาง  หลี่อี้เฟิงคนนี้ไม่แม้แต่สนใจ  เขายังจำวันที่เขาบอกรักได้ดี  มันอาจจะไม่ใช่โอกาสที่ดีนัก  แต่ถ้าไม่ใช่วันนั้น  เขาคิดว่าคงไม่มีโอกาสที่แม้จะได้เอ่ยคำคำนี้เสียด้วยซ้ำ  จะเป็นโอกาสเวลาไหนก็ตาม หยางหยางจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องบอกความรู้สึกแก่หลี่อี้เฟิง




เพราะโอกาสที่จะพบเขาน้อยเหลือเกิน



“แล้วเดี๋ยวนะเพื่อน นายได้ลองพยายามที่จะไปปรับความเข้าใจอะไรกับเขาบ้างมั้ย ที่หายหัวไปนาน กลับมาไม่เล่าอะไรให้เพื่อนอย่างฉันฟังเลย หลังจากที่นายไปทำกับเขาเสียขนาดนั้นที่ร้านฉัน กลับมาก็เมาหยำเปเป็นหมาบ้าขนาดนี้”


เพื่อนสนิทเริ่มพูดตามสไตล์นิสัยเดิม ไม่ได้เห็นแก่บาดแผลของหยางหยางแล้ว เขาหันมองเพื่อนที่ถอยกลับไปนั่งที่ ตั้งใจฟังเขาเริ่มเล่า



“ไม่ใช่ฉันจะไม่พยายามอะไรเลย แต่ทำแล้วมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น บางทีก็กลายเป็นร้าย  เขายิ่งปิดกั้นฉันไปเสียอีก”
“นายทำให้เขาเกลียดหนักหนาขนาดนั้น ฉันเองก็พูดยากว่ะ”
“ยากอะไรกันวะ ฮึ แค่เขาเกลียดฉัน  ไปหาเขา เขาหนีหน้า ก็ถูกแล้ว ที่ใกล้ที่สุดที่ฉันพบเขาก็ระยะเป็นร้อยเมตรที่เขาร้องเพลงอยู่บนคอนเสิร์ต นั่นโชคดีเหลือเกินที่ฉันได้บัตรและสามารถอ้างเป็นงานได้ หากไม่ใช่งาน ทีมงานของอี้เฟิงไม่มีทางให้ฉันก้าวเข้าไปในบริเวณที่อี้เฟิงอยู่เป็นแน่”



เฉินเสียงฟังเพื่อนเล่าอย่างสงบเงียบแต่ก็ยิ้มแทนความหมายในใจว่า  ความพยายามไร้ผล หยางหยางเห็นเพื่อนสบประมาทก็ไม่สบอารมณ์เท่าไรนักแต่ถูกของมัน  เพื่อนเขาพูดถูก ไร้ผล วันนั้นในคอนเสิร์ตของอี้เฟิง  มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาได้ทำร่วมกันกับคนคนนี้คือ ใช้อากาศหายใจในพื้นที่เดียวกัน  อี้เฟิงไม่ได้หันมาเหลียมองหรือสนใจหยางหยางด้วยซ้ำ เขาไม่ได้สบดวงตาคู่นั้นที่คิดถึง  ทีมงานของอี้เฟิงพาตัวอี้เฟิงออกไปตั้งแต่แฟนคลับกลับออกจากฮอลไม่หมดด้วยซ้ำ  เขาพยายามเข้าถึงแต่ผู้จัดการทั้งฝั่งของเขาทั้งฝั่งของอี้เฟิงก็ปะทะกันและห้ามคนของตัวเองไม่ให้มาเผชิญหน้ากัน เพราะทั้งสื่อและแฟนคลับก็เยอะมากมาย ปาปารัซซี่ที่คอยแอบอยู่ทุกที่ เพราะนี่เป็นงานคอนเสิร์ต  สุดท้ายภาพที่หยางหยางได้เห็นหลี่อี้เฟิงคือเทพบุตรผู้งดงามที่ขับร้องเพลงอยู่บนเวที  เขานั่งอยู่ในระยะไกลมากที่แม้ใช้สายตาเพ่งก็มองเห็นได้ลำบาก ต้องมองผ่าจอในคอนเสิร์ต ซึ่งนั่นก็เหมือนกับเขาไม่ได้พบตัวจริง ไม่ได้  เทียบกันไม่ได้เลย  นอกจากได้ยินเสียงสด ๆ นั่นมันไม่มีอะไรเทียบกันได้เลย


นี่ยังไม่รวมครั้งอื่น ๆ ที่เขาได้หาทางเจอ  ผู้จัดการของเขาแม้ยังไม่ทราบเรื่องราวมากมาย ก็ยังยอมปล่อยเขาไปหาหลี่อี้เฟิง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง ในบางครั้งที่เอาแต่ใจเกินไปและไม่ถูกเวลา ผู้จัดการของเขาก็จะห้ามปรามไว้  แต่เมื่อไปหาก็ใช่ว่าจะพบ ไม่มีหนทางใดเลย ที่บริษัทเก่าที่หยางหยางคุ้นเส้นทาง อี้เฟิงไม่แม้จะเข้าไป เขาดังมากและสามารถรับงานที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเข้าบริษัทด้วยซ้ำ  ที่กองถ่ายนั่นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับดาราที่เป็นที่รู้จักแบบหยางหยางอยู่แล้ว   ยิ่งไปต่างประเทศเขายิ่งเป็นห่วงอีกฝ่าย และแม้ที่โรงแรมเขาขอร้องทีมผู้จัดการของอี้เฟิง แต่พวกเขาเห็นใจอี้เฟิงและห่วงอี้เฟิงมากกว่าใคร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ใครหรืออะไรไปกระทบจิตใจ เพราะอี้เฟิงเป็นคนใช้อารมณ์นำการทำงาน  ถ้าหากเขาอยากจะทำเขาต้องอารมณ์ปกติและมั่นคง ไม่เช่นงานของเขาจะออกมาไม่ดี และพาลเสียกันไปหมด  ทีมงานของอี้เฟิงรู้ดี  และในฐานะที่เคยร่วมงานกัน ผู้จัดการใหญ่ของอี้เฟิงก็พูดกับเขาอย่างสุภาพที่สุด

“ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร แม้แต่ผู้จัดการของนาย เธอจะดุนายแน่ ๆ ฉะนั้นแลกกัน หยางหยาง นายไม่ควรมาพบอี้เฟิงอีก”



สั้น ๆ ที่ใจความครบถ้วน อี้เฟิงคงจะสั่งย้ำไว้อย่างแรงกล้า  ว่าให้กันเขาออกไปให้พ้น และเขายังจำประโยคที่เสียดแทงใจเขาได้ดี ที่อี้เฟิงฝากไว้ แม้แต่โทนเสียงเขาก็ยังจำมันได้ทุกท่วงทำนอง

ออกไป อย่ามาเจอกันอีก แม้หากเจอกัน ก็ห้ามแตะเนื้อต้องตัวฉัน ใกล้แค่ไหนก็ห้ามสัมผัส ฉันเกลียดนายเต็มทนจนระเบิดออกมา ..นายน่าจะพอใจแล้ว น้ำตาของฉัน ถึงนายจะบอกว่าแพ้ แต่ฉันมีน้ำตา นั่นไม่ใช่ชัยชนะอะไรเลย ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าคนที่อ้างว่าแพ้แบบนายเสียอีก


เขาเสริมต่อให้เพื่อนสนิทฟังว่า ไม่ว่าเขาจะไปต่างประเทศเพื่อทำงาน หรือในกรณีที่อีกฝ่ายอยู่คนละเมือง เขาจะพยายามทำงานให้หนักเพื่อให้ได้เวลาพักล่วงหน้า หยางหยางใช้เวลานั้นเพื่อไปหาอี้เฟิง แต่มันไร้ผลเสียทุกครั้งเวลาผ่านไปหลายเดือน จนเขารู้สึกว่ามันหมดแรงจะทำ เขาต้องพักก่อนแล้ว ที่บาร์ของเฉินเสียงเป็นที่ดีที่เขาควรจะใช้เพื่อปลดปล่อยความสิ้นหวังนี้ 

“บาร์ฉันเป็นที่พักใจว่างั้น ?”
“ก็ทำนองนั้นล่ะ”
“ก็ดีใจที่ไม่ไปเมาเละที่อื่น ไม่ได้มาทุกวันแต่ว่างงานก็มา เมาไปหมาบ้า ร้องไห้เป็นคนเสียสติทุกครั้ง”
“เวลาทำงานทุกอย่างต้องเก็บไว้ในใจ ก็ถือว่าช่วย ๆ กันก็แล้วกัน”


พอได้รับรู้ความพยายามบางส่วนของหยางหยาง เพื่อนสนิทของเขาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำนายทายทักให้เขา


“ยากว่ะหยางหยาง แกทำใจไว้บ้างหรือยัง ว่าแกที่ทำร้ายเขาขนาดนั้น แล้วเขาจะหลงรักแกได้ลง “




คนรูปหล่อที่บาดเจ็บขยับร่างกายให้คลายปวดเมื่อยเพราะนั่งท่าเดิมอยู่นาน เขายังคงยิ้มเบาบางกับตัวเอง เหมือนให้กำลังใจ หยางหยางตอบคำถามเฉินเสียงได้ทันทีแต่เขาแค่ไม่อยากพูดเพราะมันเป็นคำตอบที่ทำให้เขาหมดแรงที่จะสู้กับเรื่องนี้จริง ๆ



เทพบุตรผู้งดงามที่ถูกทำร้ายโดยซาตานใจดำ อี้เฟิงที่ถูกกระทำหยาบช้าโดยเขา  เรื่องที่ทำไปกับอี้เฟิงทั้งหมด มันเหยียบย่ำน้ำใจ ศักดิ์ศรีและรอยยิ้มของอี้เฟิงทุกอย่าง เป็นการเกลียดกันที่เริ่มต้นจากความอิจฉาของเขาเอง และลามไปจนถึงการอยากเอาชนะ ใบหน้างดงามที่หยิ่งทนงค์ในศักดิ์ศรี หยางหยางอยากทำให้ใบหน้านั้นเหยเกและพ่ายแพ้ต่อเขา อยากทำให้ใบหน้าที่ชอบส่งความเกลียดมาให้เขาหายไป ความหยิ่งทนงค์ของอี้เฟิงในตอนนั้นเป็นความท้าทายที่หยางหยางอยากกระชากมันออกมาจากใบหน้างดงามนั้น  เขาริษยาอี้เฟิงในตอนนั้นมากเพียงใดเขารู้ตัวดี หลงใหลไปกับความเคียดแค้นชิงชังในชื่อเสียงของเขาจนหน้ามืดตามัว  และนิสัยที่ติดเป็นคนรักสนุก  เขาเอาความบ้าคลั่งไปลงกับหลี่อี้เฟิงทั้งร่างกายและจิตใจ  เหยียบย่ำซ้ำ ก่อความเกลียดชังให้อี้เฟิง จนอีกฝ่ายอดทนและเก็บมันไม่ไหวอีกต่อไป ระเบิดเสียงและน้ำตาออกมา  จนหยางหยางได้รู้จักหัวใจตัวเองเสียทีว่าเป็นอย่างไร  นั่นล่ะที่เขาได้สัมผัสกับคำว่ารักอย่างแท้จริง  รักที่มีต่ออี้เฟิง  คนที่เขาทำร้ายสารพัด



“ว่าไงเพื่อน มีคำตอบให้มั้ย มีวิธีไหนที่นายจะทำให้หลี่อี้เฟิงรักนายเหมือนที่นายรักเขาจนเป็นบ้าอย่างที่เป็นอยู่”













“... ..เฉินเสียง..นายทวนคำถามนั้นอีกครั้งซิ”




ใบหน้าหล่อเงยหน้ากำลังจะตอบเพื่อนแต่เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น ผู้จัดการที่ตรงรี่หลังจากที่เฉินเสียงแจ้งกับเธอไปว่าหยางหยางถูกทำร้ายและอยู่โรงพยาบาล เธอรีบรุดมาดูอาการน้องชายของเธอ แต่ก็พบกับเรื่องราวอันน่าแปลกใจ


“นายถามว่า หยางหยาง...จะทำให้หลี่อี้เฟิงรักอย่างไร แล้วนาย..รักเขาอย่างนั้นเรอะ??!


เธอถามอย่าวตกใจ และไม่เชื่อ เธอไม่เชื่อแน่ ๆ ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องรสนิยม หรืออะไรทำนองนั้น เธอรู้ดีว่าหยางหยางรับได้ทุกอย่างในเรื่องนี้ เธอก็ไม่ขัดที่น้องชายเป็นเช่นนี้ แต่ให้ป้องกันหากจะไปมีอะไรกับใคร  และให้เอาการเอางานก็พอ เรื่องแบบนี้มันปกปิดกัน ได้ แต่ที่เธอตกใจนั่นคือ


“นายจงเกลียดจงชัง หาวิธีแกล้งเขาเสียต่างหาก แล้ววันนี้ฉันกลับได้ยินว่านายรักเขา ฉันหูเพี้ยนรึเปล่า”



หยางหยางนั่งนิ่ง เขาคิดว่าเมื่อเธอรู้ความจริงคงจะตกใจ และก็เป็นไปตามนั้น เธอคงไม่เชื่อว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร วิธีแกล้งที่เธอรู้ยังไม่หมด ไม่เท่าเฉินเสียงที่รู้ทุกอย่าง เขาเล่าให้ฟังหมดไม่ได้หรอก เธออาจจะเป็นลมล้มพับไปเสียก็ได้  แต่แค่รู้ว่าเขาทำร้ายจิตใจหลี่อี้เฟิงเพียงแค่นั้นก็พอ



“ครับ พี่ฟังไม่ผิด”
“แล้วมันยังไง เธอ โอ๊ย นี่ฉันงงไปหมดแล้ว”




คนป่วยลอบถอนหายใจบ้าง เขาไม่อยากอธิบายยืดยาว ยิ่งรื้อเรื่องยิ่งเจ็บช้ำเอง เขาเงยหน้าสบตาผู้จัดการที่กำลังตกใจ


“ผมรักอี้เฟิง”



เธอทรุดลงข้าง ๆ เฉินเสียงตรงที่นั่งว่างบนโซฟา แทบไม่เชื่อหู แต่เมื่อได้สติเธอก็รุดไปตรวจอาการของหยางหยาง และพบว่ามันไมได้หนักอย่างที่เธอกลัว แต่เธอก็ยังไม่ได้โล่งใจ กลัวว่าน้องชายและเด็กในสังกัดเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ จึงแตะตัวหยางหยางสำรวจให้พอใจ แล้วกลับมาจ้องตาตั้งคำถามเช่นเดิม


“เรื่องชกต่อยครั้งนี้ จะเป็นความลับไปตลอดกาล เฉินเสียงฉันอาจจะต้องขอให้นายช่วยและนายก็ผิดด้วย ฉันบอกให้นายช่วยดูแลเพื่อนรักของนายไม่ใช่ปล่อยให้ไปโดนซ้อมแบบนี้”
“พี่ครับ เฉินเสียงมันก็ดูแลผมดีอยู่แล้ว แต่ผมไปหาเรื่องเอง”
“ก็ผิด ไม่ทั่วถึง ถ้านายเกิดเป็นอะไรมากกว่านี้ ฉันจะทำไง นายด้วยจะทำยังไง”



เธอถอนหายใจใส่หยางหยางให้เขาเห็นว่าเธอเครียดมากแค่ไหน เธอต้องบอกให้ทีมงานละครที่กำลังเร่งมือถ่ายให้เวลาหยางหยางสองสามวัน เพื่อให้เขาพัก โกหกไปว่าหยางหหยางข้ามเมืองมาธุระแต่อากาศเปลี่ยนจนเขาไม่สบาย  เธอหาเรื่องโกหกให้เด็กคนนี้หลายครั้ง เพราะรบเร้าจะไปหาใครคนหนึ่ง เธอคิดในครั้งแรกว่าอาจจะเป็นเฉินเสียง หยางหยางติดเพื่อนและการสังสรรค์มาก ที่กองก็ไม่สนิทกับใคร ไม่มีพวกประเภทเดียวกัน  เธอก็อนุญาตให้ไปเพราะหยางหยางดูแลตัวเองได้  แต่ครั้งหลังมา  เธอรู้สึกแปลกไป เพราะเวลาหยางหยางมาขออนุญาต ใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนอารมณ์ น้องชายของเธอหน่วงหนักดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่คิดว่าเจ้าเด็กบ้าของเธอจะบ้าจริง ๆ ที่ดั้นด้นไปหาคนที่ตัวเองเกลียด และเกลียดตัวเอง

“ไม่สิ นายบอกว่านายรักเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็พักใหญ่แล้ว... ผมไปทำไม่ดีกับเขาไว้ แต่เพราะผมทำเขาร้องไห้..นั่นล่ะถึงได้รู้ว่าผมรักเขาแล้ว”


เธอตกใจ..แน่นอนว่ามาก หลี่อี้เฟิงที่เธอรู้จักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเคยร่วมงานจึงรู้นิสัยเด็กคนนี้ด้วยเหมือนกันว่าเป็นเด็กที่หยิ่งทนงค์และรักเกียรติศักดิ์ศรีตัวเองยิ่งกว่าอื่นใด จุดเด่นของเขา แต่หยางหยางกลับทำให้เขาร้องไห้ ..ซึ่งหยางหยางเป็นคนที่อี้เฟิงเกลียดไม่แพ้กับที่หยางหยางเคยเกลียด


“นายทำร้ายเขามากขนาดไหนกันแน่....น้ำตาของหลี่อี้เฟิงถึงมาปรากฏให้นายเห็นแบบนั้น คนคนนั้นจะไม่มีวันอ่อนแอต่อหน้าคนที่เขาเกลียดเป็นอันขาด


หยางหยางไม่เล่า เขาก้มหน้า ลงหลบสายตา ผู้จัดการสาวไม่ได้ถามอะไรต่อไป เธอเพียงแค่ถอนหายใจอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังจนเด็กทั้งสองในห้องต้องหันไปมองดู เธอเงยหน้าขึ้นมาและบอกกับหยางหยาง


“ไม่พร้อมจะบอกก็ไว้ก่อน แต่อย่าทำให้เรื่องของหัวใจมาทำให้งานเสีย”
“ผมขอโทษ...”
“เห้อ”

ผุ้จัดการสาวยกมือกุมขมับปวด เพราะเธอปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูก หยางหยางไปรักเขาได้อย่างไร และท่าทางจะรักมาก    จนดูโศกเศร้าแบบนี้ เธอพอสังเกตเด็กของเธอพักหลังออก อยู่กันมานานทำไมเธอจะไม่รู้ แต่เธอแค่ไม่รู้ว่าเขามีปัญหาหนักหัวใจกับใครคนไหน แต่เธอไม่คิดว่าจะใกล้ตัวขนาดเป็นหลี่อี้เฟิง และไม่อยากเชื่ออยู่ดีว่าจะเป็นหลี่อี้เฟิง เธอถึงกับต้องถามหยางหยางซ้ำว่าแน่ใจหรือเปล่า


“ครับ หลี่อี้เฟิง ทั้ง ๆ ที่ผมอยากเอาชนะเขา แต่ผมแพ้..ผมแพ้เขา แพ้หัวใจตัวเอง แต่ช่างมันเถอะ แค่พี่รู้ว่าผมรักเขามากและพี่ห้ามผมไมได้หรอก”
“ใครจะไปห้ามแกได้ เด็กดื้อแบบแก “


ผู้จัดการที่พ่วงเป็นพี่สาวของหยางหยางยกมือขยี้กลุ่มผมยุ่งเหยิงของหยางหยางให้ยุ่งเหยิงกว่าเดิม เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรกับน้องชายของเธอที่ดันไปรักของสูงที่ไม่ควรรักแบบนั้น ของต้องห้ามที่แม้ความคิดถึงก็ห้ามส่งไป เธอเองกับทีมงานฝั่งนั้นก็ไม่สบอารมณ์กันดี  แต่ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะไปหลงรักอี้เฟิงเข้า


“อยากไปอยู่ใกล้เขา ใช่มั้ย...?”


เธอถามน้องชายซึ่งเขาก็พยักหน้าเบา ๆ ตอบ เฉินเสียงที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ รอลุ้นว่าเธอจะพูดอะไรต่อ  เธอโอบกอดน้องชายไว้หลวม ๆ เพื่อไม่ให้น้องชายเจ็บ หรือไปความเจ็บปวดส่วนไหนก็ตามธอไม่รู้ว่าความรักของหยางหยางกับอี้เฟิงมันเป็นรูปแบบไหนกันแน่ แต่เธอรู้แค่ว่ากำลังใจนั้นสำคัญต่ออุปสรรคในเรื่องไหนก็ตาม


“ถ้าอยากก็พยายามในส่วนที่นายทำได้ ฉันรู้ว่าถ้านายเอาช่วงเวลาที่นายปั่นงานเป็นว่าเล่นไปหาเขา เขาก็บล็อคทางไม่ให้นายเจออี้เฟิงอยู่แล้ว ฝั่งนั้นหวงเด็กของเขาแถมพาลมาที่ฉัน นายก็เข้าไปหาเขาลำบาก เหมือนนายจะไปหาเรื่องเขาเปล่าๆ ดูอย่างคอนเสิร์ตอี้เฟิงที่ฉันให้ทีมงานอีกคนไปกับนาย เห็นมั้ยว่าเขายังกันนายให้นั่งเสียไกล หลังงานก็รีบพาอี้เฟิงไป เหมือนจะหนีนายไปให้ห่าง ๆ ตอนนั้นฉันก็คิดว่ามันต้องมีอะไรแปลก ๆ ฉันคิดว่าอี้เฟิงเลี่ยงและหนีนาย”


เธอร่ายยาวคาดการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์ไปด้วย ผู้จัดการสาวที่อายุมากกว่าและอาบน้ำร้อนมาก่อนบอกเล่าในสิ่งที่เธอเข้าใจ


“ฉันไม่เคยปิดกั้นหัวใจนาย จะรักจะชอบก็เรื่องของนาย จะใครฉันไม่สนหรอก ถ้านั่นไม่ทำให้งานของนายแย่ลง แต่ถ้าเป็นคนนี้ฉันอยากจะเตือนให้นายระวังทุกอย่าง แม้แต่การแสดงออกเรื่องความรู้สึกของนาย หยางหยาง  อี้เฟิงดังมาก นายเองก็กำลังไต่เต้า แฟนคลับนายสองคนไม่ถูกกัน ฉันกับทีมของเขาด้วย อุปสรรคมากมายทุกด้านอย่างชนิดที่นายควรจะยอมแพ้”


หยางหยางได้ฟังแบบนั้น เขาพยักหน้ารับไปเข้าใจทุกอย่างที่เธอพูด ผู้จัดการของเขามองอะไรไกลและมองล่วงหน้า วางแผนไว้เสมอ เธอรอบคอบ เรื่องนี้ก็เช่นกัน เธอไม่ได้ปิดกั้น แต่มันไม่มีทางเลยต่างหาก ผู้จัดการต่างพี่สาวเลื่อนมือมาตบบ่าหยางหยางเบา ๆ มืออีกครั้ง


“มีวิธีที่จะเสนอคือ ทำให้ตัวเองดีและดังมากกว่าเดิม อย่างน้อยให้นายไปเดินหลังเขาไม่กี่ก้าว หรือไปยืนเคียงข้างเขาได้ ไปถึงตรงนั้น แล้วค่อยว่ากันว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อ นายหลงรักคนผิด หยางหยาง ฉันพอรู้ว่านายสองคนเกลียดกันแต่นายดันหลงรักเขา เขาก็ยังเกลียดนายอยู่เหมือนเดิม หรือถ้านายไปทำอะไรเขาไว้ เขาอาจจะเกลียดนายไปจนคืนความรู้สึกดีมาไม่ได้ ยากเย็นอย่างนี้แล้ว นายยังอยากรักเขาอยู่มั้ย”

เธอถามกลับไปหาเขา หยางหยางไม่ช่างใจกับคำตอบที่ส่งไปหาเธอเลย

“แน่นอนครับ”
“ก็แล้วแต่นาย รักคนคนนี้ต้องเตรียมใจ นายมีรักต้องห้ามเสียแล้ว ฉันก็ไม่รู้จะช่วยนายอย่างไร”
“ไม่ต้องหรอก..ขอผมพยายาม พี่ปล่อยให้ผมพยายามก็พอ”

เธอมองหน้าน้องชาย ระบายอารมณ์โดยการถอนหายใจซ้ำอีกครั้ง เธอหันไปมองเพื่อนสนิทหยางหยางที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนไว้คอยปรึกษา เธอไม่ได้รับรู้เรื่องหนักหัวใจของหยางหยางมากขนาดนั้น ท่าทางเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผย

“จะปล่อยให้นายทำ แต่อยู่ในขอบเขตที่ฉันอนุญาตได้เท่านั้น งานจะเสียไมได้ เข้าใจนะ นั่นก็ถือว่าฉันช่วยให้นายทยานไปอยู่ข้างเขา “


อย่างน้อยเธอก็ปล่อยให้หยางหยางพยายามไม่ขวางกั้น และเธอก็ยังไม่รู้ว่าเขาเคยไปขอร้องทีมงานฝั่งอี้เฟิงขอพบอี้เฟิง ผู้จัดการของอี้เฟิงรักษาสัญญา หากผู้จัดการของเขารู้ว่าเขาไปขอร้องทีมอีกฝ่าย เธอต้องโมโหมากแน่ ๆ เธอไม่ยอมให้น้องชายแบบเขาไปขอร้องคู่อริที่ไม่ถูกกันแน่ ๆ  หยางหยางนึกขอบคุณผู้จัดการของอี้เฟิง และหันกลับมาพบผู้จัดการของตัวเองที่มีความกังวล เธออยากจะเข้าใจหยางหยางแต่ก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมดได้ ความรักมากมายยากจะหยั่งถึง

“นายนี่นะ ดันไปรักใครไม่รัก นั่นเทพบุตรแห่งชาติเชียว”
หยางหยางได้ฟังสรรพนามที่เขาไว้เรียกอี้เฟิงบ่อย ๆ จากปากผู้จัดการ เขาก็นึกถึงสิ่งที่เขาไว้เรียกแทนตัวเองเมื่อคุยกับอี้เฟิงเหมือนกัน เขากระซิบพูดกับตัวเอง

ผมที่เป็นซาตานหลงรักเทพบุตร..ที่จริงสองสิ่งนี้ก็เป็นของคู่กัน แต่เพียงอยู่คนละฟากฝั่ง
ซึ่งอย่างไรก็ย่อมพ่ายแพ้ เหมือนในนิยายปรัมปรา
ซาตานใจร้ายย่อมพ่ายแพ้เทพบุตรผู้แสนดีเสมอ
ก็เหมือนกัน เขาแพ้อี้เฟิง



THISMAN





“ชักไม่เข้าท่าแล้ว”


ผู้จัดการของหยางหยางที่ผลัดเปลี่ยนมาเฝ้าอาการของหยางหยาง  สองวันมาแล้วที่เธอเห็นน้องชายของเธอหลับไป และฝันเพ้อถึงบางคนที่เธอรู้จัก

“เฉินเสียง หยางหยางรักอี้เฟิงมากขนาดไหน  นายพอประมาณให้ฉันได้มั้ย”


เธอนั่งเฝ้าไข้หยางหยางไปตามธรรมดา ซักพักเธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงพูดเหมือนคนละเมอฝัน หยางหยางที่ละเมอถึงชื่ออี้เฟิงให้ได้ยิน  รักจนเก็บไปฝัน  นี่ต้องรักขนาดไหนกันถึงจะเป็นได้ถึงขนาดนี้


“มากครับ เขารักมากและที่เพ้อขนาดนี้ มันอาจจะพ่วงความรู้สึกผิดที่ผิดกับอีกฝ่ายไว้เยอะด้วยน่ะ”


เธอมองดูน้องชายก่อนจะถอนหายใจ  อาการหนักขนาดนี้ ก็ไม่ได้เพิ่งปรากฏให้เห็นหรอก แต่เธอไม่คิดว่าจะหนักหนาขนาดนี้ ก่อนหน้าหยางหยางแสดงออกมา แต่ก็ไม่หหมด เหมือนปิดเธอไว้ จนตอนนี้ เธอที่ใกล้ตัวหยางหยางเป็นอันดับต้น ๆ ก็ได้ล่วงรู้แล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ก็ดันไปรักคู่แค้นคู่อาฆาตเขาเข้า แถมอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใยดีเลย เธอเองก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายแล้ว  เพราะเมื่อแยกกันไปก็ให้จบกันไป เวลาจำเป็นก็พอที่จะต้องมาเจอกัน แต่เด็กของเธออาการหนักขนาดนี้



หรืออีกฝ่ายวางยาอะไรเอาไว้ ... ทำอะไรกับหยางหยาง

“นายคิดว่าไงเฉินเสียง ที่หยางหยางไปหลงรักอี้เฟิงขนาดนี้ นายว่าเพราะอะไร”
“เพราะหมอนี่มันดันไปตกหลุมเอง ผมเดาเอาว่าใจหมอนี่ไม่มั่นคง และพี่อี้เฟิงเขาคงเล่นทริคอะไร สุดท้ายก็โดนเขาปั่นหัว หมอนี่ที่มีพี่เขาอยู่ในสายตาจนเผลอให้พี่เขาเข้าไปในหัวใจ ชนะขาดครับ “
“นายมองเกมส์ขาดดีนิเฉินเสียง”
“ผมมีประสบการณ์มากกว่ามันหน่า”


ผู้จัดการสาวคุยกับเฉินเสียง เธอก็ประมาณไว้เช่นนี้ แต่ที่เธอไม่รู้นั่นคือมันอี้เฟิงต้องทำอะไรแบบนั้น ปั่นหัวให้น้องชายเขารักหัวปักหัวปำแบบนี้

“หยางหยางล่ะ ไปทำอะไรเขา  เขาถึงได้ต้องทำแบบนี้”
“เรื่องนี้มัน....”

เฉินเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เรื่องนี้มันมากเกินกว่าที่เขาจะอธิบาย ถ้าเธอรู้ความจริง พี่สาวผู้จัดการต้องเป็นลมแน่ ๆ เฉินเสียงจึงเงียบไว้ โยนงานไปให้หยางหยางเธอ และจนกว่าหยางหยางจะบอก เธอก็จะไม่รู้ต่อไป


“ถ้างั้นนั้น ฉันอาจจะต้องทำอะไรซักอย่าง”








หลังจากที่อี้เฟิงบอกลาขาดจากกับหยางหยาง  ใช่ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนคนนี้  เขายังตื้อตามไม่เลิกทั้งที่เขาคิดว่า เขาควรจะพอกันซักที กับการพบกัน อี้เฟิงไม่อยากยุ่ง ไม่อยากพบคนนี้ พาลจะทำให้คิดถึงเรื่องเก่าที่เจ็บช้ำ  คำว่าพอกันซักที ที่เขาบอกหยางหยางไป ไม่ได้อยากให้เป็นเพียงแค่ลมปาก เขาอยากให้มันแข็งเข้มกว่านั้น และปกป้องเขาได้ 


อี้เฟิงไม่อยากพบหยางหยางแล้ว



โชคดีที่อี้เฟิงมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ดูแลเขาได้ทุกเวลา และในทุก ๆ เรื่อง  เหมือนพวกเขาจะรู้ว่าปัญหาระหว่างเขากับหยางหยางมันรุนแรงและยากเกินกว่าจะมองหน้ากันได้แล้ว  พวกเขาไม่ถามอะไร  และต่างช่วยดูแล  แม้อี้เฟิงอาจจะต้องเจอคำถามบ้าง

“เธอเกลียดเขามากขนาดนั้นเลยหรืออี้เฟิง”
“ผมแค่ไม่อยากเจอเขา”


อี้เฟิงตอบไปตามนั้น ตามความจริง ที่จริงแล้ว อาจจะไม่ใช่ความเกลียดที่ทำให้ไม่อยากเจอกันแค่เพียงอย่างเดียว อาจจะพ่วงด้วยความรู้สึกพอแล้ว  อยากหยุดเกมส์บ้า ๆ สงครามประสาทนี้ เขาอาจจะกลัว และเหนื่อยมากที่จะต้องมารับมืออะไร  เขาพอใจที่ปั่นหัวหยางหยางได้แบบนั้น และสำเร็จ อี้เฟิงทำได้ อี้เฟิงไม่รู้หรอกว่าหยางหยางรักเขามากเพียงใด แต่ดูจากความพยายามของหยางหยางที่อยากจะพบเขาแล้ว มั่นใจว่านั่นทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน


คนที่ถูกปฏิเสธรักอย่างไร้เยื่อใย อี้เฟิงจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่ามันเจ็บเพียงไหน



ใช่ว่าอี้เฟิงจะไม่เคยประสบการณ์เช่นนี้  เขาถึงรู้ว่าการที่ถูกคนที่รักมองไม่เห็นค่าคำว่ารักนั้นโหดร้ายและเจ็บปวดมากเพียงใด  และนั่นเป็นแผนการที่เขาใช้จัดการซาตานร้าย และเขาก็ได้เห็นผลลัพธ์ของมันแล้ว




“หืม ?”



โทรศัพท์ของอีเฟิงสั่นเพราะมีใครคนหนึ่งโทรเข้า  พอเห็นบนจอโชว์ชื่อว่าเป็นใคร อี้เฟิงก็ต้องประหลาดใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต่อสายตรงมาหาเขาเอง ... ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีอะไร



“ครับ”
“มาเจอกันหน่อยมั้ย”



อี้เฟิงได้รับฟันั้นอย่างเงียบเชียบ หลังจากนี้ ช่วงดึกเขาไม่มีงาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่...ค่อนข้างส่วนตัว อี้เฟิงจึงต้องไปหลังจากที่เขาเสร็จงานเรียบร้อยแล้ว  เขาไมได้ถูกห้ามให้ไปไหนมาไหนเอง แต่ให้แจ้งบอกกับใครไว้ซักหน่อยว่าจะไป เขาจึงบอกผู้จัดการใหญ่ของเขาผ่านทางโซเชี่ยลเนตเวิร์ค เพื่อไม่ให้ถามอะไรไปมากกว่านั้น บอกแค่สั้นและเขาก็ออกไป




จัดการเรื่องที่ค้างคา


“ขอถามซักคำ ว่าเธอทำอะไรกับน้องชายฉัน”
“ผมว่าคำนั้น คุณควรจะถามคนของคุณเอง ไม่ใช่เอาถามกับผม”


สายที่อี้เฟิงรับนั้นเป็นสายเข้าจากผู้จัดการของหยางหยาง เขาเพิ่งรู้ได้ไม่นาน หลังจากมาถึงที่โรงพยาบาล อี้เฟิงปิดบังตัวมาอย่างดี เฉินเสียงมารอรับอยู่หน้าโรงพยาบาล อี้เฟิงจำเขาได้ว่าเขาเป้นเพื่อนที่บาร์ของคนคนนี้  และหากนัดที่โรงพยาบาลอาจจะมีเรื่องราวเกิดขึ้น


เฉินเสียงบอกกับอี้เฟิงประโยคหนึ่ง

“ ทั้งหมดนี้มันมาจากคุณทั้งนั้น ช่วยใจอ่อนกับเพื่อนผมซักนิดเถอะ”


ทำไมทุกคนเอาแต่รุมโทษเขาว่าเขา  ทำไมไม่เห็นใจเขาบ้างในตอนที่เขาถูกทำร้ายอย่างโหดร้ายโดยเจ้าซาตานนั่น ทุกคนเห็นคนคนนี้ดีไปหมด หรือเป็นเทพบุตรหรืออย่างไรกัน แต่อี้เฟิงไม่มีทางมองคนคนนี้ให้ดีได้  ติดลบไปแล้ว จะให้มาเลิกแล้วต่อกัน เพียงบอกว่าขอโทษหรือรักกัน มันไร้เหตุผล


แก้วที่ร้าว ไปแล้ว ไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม
หัวใจของอี้เฟิงบอบบางกว่าแก้วเสียอีก




แต่เหมือนพอยิ่งก้าวเข้าไปในที่นัดพบ ใจของอี้เฟิงที่บอบบางเช่นแก้วอยู่แล้ว เหมือนยิ่งซ้ำให้ช้ำกว่าเดิม



หยางหยางคนนั้นบาดเจ็บและบอบช้ำ มีรอยแผลรอยช้ำทั้งหน้าทั้งบนร่างกายเต็มไปหมด เฉินเสียงอธิบายว่าเขาทะเลาะกันกับกลุ่มคนในบาร์ของเฉินเสียง เพราะคนพวกนั้นด่าว่าอี้เฟิงให้ได้ยิน หลังจากนั้นก็โดนลอบทำร้ายและรอดมาได้ก็เพราะความเก่งของเขาเอง


ไม่อยากมองเลย.... อี้เฟิงคิด เขากลัวจะใจอ่อน กลิ่นยากลิ่นอุปกรณ์การแพทย์ ..เมื่อเดินเข้าห้องพักไป อี้เฟิงเห็นหยางหยางนอนหลับอยู่ เขาน่าจะหลับไปได้ซักพักใหญ่ บาดแผลรอยช้ำทั่วจนไม่น่าดู แต่ยังคงความหล่อเหลา แม้จะบาดเจ็บเช่นนี้ ดวงตากลมโตจ้องมองอย่างนิ่งสนิท พยายามไม่วูบไหว


แค่บาดเจ็บ โดนแค่นี้ ไม่เห็นจะเท่ากับที่เขาได้รับเลยซักนิด


ไม่สนใจหรอก




“อี้เฟิง ฉันขอถามเธอตรง ๆ อีกครั้ง”



อี้เฟิงเงยหน้าและหันไปทางเธอ เทพบุตรแห่งชาติปรับอารมณ์ให้คงที่และกลับไปที่ความสงบนิ่งเหมือนเดิม เขาเกือบจะปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปตามความรู้สึกและภาพที่เห็นแล้ว อี้เฟิงตั้งสติอีกครั้ง หันไปบอกด้วยสายตาที่ปรับให้เป็นอารมณ์นิ่งและเย็นชา


เขาจะไม่มีวันให้อภัยคนคนนี้เป็นอันขาด



“ผมคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องตอบ และที่ผมมาก็เพราะคุณที่เป็นผู้ใหญ่และเคยทำงานด้วยกันเรียกให้มา แต่ถ้าจะมาเพื่อให้ผมตอบคำถามนี้ ไปบอกให้คนของคุณสำนึกกับสิ่งที่เขาทำและเรื่องที่คุณบอกว่า เขารักผม ผมก็ไม่สนใจ นั่นเป้นเรื่องของเขา”


เฉินเสียงฟังแล้ว และยิ่งประโยคท้าย พ่วงด้วยน้ำเสียงเหมือนเย้ยหยันจากอี้เฟิง เขาเกือบยั้งอารมณ์ไมได้  และรู้สึกไม่สบอารมณ์แทบเพื่อ อยากจะเข้าไปถามอี้เฟิงเสียเอง แต่ผู้จัดการสาวขจองหยางหยางห้ามเอาไว้


“เธอเกลียดเขามากอย่างนั้นหรือ ?”


“อี้เฟิง.--- อี้..เฟิง ผม..ขอโทษ----- รัก... ผมรัก”




เสียงละเมอดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนคนฝันร้ายอยู่ หยางหยางพูดซ้ำอยู่ไม่นานก็เงียบไป และกลับสู่นิทราอย่างนิ่งสวบอีกครั้ง เฉินเสียงหันไปหาเพื่อน และกลับมามองอี้เฟิง ผู้จัดการสาวเธอก็เพ่งมองอี้เฟิง อยากรู้ว่าอี้เฟิงจะมีปฏิกิริยากับเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างไร



“ผมเกลียดเขามาก และจะไม่มีวันอภัยให้กับทุกอย่าง...ที่เขาทำ”



พูดจบคำอี้เฟิงหันหลังให้กับทุกคนในห้องนั้น และไม่หันมามองเหลียวหลังด้วย แม้จะมีเสียงเรียกจากผู้จัดการของหยางหยางไล่หลังมาก็ตาม แม้ในใจรู้สึกวูบไหว หลังเห้นอาการของหยางหยาง เขานอนบนเตียงผู้ป่วยหลับไปอย่างอ่อนเพลีย เขาเพียงสงสารเมื่อเห็นหยางหยางป่ววจนอาการหนักแต่นั่นไม่ใช่อย่างอื่น นอกจากควาเมห็นใจในเรื่องอาการป่วย มากกว่านั้นน่ะหรือ ?



ไม่มีแล้ว




หลังจากเขาเห็นหยางหยาง เขาหวังให้มันเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบหยาง หวังว่าจะไม่พบกันอีก เขาจะเลี่ยงทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อไม่เจอเขา แต่ถ้าทำไมได้ เขาก็จะพยายามทำให้คนคนนี้เป็นอากาศ



ไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว ให้สมกับคำที่ลั่นออกไป ว่าพอกันที 





แต่เมื่อไม่นานหลังจากนั้น อี้เฟิงก็ได้รับตารางงานใหม่ อี้เฟิงคิดว่าอีกฝ่ายก็คงจะได้รับแล้วเหมือนกัน


ต้นเดือนหน้าจะมีงานแถลงข่าวเปิดตัวละครเรื่องนั้นที่เขากับหยางหยางเล่นร่วมกัน สองครั้งที่เขาจะต้องทนความรุ้สึกตัวเองไปพบเขา



อี้เฟิงขบคิด มือนิ้วมือมาแตะไล้ไปตามโครงหน้าของตัวเอง  พลางถอนหายใจ  เขาเองก็กลัวเหมือนกันว่าจะใจแข็งอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะด้วยนิสัยขี้สงสารของตัวเอง  แต่ความเจ็บช้ำมันเกินบรรยาย


ซาตานผู้นั้นโหดร้ายกับเขามากจริง ๆ



ทั้งที่จะไม่สนใจ ตั้งใจไว้ว่าจะให้เขาหายไปจากชีวิตก็กลับมางานนี้เข้ามา จำเป็นที่จะต้องพบกัน อาจจะต้องงัดทักษะการเสแสร้งขั้นเทพของเขามาใช้อีกครั้ง ซึ่งย่อมต้องเป็นแบบนั้น



และหลังจากนั้นเขามั่นใจว่าหยางหยางจะต้องมาพยายามตื้อ เพื่อขอโอกาส



ถ้าเช่นนั้น อี้เฟิงก็จะพยายามเหมือนกัน


พยายามมองให้เขาเป็นอากาศธาตุต่อตัวเอง  มองไม่เห็นเขาตลอด ไป แม้แต่คำว่าเกลียดก็จะไม่ให้ เพราะนั่นก็จะทำให้อี้เฟิงต้องมาคิดถึงเขา และพาลทำให้คิดไปถึงเรื่องราวต่าง ๆนานาที่เขาทำกับตัวเอง  มันมากมายและไม่มีทางให้อภัยได้ ยิ่งคิดยิ่งช้ำและมันเหมือนบ่อนทำลายหัวใจอี้เฟิง ติดอยู่ในวังวนนี้ไปอีกตราบนานเท่านาน




เขาไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว 






*********************************************************************************TBC 11

TALK :: จะจบเเล้ว



1 ความคิดเห็น:

  1. ภาคนี้คงจะต้องค้างในวังความรู้สึกนี้ แต่ก็ดีนะมันสมเหตุสมผลดีคงจะเกิดอาการอะไรบ้างล่ะหลังได้เจอกันจริงๆ มองจากเรื่องทุกอย่างอี้เฟิงทำแบบนี้ไม่เห็นจะแปลกถ้าใจอ่อนสิถึงน่างง(ถึงจะไหวๆ ้บางก็เหอะ)
    ถ้าสองคนนี้ได้ร่วมงานกันอีก ดิสแมนภาคต่อไปเราเฝ้ารอแล้วนะ ที่จริงก็อยากให้ร่วมงานกันอีกจริงๆ นะ

    ตอบลบ