TITLE
: THISM<N :: BLOSSOM
CHAPTER :
CHAPTER : 4 'คนที่เฝ้าระวัง'
PAIRING : YANGYANG x
LIYIFENG
RATE : PG - 13
RATE : PG - 13
“หยุดทำอะไรไร้ประโยชน์ได้แล้ว
เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย”
เสียงดังมาจากประตูห้อง
หยางหยางที่นั่งจมอยู่กับตัวเอง และมือถือเครื่องสวยของเขาแทบทุกวัน
และทุกช่วงเวลาว่างหากมีเว้นว่างจากงานและหลังจากทำงานเสร็จ
เขาจะมีนั่งจับจ้องและใช้มันติดต่อไปหาอีกคนที่เขาคิดถึง
หลี่อี้เฟิง
เทพบุตรน้อยของเขาคนนั้น
แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณหรือข้อความอะไรตอบกลับมา
หรือแม้ซักมิสคอลที่เขาอยากให้มันเป็นจริงตามปรารถนา แต่เขาก็จะส่งข้อความ
ไปหาทุกช่องทาง หรือกดโทรหา แต่จะต้องไม่มากเกินความจำเป็น จะทำเท่าที่ทำได้
“จะให้ผมเลิกยังไง”
“นายนี่มันหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้น”
“ก็....อย่างนั้นล่ะครับ”
หยางหยางส่งยิ้มอ่อน
ๆ ให้พลางหลับตานึกถึงใบหน้าหวานของอีกคนที่เคยอยู่ในอ้อมกอด ล่าสุดแม้ไม่นาน
แต่ก็รู้สึกถึงความจืดจางไปเสียแล้วของไออุ่นที่เคยกอดตัวนุ่มนิ่มของเทพบุตรคนนั้นของเขาไว้
เขาคิดถึง …..
หยางหยางคิดถึงอี้เฟิงตลอดเวลา
และอยากพูดคุยด้วยซักครั้งไม่ว่าช่องทางไหน
เขาจึงพยายามทำอย่างที่เขาทำได้ในสถานะตอนนี้
เพราะไม่สามารถออกไปไหนได้ตามใจอีกแล้ว
และอีกฝ่ายเองก็ปกป้องเทพบุตรของพวกเขาอย่างแน่นหนา
จนหยางหยางไร้หนทางจะเข้าไปกอดอีกคนหนึ่งได้ ก็อย่างน้อยในช่วงเวลานี้
หยางหยางไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่าจดจ้องมือถือและเฝ้ารอ
“ผมน่ะ..ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการนั่งไถจอมือถือนี่แล้วนี่ครับ
แถมบางทีก็เจออะไรรบกวนใจอีก”
“ก็อย่าให้มันมารบกวนนายตอนทำงานแล้วกัน
แบ่งอารมณ์ให้ได้”
ผู้จัดการของหยางหยางรู้ดีว่า
สิ่งที่รบกวนหัวใจหยางหยางตอนนี้คือ ข่าวลือมาใหม่ล่าสุด เรื่องของหลี่อี้เฟิง
ที่จะมีงานกับดารารุ่นพี่ที่เคยร่วมงานแถมระดับความสนิทสนมยังไม่น้อยเสียด้วย
อย่างเฉินเหว่ยถิง
“อย่าฟุ้งซ่าน
รักเขาในแบบที่รักได้ และถ้ามั่นใจถ้านายมั่นใจว่าเขารักนาย ก็อย่าระแวง”
เธอเองก้ไม่กล้าบอกว่าให้หยางหยางเชื่อใจอี้เฟิงคนนั้น
เพราะเธอไม่เห็นวี่แววว่าอี้เฟิงจะรักหยางหยางเท่าที่เด็กของเธอรัก
อีกฝั่งอาจจะเพิ่งเริ่มหวั่นไหวและสับสนกับเด็กน้อยของเธอ
ซึ่งนั่นหมายความว่าหยางหยางทำได้แค่อย่าระแวงไม่เป็นเรื่อง แต่ให้เชื่อใจอีกฝ่าย
ยังเป็นเรื่องคิดไกล เพราะอีกฝ่ายยังไม่มีใจให้หยางหยางไปเชื่อด้วยซ้ำ
เธอเชื่อเช่นนั้น
“ครับ....” หยางหยางรับคำเสียงอ่อน
และใช้เวลาว่างส่วนสุดท้ายก่อนเริ่มงานในช่วงต่อไป เฝ้ามองจอโทรศัพท์อีกครั้ง
จะอย่างไรก็ไม่รู้...แต่เท่าที่หยางหยางรู้หัวใจตัวเอง
คือ เขาถอนหัวใจไม่ได้ รักหลี่อี้เฟิงจนมากมายขนาดนี้
ดูเหมือนมันงมงายไปเลยด้วยซ้ำ
หลี่อี้เฟิงทำให้เขาจมอยู่กับความรักที่แสนเจ็บปวดนี้ ไม่หรอก เขาไม่คิดเกลียด หรือโกรธแค้นอะไร
เพราะเหตุการณ์ที่เคยได้กระทำมามันยังถูกบันทึกอยู่ในใจ
ทั้งเสียงอ้อนวอน ขอร้อง ทั้งหยดน้ำตา
บางที
ตอนนี้คือช่วงเวลาชดใช้สิ่งที่ทำไป
เราแลกกัน
ความรู้สึกนั้น เขาเจ็บปวดบ้าง
นั่นล่ะ
มันจะเป็นอะไรไป
THISM<N ::
BLOSSOM
“ครับ
ขอบคุณมากครับ” อี้เฟิงรับบทละครเล่มสุดท้าย ละครของเขาใกล้ปิดกล้องแล้ว
และจะได้ไปจากเมืองนี้ในอีกไม่กี่วัน ตากลมโตมองบทละครในมือ
และคิดไปถึงช่วงเวลาที่แสนสั้นที่เหลืออยู่
ที่เขาจะได้อยู่ที่เมืองนี้ ถ้าจากเมืองใหญ่นี้ไป
ก็จะไม่ได้พบกับคนคนนี้..ซาตาน..ที่เคยเป็นซาตานผู้ใจร้ายของเขา หยางหยาง
คิดแล้ว
หัวใจพาลปวดร้าว ริ้วแล่นให้รู้สึกเจ็บปวด
อี้เฟิงนิ่วหน้าและแสร้งไม่สนใจ เพราะมีผู้จัดการของเขาจดจ้องอยู่
ช่วงนี้จะจ้องจับผิดอี้เฟิงเป็นพิเศษ เพราะจะปล่อยให้อี้เฟิงออกไปไหน
หนีไปไหนตามใจไม่ได้อีกแล้ว เพราะความผิดที่ก่อไว้เมื่อครั้งนั้น
เผลอหลงใหล้ความหวานหอมที่ซาตานมอบให้ อี้เฟิงรับผิดโดยดีและไม่โต้แย้ง
ที่จริงแล้ว เขาอยากก้าวไปสู่เส้นทางนั้นกับหยางหยางเอง มันทำอะไรไม่ได้
นอกจากจะมารอรับผลที่ทำไป แต่มันคุ้ม...
อย่างน้อยอี้เฟิงก็รู้ว่าหัวใจของตัวเองเป็นอะไร
อี้เฟิงยอมรับความรู้สึกแรกของตัวเอง
เมื่อเห็นหน้าหยางหยาง
เขายอมทำตามทุกอย่างที่ซาตานพูดดั่งเช่นคำหวานที่ถูกหว่านล้อม หวานแต่พิษร้าย
ซึ่งเขายอม
หลังจากนั้นอี้เฟิงก็ปล่อยให้ตัวเองสับสนต่อไปเรื่อย
ๆ ไปพร้อม ๆ กับคิดคนคนนี้ที่ทำให้ใจสับสน
ไม่อยากยอมรับอะไรซักอย่าง แต่รู้อย่างเดียวคือ
คำพูดและใบหน้าหล่อคมคายนั้นของหยางหยาง
ทำให้เขายอมทุกอย่างยามเขาได้สบและเอื้อนเอ่ย
เทพบุตรผู้นี้ช่างอ่อนแอ
...เขาคิด และไม่นานก็หยุดคิด
งานที่หนักหน่วงยังรอเขาอยู่
แม้ในใจจะหน่วงหนัก
เพราะต้องทนคิดถึงซาตาน
THISM<N :: BLOSSOM
จนเมื่อหยางหยางเลิกงาน
ในวันนี้ บทละครมากมายถูกส่งให้เขาไม่หยุด
เพราะก่อนหน้านี้มีการหยุดการถ่ายทำเพราะว่าสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
และนักแสดงหลายคนต่างเหนื่อยล้ากัน ช่วงเวลาไม่เป็นใจ ทุกอย่างทำให้การถ่ายทำช้าลง
แต่สถานที่นั้นมีเวลาให้ใช้อย่างจำกัด เวลาที่ละครที่เขาร่วมงานจะปิดกล้องแล้ว ทีมงานทุกเร่งรีบกันจนไม่มีเวลามานั่งว่าง
แต่หากเมื่อว่างก็จะนอนพักเอาแรงกัน
เรื่องอื่นแทบไม่สนใจ
เวลาผ่านไปนานหลายวัน
อี้เฟิงและหยางหยางยังไม่ได้ติดต่อกันทางใดเลยซักทาง หยางหยางที่สามารถรับรู้ได้เพียงแค่เปิดมือถือเช็คข่าว
มองใบหน้าของอีกคนผ่านหน้าจอมือถือ แต่หากวันนี้ตลอดวัน หยางหยางแทบไม่ได้แตะมือถือเครื่องสวยของตัวเองเลยซักนิด
แม้จะว่าง เขาก็จะรู้สึกเหนื่อยจนแทบไม่อยากหยิบจับอะไร และล้าจะหลับไปเสียก่อน
และก่อนจะถูกปลุกไปทำงานต่อ วนกันไปอย่างนี้ หรือไปกินข้าวกันอย่างรีบ และถ่ายต่อ
เขากลับมาแตะมือถืออีกครั้ง
กลับเจออะไรไม่สบอารมณ์อย่างมากจนทำให้เขาเริ่มโกรธ
“อวยพรวันเกิดกันข้ามประเทศเลยเชียว”
ริมฝีปากเรียวพูดพลางขบริมฝีปากอย่างประชดประชัน
เพราะไม่พอใจอย่างยิ่ง แน่นอน กับเขาอี้เฟิงไม่เคยทำแบบนี้ ก็แน่ล่ะ เราทั้งคู่เริ่มต้นด้วยความเกลียดจะอะไรแบบนี้
คงเป็นไปไม่ได้ แต่หากเป็นคนอื่น ๆ
หลี่อี้เฟิงสามารถส่งข้อความ
หรืออัพเดตถึงความสัมพันธ์กันแบบเปิดเผยได้ในโลกออนไลน์
แต่ทำไมกันถึงต้องเป็นคนที่เขาหวาดระแวง
เขากำลังเฝ้าระวัง
คนคนนี้อยู่
ข้อความ
และน้ำเสียง แววตาคู่นั้นที่อยู่ในคลิปถูกหยางหยางเปิดดูหลายรอบจนชอกช้ำใจไปหลายครั้ง ใบหน้าหล่อเหลบิดเบี้ยว
ความไม่พอใจเริ่มมากยิ่งขึ้น
จนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาแทบเขวี้ยงมือถือออกไปให้พ้นมือ เสียแต่ตรงผู้จัดการของเขาเข้ามาในห้องพักเสียก่อนและมองเขาด้วยสายตาคาดโทษว่าอย่าทำอะไรที่แสดงอารมณ์รุนแรงแบบนั้นอีก เขาหยุดมีอย่างเสียได้ จนเมื่อได้เห็นข้อความในโซเชี่ยลมีเดียชื่อดัง
มีข่าวลือขจากแฟนคลับของอี้เฟิงผ่านตาเขามา จากที่เขาได้เข้าไปสืบและตามดูข่าวต่าง
ๆของอี้เฟิงอย่างเงียบ ๆ แหล่งข่าวที่ดี ไม่ใช่ใครที่ไหน เหล่าแฟน ๆ ของพวกเขาเป็นแหล่งข่าวที่ดี
เพราะพวกเธอเหล่านี้จะคอยตามติด จะดูแลไม่เชิงแต่จะทำร้ายก็ไม่ใช่
แต่อย่างน้อยก็สามารถรับรู้ข่าวที่พอจะเชื่อได้อยู่ไม่น้อย
มีแฟนคลับบอกในแอคเค้าท์ออนไลน์ของเธอว่า พบเฉินเหว่ยถิงแถว ๆ ร้านอาหารร้านหนึ่งที่เขารู้จักดี หลังจากอี้เฟิงกลับมาจากต่างประเทศ เขาไปพบกับรุ่นพี่คนนี้หรือ
สนิทกันมากเกินไปแล้ว....
หยางหยางคิด พลางกำมือแน่น
เขาอยากจะทำอะไรซักอย่าง อารมณ์ของเขาเดือดพุ่งพล่าน
หยางหยางรู้ดีว่า ว่าหากเป็นเรื่องของหลี่อี้เฟิง อารมณ์หลากหลายอย่างของเขาจะพุ่งพล่านขึ้นมา
ทั้งรัก ทั้งหวง มันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อได้ยินว่า อีกฝ่ายไปกับอีกคนจะเป็นข่าวลือหรืออะไรก็ช่าง เทพบุตรน้อยของเขาก็จะถูกใครคนอื่นแตะต้องนอกจากงานของเขาหรือ
ความหวาดระแวง
มากขึ้นเรื่อย
เขาต้องเฝ้าระวัง
หยางหยางนึกออกว่าอีกไม่กี่วันในสัปดาห์
เขาจะได้ไปอยู่เมืองเดียวกับหลี่อี้เฟิงแล้ว เขาจะเฝ้ารอเวลานั้น
เขาหวงเทพบุตรของเขามากกว่าใคร
ๆ จะไม่ยอมให้ใครแตะต้องคนคนนี้ได้
THISM<N ::
BLOSSOM
คนคนนี้ไม่ละความพยายาม
....
ใช่ว่าอี้เฟิงจะไม่เห็นความพยายามอันมากมายของหยางหยาง
ที่เพียรส่งข้อความทุกช่องทาง มิสคอล หรือแม้แต่อัพเดตโซเชี่ยลลที่จะสื่อถึงเขา
อี้เฟิงรับรู้ได้ แต่เขาไม่สามารถตอบกลับอะไรหยางหยางไปได้ แบบที่เคยทำ ตั้งแต่ที่เราแยกกันหลังจากคื่นอันแสนหวานที่ไม่อยากลืมเลือน นับได้ก็นานพอสมควร
ถึงข้อความที่ตอบกลับหยางหยางมันจะไม่ใช่ข้อความที่สื่อไปในทางที่จะทำให้ซาตานผู้นั้นได้ใจก็เถอะ แต่ซาตานผู้นั้นพอใจมากกว่าใคร
เอ๊ะ....
เมื่อฉุกคิดในใจได้
เทพบุตรน้อยกลับมาคิดถึงทุกอย่างในใจที่เกิดขึ้น จะบอกว่าเขารู้สึกตัวช้าก็ย่อมได้
อี้เฟิงถลำลึกในความรู้สึกกับหยางหยางไปมากขนาดไหนแล้วกันล่ะ
?
เป็นห่วงเขา ?
นั่นก็ใช่ กังวลเรื่องเขา ? นั่นก็ใช่อีก คิดถึงเขาอีกอย่าง นั่นก็ยอมรับ
มีคำคำหนึ่งผุดงอกเงยขึ้นในใจ
แต่อี้เฟิงกลับเด็ดมันทิ้งไป ราวกับมันมีพิษ
จะอะไรเสียเล่า
ถ้าไม่ใช่คำว่า รัก
เป็นครั้งแรกที่อี้เฟิงคิดถึงคนคนนั้น
แล้วปรากฏคำว่ารัก ขึ้นมาในใจ
คนหน้าหวานถอนหายใจออกมา
จนผู้จัดการที่นั่งดูตารางของเขาอยู่ใกล้หันมามอง แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร
แต่เธอรู้ว่าอี้เฟิงกำลังคิดเรื่องอะไร
ก่อนหน้านี้อี้เฟิงถูกเธอตักเตือนเรื่องหยางหยาง
และให้เลิกคิดจะกลับไปยุ่งกับซาตานคนนี้
จะทำอย่างไรได้เล่า คิดถึงเขา มีเขาวนเวียนในความคิดทุกวัน
อาจจะเพราะสับสน หรืออะไรก็แล้ว
เขาเลิกคิดไมได้ แต่ผู้จัดการของอี้เฟิง
ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่อยากให้ไปยุ่งวุ่นวายกับอีกฝั่งที่ไม่ถูกกันอย่างยิ่ง
และอีกอย่างตอนนี้เขามีเรื่องที่ต้องให้คิดกังวลเพิ่มขึ้นมา
รุ่นพี่เฉินเหว่ยถิงที่เริ่มรุกหนักมากยิ่งขึ้น
อี้เฟิงที่มอบความสัมพันธ์ให้รุ่นพี่คนนี้ได้เพียงพี่ชายน้องชาย
แต่เขาดูเหมือนอยากได้อะไรมากกว่านั้น
อีกฝ่ายคอยส่งข้อความ ติดต่อมาหา ฝ่ายผู้จัดการของอี้เฟิงไม่ได้ห้าม
ผู้จัดการฝ่ายโน้นก็ไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้แถมไม่สนใจที่รุ่นพี่ทำ เพราะถือว่าโตแล้วก็ย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่กับอี้เฟิงมันไม่ใช่
เขาถูกดูแลตามติดแทบจะตลอดเวลา เพราะความโด่งดังของเขา และแฟนคลับหลากหลาย
ก่อนหน้านี้ทีมงานของเขาและรุ่นพี่ได้ไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหาร
ไม่ได้มีเพียงแค่เขาสองคนไปด้วย
จึงหลีกเลี่ยงการอยู่กันลำพังได้
อี้เฟิงเคยจำได้เมื่อครั้งก่อนที่เคยไปร่วมวงดื่มกัน
รุ่นพี่คนนี้กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป
รุกเข้าใส่อี้เฟิงอย่างไม่ลดละ ครั้งแรกที่อี้เฟิงรับรู้ได้
ก็ก่อนที่อี้เฟิงจะถูกซาตานใจร้ายลากไปลงนรกครั้งนั้น
อี้เฟิงแม้ไม่อยากจดจำแต่เพราะมันเจ็บช้ำมากจริง ๆ และกับเฉินเหว่ยถิง
ก็ฝังใจอยู่ไม่เบา อีกครั้งที่บังเอิญพบกัน ไม่มีใครรู้ รุ่นพี่ผู้นี้รุกเขาเป็นว่าเล่น
สัมผัสเนื้อตัว จนอี้เฟิงต้องพูดติดตลกให้เขาถอยเว้นระยะให้บ้าง
แต่เขาก็พูดทีเล่นทีจริงว่า จะตั้งใจเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ในพัฒนาขึ้น
อี้เฟิงแสร้งไม่เข้าใจ ตัดบทไป รุ่นพี่ก็ไม่ถามอะไรต่อ และแยกกันไป
จนมาหลายวันแม้ทำงานกันคนละเมือง
ก็ยังมีข้อความส่งถึงกัน อี้เฟิงจำเป็นต้องตอบไป
เพราะเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันมานาน แถมเร็ว ๆ นี้จะมีผลงานร่วมกัน
จึงจำเป็นต้องสานสัมพันธ์ไว้ ซึ่งผู้จัดการของอี้เฟิงก็เห็นว่าดี และครั้งนี้ก็อีกครั้ง
“ก็ไปสิ ใกล้
ๆ นี้เอง “
อี้เฟิงที่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ได้แล้วบ้าง แต่เขาจะต้องถูกเช็คทุกอย่างหลังจากใช้ไป
จึงไม่สามารถส่งข้อความอะไรไปให้หยางหยาง หรือตอบรับอะไรได้
เมื่อผู้จัดการของอี้เฟิงพบข้อความหรืออะไรก็ตามจากหยางหยาง
เธอจะไม่พอใจและลบมันทิ้งไปทันที แม้ทีวีที่ฉายใบหน้าหล่อเหลานั้น
เธอยังกดเปลี่ยนช่องโดยแทบไม่ต้องรอ
“แต่มันจะดีหรอ
ไปแล้วแฟนคลับคงจะเห็น”
อี้เฟิงไม่เข้าใจที่เธอเห็นดีงามไปด้วยที่รุ่นพี่เหว่ยถิงชวนไปดื่มกันที่บาร์ใกล้
ๆ เป็นบาร์ที่อี้เฟิงเคยไปมาก่อนและเป็นที่ประจำหากมีเวลาว่างและปลีกตัวไปได้
แน่นอน ไม่ใช่บาร์ที่เกิดเหตุที่เป็นบาร์ของเพื่อนของหยางหยาง
วันนี้เขาอยู่คอนโดของตัวเองในเมืองหลวง อีกฝ่ายรู้ที่อยู่ดีอยู่แล้ว
เขาคงจะมารับในไม่ช้า หากอี้เฟิงตกลงไป
“เธอจะต้องมีงานใหญ่กับเขา
หนังดัง เราควรจะมีความสัมพันธ์ที่ดี”
หยางหยางก็ดังไม่แพ้เฉินเหว่ยถิงเลย
แต่ด้วยภาพลักษณ์และข่าวลือของหยางหยางทำให้สื่อหลายแห่งไม่ค่อยชอบพอ หยางหยางเท่าไหร่ หยางหยางเองก็เป็นเด็กตัวแสบไม่ใช่น้อย
แม้จะเป็นเรื่องในอดีต แต่นั่นอาจจะฝังใจเหล่าบรรดาสื่อ
และเซเลปในวงการบันเทิงหลายคนไปแล้ว เฉินเหว่ยถิงจึงเป็นต่อในเรื่องภาพลักษณ์ในวงการมากกว่าอยู่ไม่น้อย
อี้เฟิงพอเข้าใจที่ผู้จัดการของเขาอนุญาตให้ไป
“ถ้ากระแสของพวกเธอสองคนกลับมาก็ไม่เลวหรอก
สื่อหลายทีมก็ดูชอบไม่น้อย เล่นข่าวได้เยอะ”
เธอพูดถึงเรื่องผลประโยชน์จากการปั่นกระแสที่ได้รับ
ออกไปข้างนอก แฟนคลับอออกจากเห็นหรือคนที่รู้จักพวกเขาสองคนอาจจะพบเจอ
แต่เลี่ยงไมได้ ผู้จัดการของอี้เฟิงอยากให้เขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอย่างที่เคยเล่นละครด้วยกันก่อนหน้านี้
เพราะหลังจากนั้นกว่าอี้เฟิงจะได้พบเฉินเหว่ยถิงก็หลายเดือนจนเกิดเหตุการณ์น่าอึดอัดเช่นวันนั้น
ที่เธอไม่รู้ แน่นอนว่าหยางหยางมีภาพลักษณ์ที่แย่กว่าอยู่แล้ว
ต่อให้แม้ว่าเขาจะเล่าเรื่องที่เฉินเหว่ยถิงเองก็ทำอะไรที่ทำให้เขาอึดอัด
แต่เธอก็จะเห็นว่ามันเป็นการหยอกเย้า กันตามประสาคนสนิทกัน เพราะเฉินเหว่ยถิงไม่แสดงความรู้สึก
หรือ บอกรัก อย่างชัดเจน แบบที่หยางหยางทำ เธอบอกว่า ความรู้สึกของหยางหยาง
มันน่าสะอิดสะเอียน ที่กล้ามารักคนของเธอ อี้เฟิงก็เพิ่งรู้สึกได้ว่า
เธอและทีมของเขา เกลียดกันจนกินกันไม่ลงกับทีมของหยางหยางมากขนาดนี้
แบบนี้เราจะทำอย่างไรได้หยางหยาง
นอกจากจะต้องอยู่กันอย่างนี้ไปตลอด
มันเป็นไปไม่ได้เลย
ต่อให้หลี่อี้เฟิงผู้นี้หลงรักหยางหยางเข้าจริง ๆ ก็เป็นไปไม่ได้
เขาไม่เห็นแสงตรงปลายทางเลยซักเสี้ยว
เดี๋ยวก่อน....
ทำไมเขาถึงคิดว่าจะรักคนคนนี้จริง
ๆ กันล่ะ
นั่นมันควรจะเป็นไปไม่ได้...อี้เฟิงย้ำคิด
“ไปสิ
แต่ต้องกลับมาเที่ยงคืนนะ”
เธอพูดเหมือนแกมบังคับ ผู้จัดการของเขาสั่งจบก็กลับไปเช็คตารางงาน
พร้อมโทรรายงานผลงานวันนี้ เธอเป็นนักธุรกิจตัวจริง
อี้เฟิงยอมทำตาม
เพราะอย่างไร
เฉินเหว่ยถิงและเขาก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะพี่น้องและยังต้องร่วมงานกันอีกมาก
ฉะนั้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเป็นเรื่องไม่เสียหายและจะไม่อึดอัดไปมากกว่านี้ในเวลาที่เขากับรุ่นพี่ร่วมงานกันจริง
ๆ เมื่อถึงเวลา ไปเวลาดึกแบบนี้แฟนคลับคงน้อย เขาไม่อยากให้เป็ นข่าวดังจนมันปั่นกระแสกลบเรื่องงานอื่น
ๆไปหมด เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ และเผื่ออีกคนที่เขาคิดถึงอยู่ไม่ขาดจะมาเห็นมัน..
นั่นล่ะที่อี้เฟิงกังวลอยู่
เจ้าเด็กคนนั้นต้องเป็นบ้า ด้วยนิสัยแบบนั้นแล้ว
“ให้ตาย
ทำไมฉันต้องมาคิดอะไรแบบนี้ด้วย “ เทพบุตรน้อยตัดรำคาญความคิดอันสับสนอย่างมากมาย
และหลังจากนั้นอี้เฟิงก็แต่งตัวเป็นเสื้อผ้าสบาย ๆ ระหว่างทางเดินลงไปรอรุ่นพี่ด้านล่าง
เขาใช้นิ้วเรียวปัดหน้าจอโทรศัพท์รอเวลา
อี้เฟิงเกือบลืมไปแล้วเชียวว่าหยางหยางอยู่ที่เมืองเดียวกับเขาแล้ว ไม่นานก่อนหน้า เขาเห็นแฟนคลับรายงานว่าหยาง หยางมาถึงแล้ว พักหลังอี้เฟิงไม่ค่อยได้แตะต้องโทรศัพท์
เพราะทั้งถูกสั่งห้ามและงานรุมเร้า ข่าวนี้เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้พบเห็นก่อน
ทั้งเขา
รุ่นพี่เหว่ยถิงและหยางหยาง
อี้เฟิงไม่แน่ใจว่า
เขาจะจุดความกังวลขึ้นมาทำไม
เขาและหยางหยางไม่มีทางจะมาใกล้กันได้อีก
หากผู้คนที่รายล้อมเราที่มีอิทธิพลต่อเราไม่เคยยินยอมในระยะใกล้ของเราสองคน
ทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ความกังวลที่จุดไว้
ไม่ดับไป
อี้เฟิงเองก็กลัวใจหยางหยางอยู่เหมือนกัน
เพราะคนคนนี้เป็นคนคาดเดาการกระทำได้ยาก
หยางหยางในช่วงหลัง
ๆ เองก็ไม่ได้ส่งอะไรมาให้เขามาก อี้เฟิงเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเหนื่อยมากจริง ๆ
กับการพยายามที่ไร้ผล เพราะอี้เฟิงไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้อีกแล้ว เพราะจะถูกตรวจเช็คอยู่ตลอดเวลา
และจะยิ่งทำให้อี้เฟิงอึดอัด เขาตัดปัญหาโดยการไม่ส่งอะไรไปให้ เพื่อให้หยางหยางเลี่ยงการถูกคาดโทษอีก
นี่คือสิ่งที่อี้เฟิงทำได้ อย่าทำให้มันแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่
รอบตัวเทพบุตรที่ไม่มีใครชื่นชอบในซาตานเลย แม้ซาตานจะพยายามกลับใจ
แต่มันก็เหมือนโกหกหลอกลวง เพราะก็ยังเป็นซาตานคนเดิมที่ไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า
เขาจะกลับไปเป็นซาตานใจร้ายได้อีกเมื่อไร ไม่มีอะไรประกันได้ แม้กระทั่งคำว่ารักที่เขาพูดออกมา อี้เฟิงก็ไม่แน่ใจในตัวเขา
แต่อี้เฟิงก็...ต้องยอมรับแล้วล่ะ เมื่อเวลาผ่านมาไม่น้อย
คำว่ารักของหยางหยาง
ได้ซึมผ่านหัวใจของเขาได้บ้างแล้ว
THISM<N :: BLOSSOM
นี่มันดึกมากแล้วไม่ใช่รึไง...
หยางหยางยืมรถมาจากเฉินเสียง
เพื่อนสนิทและขับตระเวนวนอยู่รอบคอนโดที่พักของอี้เฟิง สุดท้ายก็จอดพักอยู่หน้าประตูทางเข้าหลังที่พัก
เพราะอี้เฟิงเป็นคนดัง เข้าทางประตูหลักคงจะทำให้เจ้าของวุ่นวายไม่น้อย
หยางหยางรู้เรื่องนี้ เพราะถามไถ่เอากับผุ้จัดการของเธอ
ที่เคยร่วมงานร่วมหัวจมท้ายกับทีมงานของอี้เฟิงมาก่อน
ผู้จัดการของหยางหยางเคยดูแลอี้เฟิงอยู่ช่วงเลยสั้น ๆ แต่ก็รู้ทุกอย่างที่สามารถรู้ได้ของอี้เฟิง
เรื่องที่อยู่ไม่ใช่ปัญหาอะไร หยางหยางแสร้งถาม และในที่สุดเขาก็แหกข้อตกลง และ
ออกมาเตร็ดเตร่รออี้เฟิงอยู่แถวนี้
หยางหยางยิ่งมีน้ำโห
เมื่อรู้ว่า ยิ่งล่วงเวลาก็ยิ่งคิดไปว่าเทพบุตรของเขาต้องถูกชายคนนั้นแตะต้องมากเพียงใด หยางหยางรู้ข่าวจากกองถ่าย และแฟนคลับ
เหล่าสาวๆ พวกนั้นเล่ากันอย่างสนุกปากว่า หลี่อี้เฟิงและเฉินเหว่ยถิงกำลังไปเดทกัน
เธอพูดหยอกล้อเป็นเรื่องสนุก แต่หยางหยางคิดเป็นจริงจัง เพราะเธอเหล่านั้นไม่รู้เรื่องราวอะไรที่เป็นเบื้องหลัง
ไม่ใช่แค่คัร้งแรก
แต่เหมือนจะมีหลายครั้ง หยางหยางลอบถามจากผู้จัดการบ้างแม้ว่าตอนที่ถามจะถูกคาดคั้นแต่เขาปกปิดว่าเขาอยากจะทำอะไร
เปิดโลกออนไลน์สืบดูบ้าง เท่าที่สามารถหาได้
เหล่าแฟนคลับที่เป็นผู้ชื่นชอบทั้งสองคนนั้นก็ต่างดีใจเมื่อมีข่าวลือของสองคนออกมา
ไหนจะคลิปอวยพรเมื่อครั้งก่อน ยิ่งปั่นกระแสจนทำให้หยางหยางหงุดหงิด
ไม่รู้จะไปถึงไหนต่อไหนกัน....
หยางหยางคิดเองเออเองไปผู้เดียว
เขาหวาดระแวงรุ่นพี่คนนั้นสุดหัวใจ
ถึงได้ยอมแหกข้อตกลงกับผู้จัดการของเขาไว้ว่าจะไม่ไปไหนโดยไม่บอก
เพราะได้ยินข่าวมาหนาหูเรื่อย ครั้งก่อนที่รู้ว่าสองคนนี้อาจจะออกมาด้วยกัน
เขาไม่สามารถออกมาได้ เพราะงานที่รุมเร้า และปลีกตัวแอบออกมายากเกินไปแต่ตอนนี้เขาทำได้ซักที แต่เขาเป็นเด็กดีมานาน
แต่เรื่องทรมารหัวใจแบบนี้ จะข้อตกลงอะไร หยางหยางก็ช่างมันแล้ว
จะบอกว่าเขาหึงหวงเป็นคนบ้า
..ให้พูดเช่นนั้นก็ไม่ผิด
เพราะนั่นคนของเขา เทพบุตรของเขา เป็นของหยางหยางผู้นี้แล้ว
ซาตานผู้นี้ตีตราทุกอย่างของเทพบุตรคนนี้แล้ว
จะใครก็ห้ามทั้งนั้น
ยิ่งคิด
ซาตานรูปหล่อยิ่งประสาทเสียขึ้นทุกขณะ
แต่หากเขาก็ยังนั่งรอในรถอย่างใจเย็น ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ที่เขาก็คงจะเป็นคนบ้า อาละวาด และไปดื่มเที่ยวอย่างที่เคยทำ เขาคิดได้มากขึ้น
และเลิกทำแบบนั้นเสีย จนเพื่อนสนิทเฉินเสียงของเขาคิดถึงเพื่อนอย่างเขาไม่น้อย
หืม..?
หยางหยางที่จอดรถรออยู่หลังคอนโด
ได้ยินเสียงรถอีกคันเทียบจอดใกล้ ๆ ที่นี้ เขาจึงหันไปดู
อี้เฟิงกับรุ่นพี่
เฉินเหว่ยถิง
รอยยิ้มที่เป็นของเขา
ทุกตารางนิ้วที่เขาตีตรา ดวงตาคู่นั้นที่เขาหวงแหน
หยางหยางเป็นคนหวงของเหลือเกิน
เขารู้ดี
อี้เฟิงเดินเข้ามาใกล้รถเรื่อยๆ
แต่อีกฝ่ายไม่รู้ว่านี่เป็นรถของใครและมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถ
เฉินเหว่ยถิงเดินตามมาติด ๆ หยอกล้อกันดูสนุกสนานและมีความสุข
จนหยางหยางจนเบือนหน้าหนี หยางหยางได้สัมผัสบรรยากาศมีความสุข
และรอยยิ้มที่อี้เฟิงมอบให้เขา เพียงแค่ครั้งเดียว
เท่านั้นก็ทำให้เขาเก็บไปฝันได้มากมาย
แต่เฉินเหว่ยถิงคนนี้ได้ไปมากเท่าไหร่กันหรือ...
เขาหวงแหนอี้เฟิงคนนี้มากเหลือเกิน
ทั้งสองคนเดินกันมาเรื่อย
ๆทอดน่องมาช้า ๆ หยุดตรงหน้ารถของเขาที่ภายในมืดสนิท
มองจากภายนอก ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครอยู่ กลางคืนดึกสงัดเช่นนี้
ความสลัวของแสงไฟทำให้มองอะไรรอบตัวได้ยาก
หยางหยางมองไปยังภาพบาดตาที่ได้เห็น ยิ่งได้เห็นยิ่งกรีดลึกในใจ
ถ้าจะบอกว่านี่เป็นความเจ็บปวดทีให้เขาชดใช้ทดแทนความเจ็บปวดของอี้เฟิงที่อีกฝ่ายเคยได้รับก็ย่อมได้
เหมือนอี้เฟิงล่วงรู้อย่างไรอย่างนั้นว่าเขาอยู่ตรงนี้ นั่งอยู่ในรถนี่
พร้อมทั้งมองสองคนหัวเราะ ดูมีความสุขกันมากขนาดนี้
ไม่รู้ว่าทั้งคู่มีบทสนทนาอะไรกันที่ทำให้อี้เฟิงยิ้มได้สวยงามขนาดนั้น
แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา นอกจากนั้นเฉินเหว่ยถิงยังใช้โอกาสนี้สัมผัสเทพบุตรของเขาอีกด้วย
ทั้งกอดทั้งแตะต้องไปทุกที่ที่ทำได้ ใกล้เกินไป
เขาอยากได้ของของเขาคืน
ใบหน้าหล่อบิดเบี้ยว
ความน้อยใจผสมกับความโกรธและความหึงหวงและหวงแหน ทุกอย่างรวมกันอย่างพอดี
หยางหยางใช้ความรู้สึกทั้งหมดนั้นลงไปกับการกระทำบางอย่าง
แม้จะหักห้ามอารมณ์ไม่ให้ก้าวลงจากรถไปคว้าตัวอี้เฟิงมา
และจัดการให้รู้เสียว่าเขาเป็นของใคร แต่อารมณ์ยังพุ่งพล่านอยู่มาก
มือแข็งแรงกดแตรรถดังลั่นไปทั่วบริเวณ
และส่องไฟบนหน้าให้สว่างจนทั้งสองคนที่ส่งภาพบาดตาให้หยางหยางตรงหน้าต้องหยุดคุยกัน
และหันมาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อี้เฟิงยกมือบังแสงไฟจ้าที่ส่องไปทางเขา เฉินเหว่ยถิงดูโกรธมาก
แต่เขาก็โยกตัวมาบังอี้เฟิงไว้
หยางหยางยิ่งเปิดไฟให้จ้าและบีบแตรลั่นจนทำให้มีคนออกมาเพราะสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นยามดึกค่ำคืนเช่นนี้
ทำให้ทั้งสองจำต้องแยกกันไป ก่อนที่จะมีใครมาเห็นมากกว่านี้ และเฉินเหว่ยถิงต้องส่งอี้เฟิงที่แค่ประตูหลังของตึกคอนโด
และมีทีมบอดี้การ์ดของอี้เฟิงที่หยางหยางคุ้นหน้าคุ้นตาดีรับตัวไป
ใบหน้าหวานหันมาทางรถของเขาอีกครั้ง หยางหยางจึงถอยรถกลับออกมาจากที่เกิดเหตุ
“บ้าเอ๊ย!”
หยางหยางตะโกนลั่นรถด้วยเสียงทุ่มที่แผดออกมา
หลังจากขับออกมาไกล ออกมาระงับอารมณ์ที่เดือดอยู่ในตัว
หยางหยางพยายามให้ตัวเขาใจเย็นลง เรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปนาน เขาคิดว่า เขาโชคดีที่ห้ามอารมณ์ตัวเองไว้ได้
ไม่ลงไปมีเรื่องราวกับเฉินเหว่ยถิงและไม่กระชากอี้เฟิงออกมา ที่ทำไปแม้ดูไม่มีประโยชน์อะไรก็ตาม
ก็ยังทำให้สองคนนั้นแยกกันได้ แต่หลังจากนี้ก็ต้องเฝ้าระวังกันต่อไปอีก
เพราะเขาหวาดระแวง เป็นซาตานผู้กังวล เพราะไม่รู้ว่าอี้เฟิงมีใจให้หรือไม่ เทพบุตรมีใจให้หรือเปล่า
จึงทำได้แค่คาดการณ์และคิดไปเอง
“หากคุณรักผมบ้าง
ผมคงไม่ต้องเป็นคนบ้าแบบนี้”
หยางหยางก้มหน้าลงซบที่พวงมาลัยรถ ปลดปล่อยอารมณ์และลมหายใจร้อน
และหยดน้ำหยาดเล็ก ๆ ที่ซึมผ่านหางตา
“ก่อนหน้านี้คุณเจ็บปวดแบบนี้มั้ย
คุณเทพบุตรของผม”
นั่นมัน...หยางหยาง
อี้เฟิงจำรถคันนั้นได้
ลาง ๆ
ว่าเป็นรถของเพื่อนเขาที่เคยขับมาส่งของให้ก่อนที่เราสองคนจะไปมีคืนแสนหวานคืนนั้น
และแน่นอน แววตาดุดันที่ได้สบ แม้เพียงชั่วครู่
พอได้รู้ว่าเป็นซาตานผู้นั้น อี้เฟิงก็นึกกังวลและหวาดกลัวในใจ
ความรู้สึกและเหตุการณ์เดิม
ๆ ..แม้ไม่ใช่ของเดิม แต่มันกลับมาคล้ายเดิม
อี้เฟิงกลัวสุดหัวใจว่าหยางหยางจะทำอะไรให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนถูกแช่แข็งไปตลอดกาล
แต่หยางหยางทำอะไรที่เขาคิดไม่ถึง
หยางหยางไม่ปรากฏตัวออกมาแต่ทำอะไรซักอย่างขัดขวางช่วงเวลาที่เขากับเฉินเหว่ยถิงอยู่ด้วยกัน หยางหยางมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีกครั้ง
เหมือนครั้งที่บาร์นั้น
และหลังจากนั้นอี้เฟิงก็ถูกทำร้ายหนักหนาที่บาดลึกเป็นแผลในใจอี้เฟิงไปตลอดกาล
อี้เฟิงกลัวว่าหยางหยางจะทำให้แผลนั้นมันสดใหม่ขึ้น
แต่หยางหยางไม่ทำ เขาทำแค่ขัดขวาง กดแตรรถ ส่องไฟสาดใส่พวกเขา ขัดขวางให้พวกเขาแยกกันและถอยกลับไป
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ทำไม แต่อี้เฟิงอยากจะส่งอะไรไปหาเขาซักคำ
อยากพูดออกไปซักคำถึงหยางหยางจะอะไรก็ได้
อี้เฟิงจึงฝืนคำสั่ง กดเปิดโซเชี่ยลอย่างหนึ่งที่เคยใช้คุยกับหยางหยางบ้าง
เมื่อครั้งที่เราสองคนเริ่มพัฒนาความรู้สึกและยังคุยกัน ได้
จะพูดอย่างไรดี...
อี้เฟิงไม่อยากเรียกว่าความรู้สึกผิด
ไม่ได้อยากแก้ต่างอะไร แต่แค่อยากพยุงความรู้สึกของตัวเองไม่ให้แย่ไปมากกว่านี้
เขาไม่แน่ใจว่าแววตาดุดันของหยางหยางที่เผลอสบกันแค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่หยางหยางจะถอยรถกลับออกไปจะรู้สึกอะไรมากกว่าโกรธหรือไม่
แค่คาดการณ์ไปก่อนว่าคนคนนี้อาจจะตัดพ้ออะไรเขาซักอย่าง
หลี่อี้เฟิงเกิดนึกสงสารอะไรขึ้นมากันล่ะ เขาถามตัวเอง
นึกย้อนกลับไปเหตุการณ์ที่เจ็บปวดจากหยางหยางมากมาย และกลับมาสู่คืนแสนหวานและเหตุการณ์ตรงบานประตูที่เราสองคนสะสางความรู้สึก
มันตีกันไปหมด
อี้เฟิงสับสนจนต้องทรุดลงนั่งกับพื้นพรมในคอนโดของตัวเอง
และน้ำตาหยาดเล็กหยดไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ทุกอย่างเริ่มเอ่อล้นออกมาจนห้ามไม่อยู่ อี้เฟิง..บอกตัวเองในเย็นลงกว่านี้หน่อย เขาสับสนในใจมากเกินกว่าจะห้ามความอารมณ์ความรู้สึก น้ำตาเปื้อนแก้มเต็มไปหมด
อี้เฟิงไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ทำไม
แต่แค่อยากระบายออกมา มือเรียวยกโทรศัพท์ขึ้นมา แม้ผู้จัดการของเขาอนุญาตให้พกโทรศัพท์แต่ก็กำชับเรื่องหยางหยางไม่ขาด
เขาจะฝ่าฝืนมัน
แต่ตอนนี้อี้เฟิงไม่อยากพูดคุยกับหยางหยาง
ด้วยน้ำเสียงอ่อนแอเช่นนี้
จึงอยากส่งแค่ข้อความสั้น
ๆ ไปหา ให้อีกคนได้อ่านมัน ....แค่ได้อ่านมัน
มือเรียวพิมพ์อย่างรวดเร็วจนครบทุกตัวอักษร
เขาโยนโทรศัพท์วางไว้บนเตียงและฝ่ามือที่ว่างเปล่านั้นก็เป็นที่รองรับน้ำตาของเทพบุตรน้อย
ทำไมหลี่อี้เฟิงถึงเป็นได้ขนาดนี้กัน
ทำไมหลี่อี้เฟิงถึงเป็นได้ขนาดนี้กัน
กำแพงของอี้เฟิงได้พังทลายไปอีกชั้น
“นายไม่เป็นไรนะ” อี้เฟิงพูดเสียงเบา ขาดเป็นห้วงจนจบประโยคสั้น
ๆ นี้ มันเป็นข้อความเดียวกันกับที่ส่งไปหาหยางหยาง
หลังจากนั้นเทพบุตรน้อยก็สะอื้นไห้จนแทบขาดใจ
ยังมีกำแพงหนาใหญ่ที่ยังขวางเราสองคนไว้อยู่
แต่ดอกไม้ที่ถูกปลุกไว้แม้อาบยาพิษเสียทั่วดอกมันก็ยกเติบโตได้
******************************************************************************************TBC Chapter5
TALK: กราบพี่ถิงอย่างสุดตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น