TITLE : THISM<N 2:: BLOSSOM
CHAPTER : FINAL 'คน คน นี้ ที่ กลาย เป็น ...'
PAIRING : YANGYANG x
LIYIFENG
RATE : PG - 13
RATE : PG - 13
***********************************************************************************************************
นี่คือความรักของซาตานกับเทพบุตรน้อยที่น่ารัก
ผมรักคุณ
อยากให้จำไว้
หมอนี่ส่งอะไรแบบนี้มาให้กันเชียว....อี้เฟิงอดยิ้มขำกับมือถือ
หยางหยางส่งอะไรมาให้ชวนเขินให้ใจชุ่มชื้น เขาหัวเราะเบา ๆ
ออกมาเพราะกลั้นไว้ไมได้แล้ว
ทีมงานรอบข้างไม่ได้สนใจและง่วนกันง่านตัวเอง แม้แต่ผู้จัดการของเขาเอง
หลังจากวันที่หยางหยางถูกเรียกพบโดยรองประธานของบริษัทของเขา
อี้เฟิงก็พบว่าเรื่องทุกอย่างมันน่าจะยากขึ้นมาก
เขาเองก็ถูกเรียกพบและพาลต่อว่าเช่นกัน
แม้รองประธานจะไม่ได้ขึ้นเสียงหรือใช้คำพูดรุนแรง
แต่เสียดแทงใจของอี้เฟิงทุกคำพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแต่อาบยาพิษของคุณรองประธานที่เอ่ยออกมาทุกคำ
ประโยคหนึ่งที่อี้เฟิงจำขึ้นใจ
“อย่าไปใส่ใจความรู้สึกบ้าบอของเด็กคนนั้น
มันไม่มีค่าอะไร และ นายก็เลิกไปบ้าบอกับเขาด้วย นายเป็นคนดัง ซุปเปอร์สตาร์
คนของประชาชน เรื่องแบบนี้ มัน ไม่ ควร เข้าใจนะอี้เฟิง หากว่าถ้าเธอทำอะไรแปลก ๆ
ก็จะทำให้เส้นทางในวงการบันเทิงของเขาสั้นลงไปด้วยหรือลำบากกว่าเดิม..ก็จากที่ลำบากอยู่แล้วล่ะนะ
และนั่นก็จะส่งผลต่อเธอเหมือนกัน คิดดี ๆ ”
ผู้จัดการสาวที่ใจดีของอี้เฟิงก็อยู่กับเขาในห้องประชุมด้วย
อี้เฟิงถูกต่อว่าแม้ด้วยเสียงสุภาพ แต่ก็แฝงไปด้วยความโกรธของผู้บริหารคนนั้น
เธอฟังจบ ก็ต่อเถียงแทนอี้เฟิงอย่างไม่เกรงกลัว
อย่างน้อยเธอก็มีสิทธิ์ออกรับแทนเด็กของเธอ แม้จะถูกต่อว่าไปด้วยก็ไม่กลัวอะไร
และเธอก็ไม่ได้เล่าทุกเรื่องในผู้บริหารคนนี้รู้และเรื่องของหยางหยางบางเรื่องเขาก็สืบทราบเอง
“เขาก็ว่าเธอแรงไป
เธออย่าไปใส่ใจนะอี้เฟิง”
อี้เฟิงพยักหน้ารับ
ผู้บริหารคนนี้เขาไม่ถูกกับหยางหยางมาตั้งแต่สมัยอยู่ร่วมบริษัทกันจึงไม่แปลกที่เขาจะหันกลับมาต่อว่าอี้เฟิงด้วยเพราะยังคงไปยุ่งยามกับอีกฝ่ายที่ทำให้เขาเสียผลประโยชน์
แต่เรื่องที่บอกว่าความรู้สึกของหยางหยางไร้ค่า
นั่นมันไม่ใช่
ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวด้วยความไม่สบอารมณ์
ผู้จัดการปล่อยให้อี้เฟิงอยู่คนเดียว หลังจากวันนั้น
เธอไม่ห้ามเรื่องการสื่อสารกับหยางหยาง และบอกอี้เฟิงว่าเธอเห็นใจเกินกว่าจะห้าม
และสงสารอี้เฟิงในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้
แต่ที่ห้ามอย่างเดียวคือการไปพบกัน ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม
ฉะนั้นทำได้มากที่สุด
แค่ส่งข้อความหากัน
อย่างที่หยางหยางส่งหาเขาเมื่อครู่
ผู้จัดการของเขาไม่ได้มาตรวจเช็คอะไรแล้ว มีเพียงแค่นี้ที่เราสามารถทำได้
จากข้อความเมื่อครู่นี้
อี้เฟิงตอบกลับซาตานผู้หวานเลี่ยนคนนั้นกลับไป
“เทพบุตรคนนี้กำลังฟังที่นายพูดอยู่นะ” ทววนคำครบแล้วก็ส่งไป
เขาอยากแกล้งหยางหยางอีกซักหน่อย
ที่จริงมันไม่ใช่แค่กำลังฟัง
แต่รับรู้แล้ว จำใส่ใจแล้ว รู้สึกแล้ว
เรารักกันนะ
หยางหยาง ... อี้เฟิงแค่คิดในใจไว้ก่อน เเต่ตอนนี้เขาอายเกินไปที่จะพิมพ์มนัและส่งไปหาอีกคน
THISM<N :: BLOSSOM
เรารักกันแล้วใช่มั้ย
หลี่อี้เฟิง.... ภายในใจหยางหยางทบทวนคำถามนี้มาตลอด
วันนี้กเป็นอีกวันที่เขาทบทวนมันอีกครั้งให้เพิ่มความอยากรู้มากขึ้น
ว่าในใจอีกฝ่ายคิดอย่างไร
ที่จริงมันเป็นเรื่องโลภมากเกินไป
เท่านี้ที่ได้มา ได้สัมผัสเขาอีกครั้ง แม้โอกาสจะน้อยนิด
หรืออย่างตอนนี้ก็ได้พูดคุยกับอี้เฟิงผ่านโลกออนไลน่ได้แล้วและเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ถูกปิดกั้นหรือสั่งห้ามอะไรอีก
มีข้อแม้แค่เพียงอย่างเดียวก็คือ ห้ามมาพบกันไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
นั่นเป็นข้อที่ทำใจได้ยาก
แต่เพื่อให้อี้เฟิงไม่ลำบากกับการเดินทางไปสู่ความรักของเราสองคน
อย่างน้อยการได้พูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือ
เขาได้ยินเสียงอี้เฟิงบ้างบางเวลาที่เหนื่อยกับงาน
ไม่กี่นาที่คุยกันจนหลับคาโทรศัพท์ไป แค่นั้นก็ทำให้หัวใจพองโตได้มากแล้ว
แม้ว่าอยากจะสัมผัสหรือมองสบตากันบ้าง
อย่างข้อความที่ส่งมา
หยางหยางเปิดอ่านก็อมยิ้มกับความช่างเลี่ยงของอี้เฟิง ไม่ยอมพูดออกมาซักที
ก่อนหน้านี้ที่หยางหยางทำเทพบุตรน้อยที่ช่างย้อนแย้งใจตัวเองไปตรง ๆ
ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ตรงคำถาม
“ถึงตอนนี้แล้ว
คุณรักผมแล้วหรือยัง “
เขาถามไปแบบนั้น
อี้เฟิงเงียบไปครู่ใหญ่ คาดว่าคงคิดคำตอบที่จะตอบเขาและก็ได้รับมา
“แค่ก้าวแรกก็เหนื่อยจะแย่แล้ว”
ไม่ตรงคำถามแต่เขาก็ดีใจ
เป็นการเริ่มต้นที่ดี น้ำเสียงที่ได้ฟังก็ดูขัดเขินเล็กน้อย
พร้อมอาการค้อนงอนจนนึกอยากกอดให้หายคิดถึงแต่ทำได้เพียงมองอีกคนผ่านจอมือถือเครื่องสวยเท่านั้น
ช่วงนี้ยังพอมีเวลาว่างอยู่
ที่สำคัญเขาเพิ่งได้รับตารางการเดินทางการทำงานของตัวเองใหม่ที่เพิ่งอัพเดตเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
เขาจะได้บินไปอีกเมืองหนึ่ง
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อี้เฟิงบินไปอีกเมืองหนึ่งเหมือนกัน
เราต้องใช่สนามบินภายในประเทศที่เดียวกัน บินไปคนละเมือง
แค่เรื่องงานเราก็ยังใกล้กันไม่ได้เลย
หยางหยางถอนหายใจอย่างปลงตกกับอุปสรรคระหว่างเขากับเทพบุตรน้อย
แต่แค่นี้จะเป็นอะไร ใบหน้าหล่อเหลายิ้มออกมามุมปาก
ตั้งใจที่จะมั่นคงในความรู้สึกต่อใครซักคน
ระยะทางไมได้เป็นปัญหา
แต่ความรักของอีกฝ่ายต่อเขาต่างหาก
หาก...ทำให้อี้เฟิงยืนยันกับเขาได้อย่างกระจ่างใจซักคำ
ความหนักใจตรงนี้จะหายไป เขาเป็นกังวลแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
นี่คือความโลภมากของซาตานเช่นเขา
THISM<N :: BLOSSOM
“เผลอ
ๆ เราอาจจะเดินสวนกับอีกทีมด้วยซ้ำ อี้เฟิงเข้าใจนะว่าควรทำอะไร”
ตัวเขาเองน่ะไม่ค่อยแสดงอะไรออกมามากเท่าไหร่
เขาจำเป็นจะต้องส่งความไปกำชับหยางหยางด้วยซ้ำ
เพราะเจ้าหมอนั่นแสดงอะไรมากกว่าเขาด้วยนิสัยที่เป็นอยู่แล้ว ล่วงมาอีกหลายวัน
เราต้องย้ายเมืองไปทำงานอีกเมือง และหยางหยางกับเขาต้องใช้สนามบินเดียวกันเพื่อบินไปทำงาน
และบินในช่วงเวลาใกล้กันด้วย
พอบอกไปแบบนั้นก็ถูกส่งข้อความตัดพ้อมาจนอี้เฟิงต้องอมยิ้มเพราะเขาไปอีกหลายครั้ง จนอี้เฟิงต้องบอกให้เขาพอได้แล้ว
และบอกว่าเราอาจจะเจอกันที่สนามบินก็ได้ หากทีมงานไม่พาเราเลี่ยงกันไป
เอ๋
?
มือถือในมือเรียวของอี้เฟิงสั่นไม่หยุดเพราะมีคนโทรเข้ามา
ผู้จัดการของอี้เฟิงไม่อยู่เธอไปคุยอยู่กับทีมงานที่รอสัมภาษณ์อี้เฟิงอยู่อีกห้อง
ตอนนี้มีเพียงทีมงานคนเดียวและบอดี้การ์ดสองคนที่ไว้ใจได้
ตากลมโตหันไปส่งสัญญาณว่าเป็นสายข้าวของใครบางคนที่จะพูดคุยในใครได้ยินอย่างเปิดเผยไมได้เลย
พี่ชายใจดีทั้งคู่จึงแกล้งทำเป็นไมได้ยิน
ไม่รู้เห็นและทีมงานสองคนก็ทำงานของพวกเธอไปจนไม่ได้รับรู้อะไรรอบตัว
อี้เฟิงเดินเลี่ยงมาที่มุมหนึ่งของห้อง
เขาอาจมีเวลาเพียงหนึ่งนาที
“หยางหยาง”
เขารับสาย
อีกฝ่ายดูดีใจมากที่สุดที่ได้ยินเสียงกัน
“ครับ”
“อื้อ”
พูดคุยกันเป็นคำ
ๆแล้วก็เงียบหายไปหลายวินาที
“อี้เฟิง ...ผมได้ยินเสียงลมหายใจคุณ”
อี้เฟิงแทบสำลักเพราะประโยคนี้
มันดูโรแมนติคก็ไม่เชิง นี่ทำให้อี้เฟิงอมยิ้มได้อีกแล้ว ปลายสายหายใจแรง ๆ
ออกมาเหมือนตั้งใจ เขาคิดไว้แล้วว่าประโยคต่อไปมันคงจะเป็นอะไรซักอย่าง
“คุณก็ได้ยินเสียงลมหายใจผมใช่มั้ย”
“อือ”
และเงียบกันไปอีกหลายวินาที
หยางหยางเป็นคนทำลายความเงียบที่น่ารักนี้ก่อน
“สมมุติว่าเราอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจ..แบบนั้นนะครับ”
เขาพูดจบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงโดยไม่ต้องจับสังเกตอะไร
ฟังดูเหน็ดเหนื่อยแต่ยังมีหวัง อี้เฟิงอ่านความหมายจากน้ำเสียงได้มากขนาดนี้
เรากำลังสู้ด้วยกัน
แก้มเนียนใสขึ้นสีระเรื่อ
เมื่อคิดถึงแบบที่หยางหยางพูดสมมิต และดวงตาก็เริ่มชื้นด้วยหยดน้ำ
“อือ”
เสียงของอี้เฟิงคงสั่นเครือแม้จะพยางค์เดียวหยางหยางคงสังเกตได้
มือเรียวกำมือถือแน่นแนบใบหู คอยฟังที่หยางหยางพูดต่อ หากเขามีอะไรอยากจะบอกอีก
“ผมรักคุณ”
เป็นคำที่อี้เฟิงได้ยินบ่อยจนไม่เขินอีกแล้วเมื่อทุกครั้งที่ได้ยิน
ใบหน้าหวานพยักหน้าลอย ๆ กับสายลมตรงหน้าในที่ที่ยืนอยู่ แต่ไม่นาน
คุณผู้จัดการของเขาจะเข้ามาในห้อง
คงไม่ดีเท่าไหร่แม้เธอไม่ห้ามให้เราคุยกันแต่เธอคงลำบากใจที่จะฟัง
“หยางหยาง”
อี้เฟิงเรียกปลายสาย
เพราะเขาไม่พูดอะไรแล้ว เหมือนรอฟังแค่เสียงลมหายใจของอี้เฟิง
และบอกประโยคที่ควรจะพูดให้เขาเสียที
ก็เป็นกำลังให้เราเดินไปด้วยกัน แม้จะเป็นเส้นทางที่เรียกว่าเส้นชนาน
“เรารักกันนะ”
หยางหยางเกือบเผลอปล่อยโทรศัพท์ลงกับพื้น
ด้วยประโยคสุดท้ายที่อี้เฟิงพูดออกมาแทบทำให้เขากระโดดตัวลอย เป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจได้อย่างดี
ซาตานที่ระโหยโรยแรงก่อนหน้าเหมือนมีพลังใหม่ขึ้นมาช่วยชีวิต
หยางหยางคิดถึงรอยยิ้ม
ใบหน้าหวาน กลิ่นหอมเย้ายวนใจ สัมผัสนุ่มนิ่ม และเสียงใส
ทุกอย่างที่เป็นหลี่อี้เฟิง
ซาตานรูปหล่อทรุดนั่งกับพื้นห้องอีกครั้ง
ตอนนี้เขาไม่เผลอทำมือถือตกแล้ว แต่กลับกำมันไว้แน่น
มันเหมือนสิ่งมีค่าเป็นหนทางเดียวที่ทำให้หยางหยางรับรู้ทุกอย่างของหลี่อี้เฟิง
เขารู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ดวงตา
รอยยิ้มหล่อเหลาที่ปรากฏบนใบหน้า
เมฆบดบังใจที่หายไป เขารักคนคนนี้มากที่สุดแล้ว เท่าที่คนคนหนึ่งจะรักคนคนหนึ่งได้
มือแกร่งข้างที่ว่างลูบที่ใบหน้า
ทั้งอยากจะร้องไห้ ทั้งเขินอาย เขาที่บอกรักอี้เฟิงเป็นร้อย ๆ
ครั้งให้อีกฝ่ายได้ยิน ได้ยินคำว่ารักจากอีกฝ่ายแค่คำเดียวกลับเป็นได้มากขนาดนี้
มือเขาเหมือนจะสั่นอยู่ด้วยเพราะความตื่นเต้น
“เสียดายที่ไม่ได้อัดเสียงไว้”
THISM<N :: BLOSSOM
ในที่สุด..ก็เลี่ยงกันไม่ได้ เพราะความบังเอิญ ถือว่านี่เป็นของขวัญของพระเจ้าหนึ่งอย่าง
อี้เฟิงหันไปเจอกลุ่มแฟนคลับกลุ่มใหญ่
สาวน้อยทั้งหลายกำลังวิ่งตาม ไอดอลของเธอ
คนนั้น
คือ หยางหยาง ซาตานที่เคยใจร้ายของเขา
แม้ว่าทีมงานของเขาจะพาอ้อมไปอีกฝั่ง
แต่สุดท้ายก็ต้องมาเข้าเกตเพียงขึ้นเครื่องบินใกล้ ๆ กัน
ทีมของหยางหยางก็ตั้งใจจะเลี่ยงกันแต่สุดท้ายก็จำเป็นจะต้องมาทางเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้จะเดินทางกันมาคนละทางแล้วก็ตาม
หวังว่าจะไม่มีอะไรยุ่งยากเกิดขึ้น
หยางหยางมองไปด้านหน้า
พบกลุ่มแฟนคลับใหญ่มากที่รุมล้อมวิ่งตามไอดอลของพวกเธอ
มีชายหนุ่มอยู่ตรงนั้นตามถ่ายรุปด้วย หยางหยางนิ่วหน้าเล็อน้อย
ไอดอลที่น่ารักคนนั้นก็คือหลี่อี้เฟิง
เทพบุตรน้อยของเขา
หยางหยางต้องขึ้นเครื่องในอีกเกตที่ที่อี้เฟิงเพิ่งเดินเลยผ่านมา
เพราะพยายามจะเลี่ยงให้ไกลที่สุด เข้าสนามบินกันคนละทาง
แต่หยางหยางก็เพิ่งได้ทราบเมื่อไม่นาน
ว่าเกตที่อี้เฟิงเข้ากับเขามันใกล้กันไม่กี่เกต
เขาที่เข้าสนามบินมาอีกทางก็เพิ่งผ่านเกตที่อี้เฟิงจะต้องใช้บริการ
แฟนคลับที่รุมล้อมเขา มองเห็นแฟนอีกลุ่มตรงหน้า
แน่นอนมีบางส่วนที่ไม่ถูกกัน
ทีมงานของหยางหยางจึงพาเขาเดินเลี่ยงเบี่ยงไปให้พ้นแฟนกลุ่ม และอีกฝั่งก็เช่นกัน
ทีมงานของอี้เฟิงเบี่ยงเส้นทางเดินไปอีกทาง
ทำอย่างไรก็ได้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะของทั้งทีมด้วยกันเองและแฟนคลับบางส่วนที่ไม่ลงรอยกันเพราะชอบไอดอลคนละคน
อีกไม่กี่นาที
เขาก็จะเดินสวนกับอี้เฟิง
จำได้ว่าเขามีหมวกใบหนึ่งของอี้เฟิงเก็บไว้ ได้มันมาเหมือนกับฝันไป
เขาอันติดมาด้วย และใส่มันไว้ อี้เฟิงคงจะเห็นมัน แอบเอาของเขามาใส่
คงถูกคาดโทษไปตามระเบียบ
วันนี้หยางหยางไม่ใส่แว่นกันแดดเพื่อมองอี้เฟิงที่เขาอาจจะพบกันก่อนเดินทางข้ามเมืองไป
และเขาก็ได้พบ
เทพบุตรน้อยของเขาน่าจะใช้แว่นกันแดดของเขาอยู่ด้วยนะ
หยางหยางแอบเอาหมวกของเรามาใช้นี่....
อี้เฟิงคิดในใจคาดโทษไว้เหมือนกันแต่เขาเองก็เอาแว่นกันแดดของหยางหยางมาใช้เสีรยนี่
อย่างแรกเพราะมันอยู่ใกล้มือแต่ที่สำคัญก็คือ ให้รู้ว่าเรายังมีกันและกัน อย่างน้อยให้สื่อผ่านของใช้รอบกาย
เขาคิดว่าหยางหยางคงตั้งใจลืมทิ้งไว้ หรือตั้งใจเอามาให้ก็ไม่แน่ใจ
เขาใส่มันมาด้วย ก็เข้ากับใบหน้าของเขาไม่หยอกเลย
อี้เฟิงเม้มมุมปากรอให้เวลาที่เราเดินสวนกันมาถึง
มันไม่ใช่ความบังเอิญแต่ตั้งใจให้เกิดขึ้น
อี้เฟิงไม่รู้ว่าหยางหยางจะทราบหรือไม่
แต่เขาแกล้งเดินช้า เดินดูนั่นแกล้งทางไปเรื่อย
ให้เวลาที่เราได้มองหน้าสบตากันมันผ่านไปช้าลง
เวลายังพอที่จะให้เราทำอะไรบางอย่างอยู่ได้
และเราก็มาพบกัน
แค่สวนกันไม่กี่วินาที เราสองคนไม่ได้ใกล้กันมากขนาด
เพราะแฟนคลับมากมายที่รุมล้อม
แม้เวลากลางคืนที่เราเดินทางจะไม่เยอะเท่าช่วงเช้าแต่ก็มากพอที่จะทำให้เราห่างกันพอสมควร
ก่อนถึงจุดที่เราพบกัน อี้เฟิงถอดแว่นกันแดดออก แกล้เบี่ยงใบหน้าไปมองทางอีกฝั่งหนึ่ง
และแน่นอน หยางหยางรอพบสายตาเขาอยู่แล้ว
ไม่กี่วินาทีนั้น และ เราก็เดินสวนกันไป
การพบกันแค่ไม่กี่วินาทีที่ได้สบตา
นี่เป็นอีกครั้งที่เราได้มองตากัน แม้จะไกลกันมากก็ตาม ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่เราจะได้พบกัน ได้มองตากัน
หรือได้สัมผัส กอดก่าย หรือได้ยินเสียงลมหายใจกันและกัน
แต่แค่เราสองคนรู้กันแค่นั้นพอว่าเรารักกันแค่ไหน
รอบตัวอี้เฟิงและหยางหยางมีเสียงต่อเถียงกันของแฟน
ๆจนทีมงานของทั้งคู่ต้องบอกให้หยุด
แม้จะไม่มากขณะจะก่อให้เกิดการทะเลาะแต่มันก็ดูไม่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จนเมื่อเราพ้นผ่านกันไป
อี้เฟิงเช็คอินตั๋วเครื่องบิน เดินเข้าเครื่องบินไปแล้ว แต่หยางหยางยังคงเข้าคิวอยู่
อี้เฟิงบอกลาเขาในใจ และส่งข้อความไปพร้อมกัน
‘นายได้นอนบ้างรึเปล่า’
หยางหยางได้รับข้อความตลก
ๆ จากอี้เฟิง ที่ถามอะไรทั่วไปจนเสียเขานึกขำ เขาส่งกลับไปให้ ไม่ตรงคำถามเสียด้วย
แต่แค่อยากบอกให้อีกฝ่ายรู้และแน่ใจ
"'นอนไม่หลับก็จริง
ฝันถึงคุณ และ....ผมรักคุณมาก ถึงได้เก็บไปฝัน"
เสียงทุ้มพูดทวนคำให้เขินเสียเอง
ผู้จัดการที่นั่งอยู่ข้างเขายังพลอยขำไปด้วย เธอหันมาบอกว่า
ฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เร็วดี หลังจากที่วิตกกังวลเรื่องที่ถูกต่อว่า และข่าวมากมาย
ไหนจะความรู้สึกของอี้เฟิงที่เป็นเรื่องที่กังวลในอันดับแรก ที่สุดในก็กระจ่าง
เรารักกันไมได้เลย...อย่างไรกันที่เรียกว่ารักไม่ได้
เรากำลังรัก
อยู่ด้วยกันไมได้หมายความจะรัก
อยู่ห่างไกลกันไม่สามารถมาบรรจบกันได้แบบเส้นขนาน
เรียกว่าไม่รักกันหรือ ?
เรารักกันนะ
...ก็เป็นอย่างที่อี้เฟิงเคยบอกเขา ..ประโยคนี้หยางหยางจดจำอยู่ในใจเสมอ
ทั้งเสียงใสและความรู้สึกที่อี้เฟิงบอกผ่านเสียงมา
ที่อี้เฟิงส่งไปหาหยางหยางมันเป็นข้อความที่ไร้สาระแต่ก็พูดไปตามจริง
ก่อนหน้าที่จะเดินทาง อี้เฟิงแอบคุยกันทางสายโทรศัพท์กับหยางหยางครู่หนึ่งก่อนหน้า
หยางหยางบอกว่าเขาตื่นเต้นจนแทบไม่ได้นอน ไม่ได้พูดเล่นเสียด้วย
เขาดูง่วงและอ่อนเพลีย อี้เฟิงได้รู้ก็ยังขำเขาไม่หาย
แต่กลับได้รับข้อความหวานเลี่ยนอีกแล้ว
พอได้ทีเข้าหน่อยก็หยอดไม่เลิก จนบางทีอี้เฟิงก็รับไม่ทันเหมือนกัน
ซาตานผู้นี้เป็นอีกคนที่ไม่ใจร้ายกับเขาแล้ว...หรือถ้าจะใจร้ายอีก
ในเมื่ออีกฝ่ายรักเขา เขาก็จะใจร้ายกันบ้าง ให้มันรู้ไป
เขากล้าที่จะรักแล้ว
เรากำลังรักกัน
..แล้วใช่ไหม ..หยางหยางเคยถามเขาก่อนหน้านี้
อี้เฟิงตอบรับไปแค่คำเดียว
แต่ย้ำเตือนอีกทีว่าอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เราจะได้พบกันอีก
แต่ทั้งหยางหยางและของเองก็บอกว่า
ไม่เป็นไร
เส้นขนานยังคู่กัน
เราก็เหมือนเส้นขนาน
ใครบอกเราไมได้รักกัน
เรารักกันอยู่นะ
อี้เฟิงตอบกับตัวเองในใจ
พลางคิดถึงอีกเคนที่ตอนนี้คงกำลังบินข้ามเมืองเหมือนเขา ถึงที่แล้วก็อาจจะติดต่อกันอีกซักครั้ง
ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทันสมัยของโลกใบนี้ที่เชื่อมพวกเราเอาไว้
นอกจากแค่หัวใจของเราสองคน
และ
หัวใจของอี้เฟิงได้รับการดูแลแล้ว
โดยซาตานผู้นั้น
อี้เฟิงคิดว่าเขากำลังจะเปลี่ยนไป และเทพบุตรคนนี้จะไม่กลัวซาตานอีกแล้วด้วย
ดอกไม้ที่ปลูกกันไว้ช่างทรหด
แข็งแรงและสู้สภาพ แม้ยาพิษที่อาบรอบตัวเป็นอุปสรรค ที่อาจจะทำให้มันตาย
ก็ยังสู้ได้
ในตอนนี้ดอกไม้
กำลังเบ่งบาน
*******************************************************************END
THISMAN 2 : BLOSSOM
ดำเนินเรื่องและจบลงได้สวยงามที่สุดเลยคุณแม่แมว ชอบความที่คาแรกเตอร์ยึดเรื่องจริงมากแบบว่าในสถานการณ์นี้เขาเป็นเช่นนี้ เคยเจอเรื่องนี้ทำให้เป็นแบบนี้ มันมีอารมณ์ร่วมมากเลยจริงๆ ตอนอ่านก็นึกว่าจะเม้นอะไรมากมายออกแต่พอมาถึงกล่องเม้นจริงๆ ก็ลืมซะแล้ว
ตอบลบดิสแมนน่ารักได้ดีจนพูดไม่ถูก ไม่ค่อยเจอเนื้อหาเสมือนจะจริงซะด้วย สนุกมากคุณแม่แมว
ชอบพัฒนาการของหยางหยางเหมือนเขาใช้ดื้อดึงมุ่งมั่นบ้าบิ่นในทางที่เข้าท่าหลังจากที่หลับหูตาใช้ในทางน่าตบตีพักใหญ่ เราไม่ว่าอี้เฟิงเขาเข้าทีในตัวเขามากอยู่แล้ว เพราะคุณแม่แมวบอกว่าจะเม้นตอนสุดท้ายเลยได้ถ้าเราจำไม่ผิดเลยอู้มาหลายตอนรวบทีเดียวเท่าที่จำได้ มีคำผิดกับพิมพ์ตกหล่นประปรายในแต่ละตอน แล้วก็สำนวนเขียนเราชอบมากเลยมันดูชุ่มฉ่ำยังไงบอกไม่ถูก เวลาหยางหยางหยอดมาแต่ละทีถ้าเป็นแบดลูกขนไก่พังหมดละเนี้ย
อีกอย่างนึกภาพหยางหยางกระโดดตัวลอย กับอี้เฟิงเดินช้า ลอยหน้าลอยตานิดๆ ขำมาเฉยเลยล่ะ
ยินดีด้วยเรื่องนี้บริบูรณ์แล้ว ^^ ขอบคุณมากจริงๆที่สร้างขึ้นมา
จบได้สนุกมากค่ะ รักกันนานๆ นะ จบภาคแรก หน่วงมากค่ะ ร้องไห้ สงสารหยางหยางมาก จบภาคนี้ รักหยางหยางมากค่ะ เติบโต อบอุ่น ดูแลอี้เฟิงดีๆ นะ นายหยางหยาง ถ้านายทำให้อี้เฟิงเราเจ็บอีก เราจะจัดการนาย อ้ากกก อิน ฟิน ค่ะ ชอบค่ะ แนวอิงเรื่องจริง คาร์ตัวละครเหมือนจริง ไม่หลุด ขอบคุณผู้เขียนนะคะ มีผลงานอีกเยอะๆนะ จะติดตามต่อไป
ตอบลบ