วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[Fic] กิจการหลังบ้าน - หยางเฟิง :: ออเดอร์ที่ 4



TITLE : กิจการหลังบ้าน
Order No. :  4
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG




tell:: ปมเยอะขึ้นเรื่อย ๆ...




******************************************************************








โอ๊ย….. เจ็บปวดไปทั้งตัว ทุกส่วน แทบไม่มีส่วนไหนที่บังคับได้ นี่ยังคงเป็นร่างกายผมอยู่หรือเปล่า








จนเมื่อรู้สึกว่า ร่างกายของตัวเองเริ่มผ่อนคลาย ผมหันไปหันมาได้นิดหน่อย ทำไมมันปวดแบบนี้วะ ...ผมพลันนึกถึงอีกคนที่เป็นเหมือนครึ่งชีวิตของผม



“ปัวปัว…”






พอเอ่ยได้ ผมก็แทบผลุดจากที่ที่นอนยู่ ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ผมจำกลิ่นได้ และก็เป็นโรงพยาบาลของผู้เป็นลูกค้าที่เคยใช้บริการบ้านหลี่ด้วย พ่อพาผมมาบ่อย ๆ ตอนช่วงรับงานจากคุณหมอที่พึ่งพาอาศัยวิชาบ้านเรา แต่เกิดอะไรขึ้น







ผมยังรู้สึกถึงน้ำตาของที่อาบแก้ม คล้ายว่ามันจะไหลหยดซ้ำตามรอยเดิมที่เคยผ่าน แห้งจนเป็นคราบน้ำตา








“คุณร้องไห้อีกแล้ว…”






มีมือมือหนึ่งยื่นเข้ามาใกล้เเละปาดน้ำตาให้  และแน่นอนผมก็รู้ว่าเป็นใคร










คุณผู้กองหยางหยาง













“ปัวปัวล่ะ คุณผู้กอง เตี่ยด้วย”











ผู้กองหยางเม้มปากเหมือนขืนฝืนยิ้มให้ เขาผลักให้ผมนอนลงไปที่เดิมที่เตียงผู้ป่วย และไม่พูดอะไรต่อ ผมถามเขาอยู่นะ!





“อย่าเพิ่งโมโหผม ผมอยากให้คุณหยุดร้องไห้ก่อน คุณอยากรู้อะไรผมจะบอก”
“แค่น้ำตาจะไปสนใจทำไม”






เขาถอนหายใจออกมาหนักแน่น มองตาขวางใส่แบบดุดัน และอ่อนลงเมื่อทอดมองผมนานขึ้นทุกวินาที











“ผมแค่ไม่ชอบน้ำตาของคุณ…”






ผมงงมากที่เขาพูดแบบนั้น แต่เหมือนเขาเองก็ไม่เข้าใจที่ตัวเขาเองพูด และทำไมต้องพูด ความรู้สึกอะไรที่ทำให้เขาพูดแบบนั้นออกมา ไม่ดูไม่เข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่








แต่ผมจะไม่ถามเขาเรื่องนี้ เรื่องใหญ่ที่รบกวนใจมากกว่านั้น นั่นน่ะ เขาไม่ยอมเล่า







“ผู้กองหยางหยาง”









ในที่สุดผมก็สะกดจิตสะกดไม่ร้องไห้ ไม่โมโหใส่เขา และผู้กองหยางก็คงเข้าใจว่าคตัวเองเผลอพูดบ้าอะไรออกมาก็ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าเขาไมไ่ด้คิดอะไรไม่ดี และน้ำเสียงเขาอบอุ่นเหลือเกิน แม้ถ้อยคำที่ฟังจะรบกวนใจเป็นบ้า ...ผมก็ให้อภัย









หลังจากนั้นคุณผู้กองก็เล่าตั้งแต่ผมสติขาดไป หลังจากที่เขากอดผมไว้แน่น เพราะเตี่ยสั่งไว้ว่าให้พาผมออกไปจากตรงนั้น ไม่นานก็เกิดบ้าบอสารพัดที่อธิบายยาก คุณผู้กองที่ไม่เห็นอะไรเลย แต่คุณผู้หมวดเฉินที่สติแทบไม่เหลือวิ่งหนี เขาบอกว่าเขาแบกผมขึ้นไหล่ แต่ผมดิ้นจนแทบไปวิ่งกระแทกต้นไม้ เกกือบสะดุดจนหน้าคว่ำ ดีที่คุณผู้หมวดเฉินที่ยังเก็บสติก้อนสุดท้ายได้คว้าเเขนของผู้กองอีกข้างที่ไม่ได้พยุงอุ้มผม คุรผู้กองวิ่งหนีจากจุดที่เราอยู่เดิม เห็นเตี่นลาง ๆ และเตี่ยกำลังเดินเข้าไปในที่ที่ดูอันตราย คุณผู้กองบอกว่า นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันจนแทบสำลักออกมา ปวดหัว มึนงง และบวกกับทั้งที่แบกผมไว้ ร่างกายยิ่งอ่อนล้า ผุ้กองหยางบอกว่าผมดิ้นไม่อยมหยุด ดูทรมาณเจ็บปวดเเสนสาหัสเหมือนถูกทำร้ายอย่างหนักไปด้วย กรีดร้องพร้อมๆ กับที่คุณผู้กองได้ยินเสียงปัวปัวที่ดังลั่นมาจากในป่ารกชัฏ ผ่านไปอีกหลายนาที บรรยากาศยิ่งเลวร้าย ทั้งลมทั้งฝน เหมือนพายุกำลังจะมา เขาบอกว่าตอนนั้นแทบยืนไม่อยู่ มีแอบเเเซวว่าเป็นเพราะว่าผมถูกพาดไม่ได้สติอยู่บนไหล่เขา พูดแบบนั้นผมก็เบะปากใส่คุณผู้กองบ้าที่ล้อเล่นไม่รู้เวล่ำเวลา ..แต่ผมก็ยิ้มให้เขานะ และผมก็ยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก..เออดูดีจ้า เหมือนเขาอยากจะให้ผมอารมณ์ดี เพียงแค่นั้น แล้วก็เล่าต่อ










มาร์คไว้ในใจว่า ผู้กองคนนี้ยิ้มสวยจังว่ะ













หลังจากนั้นคุณผู้กองบอกว่าก็ได้ฤกษ์ใช้ปืนซักที เพราะหลังที่เราหลบกันอยู่ทตรงนั้น เตี่ยก็สู้อยู่กับบางอย่าง คุณผู้กองบอกว่า เขามองไม่เห็นแต่รู้สึกว่ามันต้องเป็นอะไรที่เลวร้ายและมีพลังมากเกินคนธรรมดาจะเข้าไปยุ่งย่ามได้ จึงทำได้เพียงอุ้มร่างผมพาดบ่าและรอคอยกับคุณหมวดเฉินให้การต่อสู้สงบ เตี่ยฟาดหอกไปทั่วไป รอบๆ ตัวเขา เหมือนกำลังใช้กระบวนท่าที่เรียนมา ทำแบบนั้นอยู่นานจนช้าลง และสงบ เตี่ยทรุดเข่าลงกับพื้นดินตรงนั้น











“พ่อของคุณร้องไห้เสียงดังกว่าคุณเสียอีก”










ผมรู้ว่านั่นมันเกิดขึ้นจากอะไร ผมได้ยินเสียงเตี่ยร้องไห้ดังมากครั้งล่าสุด คือตอนม๊าตาย และนี่คงเป็นอีกครั้ง …








“น้องสาวคุณยังไม่ตาย ชีวิตและลมหายใจเธอยังอยู่ ...แต่…”









คุณผู้กองหยางไม่พูดต่อ แต่ไม่รู้สิ ผมสัมผัสได้ว่าปัวปัวยังอยู่แต่ก็ใจไม่ดีเอาเสียเลย เขามองทะลุเข้ามาในนัยย์ตาผม และผมที่ดูเหมือนเจ็บปวดและจะร้องไห้อีกครั้ง นี่คือทั้งหมดที่ผมเป็นอยู่ เพราปัวปัวเจ็บ ผมก็จะเจ็บเหมือนที่ปัวปัวรู้สึก เธอรู้สึกอย่างไรผมรับรู้ และตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเจ็บปวดเหมือนจะตาย แต่ไม่มีทางหรอกที่จะเทียบเท่าปัวปัวที่บาดเจ็บจริง ๆ








“ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย ..ผู้กองหยาง”








ผมยกมือปิดหน้าตัวเองที่เปื้อนน้ำตาอีกครั้ง แม้ว่าไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าใคร แต่ครึ่งชีวิตของผมเธอสาหัส ที่เธอได้รับมันสาหัส พลังเธอยังไม่เข้มแข็งพอ








ผมบังคับให้เขาเล่าต่อทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ผมไม่ได้สะอื้นแต่ความเจ็บปวดนั่นเองที่ทำให้น้ำตาไหล ผู้กองหยางเล่าให้ฟังต่อ และผมตั้งใจฟัง เขาบอกว่าหลังจากที่เตี่ยร้องไห้เสียงดัง ร่างของปัวปัวก็ลอยมาตามทางที่เธอเดินเข้าไปในรอบแรก เหมือนใครคนใดแบกร่างเธอมา และใครคนนั้นปล่อยร่างเธอที่ลอยเท้งในอากาศ เตียถลาเข้าไปรับร่างของเธอได้ทัน ร่างของเธออ่อนปวกเปียก ไม่ได้มีรอยแผลบาดเจ็บอะไร แต่ข้างในบอบช้ำมากจนเนื้อแทบป่นเป็นก้อนเดียวกัน ใบหน้าที่น่ารักของเธอบูกเบี้ยว ไม่สามรถคงใบหน้าเดิมไว้ได้ เหมือนถูกละลายมา เตี่ยกอดร่างเธอและร้องไห้ดังกว่าเดิมแต่ไม่นานก้ฮึดท่องคาถาซักอย่าง คุณผู้กองบอกว่า น่าจะเป็นคาถาไว้เพื่อสู้กับอีกฝ่าย เพราะหลังจากนั้น เตี่ยก็แทบสลบไปด้วย แต่บรรยากาศเลวร้ายทุเลาลง หลังจากนั้นคุณผู้กองก็เรียกกองเสริมมา แม้ไม่กี่นายก็สามารถช่วยพาเราออกไป คุณผู้หมวดเฉินหมดแรงและเเทบเป็น้บา เขาพูดอะไรไม่รู้เรื่อง สารวัตรฝูไม่ได้มาเองแต่ส่งเลขาของเขามา เตี่ยด่าสารวัตรฝูดังมากผ่านสายโทรศัพท์ พร้อมกับอุ้มร่างของปัวปัวขึ้นรถพยาบาลที่มาพร้อมกับตำรวจ ส่วนผมที่หยุดดิ้นอย่างทรมาณบนไหล่คุณผู้กอง นิ่งสนิทเหมือนตายจนผู้กองบอกว่าเขาใจไม่ดีจนต้องเขย่าร่างให้ผมรู้สึกตัว และผมไม่รู้สึก เขารีบเปลี่ยนท่าอุ้มให้สะดวก และพาผมขึ้นรถพยาบาลไปด้วย นอนเคียงข้างน้องสาวผม






“ตอนนั้นมือคุณเย็นชืด ตัวซีด เหมือนคุณกำลังจะตาย”







หมายความว่าเขากุมมือผมไว้ตลอดหรือ ?..... อืม….. ช่างมันเถอะ ผมไม่รู้ตัวนี่ ในตอนนั้น ข้าง ๆตัวปัวปัวเป็นเตี่ยที่นั่งน้ำตาไหลเหมือนกันและด่าคุณสารวัตรฝูเสียงดังไม่ได้ศัพท์ พอถึงโรงพยาบาล เตี่ยอุ้มปัวปัวลงเตียงลำเอียงคนไข้ และพาไปห้องฉุกเฉินโดยเร็ว ผมก็ด้วย








“หมอบอกผมว่า ใจคุณหยุดเต้นไปด้วย คุณอี้เฟิง”






ใบหน้าเขาเมื่อยามพูดประโยคเมื่อครู่…





“คุณเจ็บปวดหรือ?”






ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ถาม เขาก็เกีกไม่ตอบตามเคย แต่เขาโน้มตัวลงเอียงซบพื้นที่ว่างข้าง ๆ เตียงที่ผมนอนอยู่ ใกล้ ๆแขนของผม




“ไม่รู้ แต่แค่…”




คุณผู้กองหยุดเพียงแค่นั้น มือใหญ่ของเขาเลื่อนมาจับมือผมที่อยู่ใกล้ ๆ กัน









ไม่เข้าใจ และผมว่าไอหมอนี่ ผู้กองหยางหยางน่ะ คงไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมเราสองคนทถึงต้องรู้สึกไม่ดี เมื่ออีกคนเศร้า






ผมช่างหัวความรู้สึกนี้ แม้มือของคุณผู้กองจะอบอุ่นมากจนผมต้องกุมมือเขาตอบไปด้วย








ไม่เข้าใจซักอย่างเดียว แต่ใจมันบอกว่าแบบนี้ ให้ทำมันซะ ทำมัน









คุณผู้กองนี่ก็บ้าจี้ชะมัด จับมือผมไว้แน่นไม่ห่าง อยู่กันแบบนี้ ทั้งที่เล่าเรื่องปลีกย่อยต่าง ๆ จนมาถึงข้อความสุดท้าย









และบอกให้เขาเล่า รายละเอียดอื่น ๆ หลังจากนั้น












“คุณปัวปัว เป็นเจ้าหญิงนิทราไปแล้ว…”














----------------------------------------กิจการหลังบ้าน------------------------












“ปัวปัว….”  









แน่นอน ผมเอ่ยชื่อนี้ก็น้ำตาไหลอย่างกับเขือนแตก น้องสาวผมที่อยู่ในห้องไอซียู เเต่ที่งงมากก็คือ ไม่มีเครื่องมือแพทย์ระโยงระยางที่คนป่วยหนักจำเป็นต้องใช้ อา….เพราะสิ่งที่ทำให้เธอบอบช้ำเจียนตายไม่ใช่สิ่งที่จะรักษาได้ด้วยเครื่องมือแพทย์พวกนั้น ผมคิดออกเเล้ว









ผมอยืนอยู่หน้ากระจกหน้าห้องที่เธอนอนสลบไสล แม้จะอย่างไร เธอก็เป็นน้องสาวที่น่ารักของผมเสมอ ผู้กองหยางประคองผมไว้ เพราะอาการผมก็เพิ่งผ่านการเฉียดตาย หัวใจหยุดเต้นจนคุณหมอต้องใช้ฝีมือยื้อชีวิตผมไว้จนผมได้มายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้ ตราบใดที่ปัวปัวนอนหลับอยู่ไม่ได้สติ ผมก็คงร้องไห้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ










เตี่ยผมคุยอยู่กับเพื่อนหมอของเขาอยู่ไม่ไกล เพื่อนหมอคนนี้เป็นเพื่อนที่ได้สนิทกันมาตั้งแต่ตอนเตี่ยเป็นตำรวจและเขาก็เป็นผู้ใช้บริการหลังบ้านของเราด้วย ไม่บ่อยแต่จ็อบใหญ่ทุกครั้ง เตี่ยดูเหน็ดเหนื่อยมาก มีผ้าพันแผลที่เเขน ที่หัว ที่ขาซ้ายด้วย ที่เท้าขวา เหมือนมีเเผลเพราะเตี่ยยืนไม่สะดวก คุณหมอเพื่อนเตี่ยเข้าใจสถานการณ์แน่นอน และเขาก็รู้อยู่เเล้วว่ารักษาไม่ได้โดยสิ่งที่เขาเรียนมา ทำได้เเค่ดูอาการและรักษาตามที่ทำได้ไป









เตี่ยบอกว่าจะเอาร่างปัวปัวกลับไปไว้หลังบ้าน








คุณหมอที่แรกเริ่มปฏิเสธ แต่เพราะว่าห้องราคาแพงในโรงพยาบาลยังมีไว้เพื่อคนไข้อื่น ๆที่ป่วยแบบนี้ เขาจำเป้นต้องยอม แต่เราก็ได้รับการแนะนำเรื่องอุปกรณ์ที่ช่วยยื้อร่างที่สลบไสลของปัวปัวไว้ หลังจากนั้นคุณหมอก็กอดเตี่ยอย่างเศร้าใจ คุณหมอชอบน้องสาวผม เพราะเหมือนลูกสาวของเขาที่เสียไปเมื่อนานมาแล้ว












“เตี่ยจะเอาน้องกลับไปหลังบ้าน”









เตี่ยหันมาพูดกับผมแค่นั้น แล้วเดินลัดตัดหน้าผมเข้าไปในห้องพักของปัวปัว เตี่ยอยู่ในห้อง ยืนอยู่ข้าง ๆเตียงปัวปัว และพูดอะไรที่ทำให้ผมต้องพยายามแกะคำตามปาก เตี่ยขอโทษน้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกรักน้องและขอโทษอีก เตี่ยร้องไห้อีกครั้ง และก็ไอค่อกแค่ก เพราะอาการบาดเจ็บ ผมร้องไห้ตามเตี่ย







และมือและวงแขนเเข็งแรงที่อยู่ข้าง ๆ ผมตลอดตั้งแต่เมื่อครู่ก็โอบผมให้รู้สึกอบอุ่นและมีที่พักพิง











ไม่มีความเข้าใจใด ๆ ทั้งสิ้นเรื่องของเราสองคน ผมกับผู้กองบ้าบอนี่ แต่ผมยอมให้เขากอดไป






แต่ครั้งนี้ผมถาม














“คุณกอดผมทำไม”








คุณผู้กองหยางหยางโอบร่างผมแนบอกให้ชิดอีกครั้ง และไม่แน่นจนอึดอัด บอกผมเบา ๆ เหมือนกระซิบ












“คุณกำลังร้องไห้”













ไอบ้าเอ๊ย… บ้าหมดเลย  ไม่มีความเข้าใจใด ๆ แต่ตรงนี้ทุกคนโศกเศร้ากันหมด ผมหันไปหลบตาร้องไห้ไม่ให้คุณผู้กองที่กอดอยู่เห็น คุณผู้หมวดเฉินมาหาพวกเราที่ยืนกอดกัน แต่คุณหมวดไม่สนใจ และยืนอยู่ตรงหน้ากระจกเหมือนกัน











“คุณปัวปัว...ขอให้ดีขึ้นไว ๆ นะครับ”










เพราะน้องสาวผมช่วยพวกเราไว้ จึงไม่โดนอะไรร้ายแรง เขาคงรู้สึกเศร้าที่สาวน้อยน่ารักต้องมาบาดเจ็บหนักแบบนี้







ที่จริงผมพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวผม แต่ยังไม่สรุปจนกว่าเตี่ยจะมาอธิบายให้ชัด












แต่ให้เดาส่งก็คือ ร่างปัวปัวนั้นถูกผีร้ายในป่าซัดจนบอบช้ำ บวกกับเธอใช้พลังเยอะในการต่อกรกับพวกนั้น คงมีพวกมากไม่น้อยและพลังของปัวปัวก็ไม่น้อย ผมเดาว่าพวกผีบ้านันคงหมาหมู่และโจมตีด้วยเวทย์ดำ หน้าเธอหมองคล้ำเหมือนถูดสาดสี ใบหน้าที่บูกเบี้ยวไม่เป็นใบหน้าคนปกติแล้ว เนื้อกายแหลกเหลวเหมือนของไหล ข้างนอกดูปกติเกือบดีและข้างในแทบเป็นก้อนเดียว เธอถูกดูดพลังชีวิตไปแทบหมดร่าง








การเจรจาไม่เป็นผล เจ้าพวกผีร้ายกาจนั่นคงไม่ยอมอีท่าเดียวและปัวปัวพยายามจนถึงที่สุด เธอจะไม่ใช้กำลังจนกว่าจะสุดวิธีแล้ว และมันก็เป็นเช่นนั้น แต่ใน่ป่านั่นไม่ธรรมดาจริง ๆ ผมเองที่ยังงงอยู่เหมือนกันว่า แม้ว่าป่านั่นจะไม่ธรรมดา แต่ผมมั่นใจในฝีมือน้องสาวและเตี่ยมาก สองคนต้องทำได้ แต่มันต้องมีอะไรแน่ ๆ ผมก็แค่เดาส่งไป





ปัวปัวที่แม้มีลมหายใจแต่ผมที่ไม่อาจมองเห็นบ้าห่าเหวอะไรได้ คิดด่าตัวเองในใจ คุรผู้กองหยางก็รู้สึกไวเหลือเกินยังคงกอดร่างทีบาดเจ็บผมไว้







ผมพยายามคิดถึงเรื่องดวงวิญญาณของปัวปัว







ร่างที่มีลมหายที่ไร้วิญญาณก็เหมือนคนตาย








อันนี้เป็นสิ่งที่เรารู้ดี ปัวปัวหายไปอยู่ที่ไหนซักเเห่ง ผมยังไม่ได้รับเรื่องอะไรไปมากกว่าที่ผมเดาเอา ผมพยายามคิดว่าวิญญาณของปัวปัยังไม่สลายไป






เพราะนั่นเท่ากับว่า น้องสาวผมได้ตายจากผมไปแล้ว










และเมื่อคิดได้ดังนั้น ..ผมก้ร้องไห้อีกครั้ง







“ฮึ่ก..”







ครั้งนี้เผลอสะอื้นให้คุณผู้กองได้ยิน เขาที่ยังโอบกอด ยกมือข้างที่สะดวกลูบหัวผมเบา  ๆ ปลอบโยนกัน และอิงศีรษะเขาเองลงมาที่กลุ่มผมของผม  เขาเป็นผู้ชายที่อบอุ่น แต่ก็เออ...ไม่มีทางเข้าใจกันได้หรอก จนกว่าเราสองคนจะได้พูดดกันวานี่เรากำลังทำบ้าอะไรกันอยู่







ผมร้องไห้สะอื้นอยู่ครู่ใหญ่ และเงยหน้ามาหาอากาศหายใจ คุณหมวดเฉินนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าห้องไอยซียูที่ร่างของปัวปัวยังคงอยู่ในนั้น แม้จะถอดเครื่องมือแพทยืไปหมดแล้ว เรารอให้ย้ายร่างปัวปัวออกจากห้องไป เตี่ยยังอยู่ข้าง ๆ ปัวปัว ผมรู้ว่าเตี่ยห่วงปัวปัวมาก และไม่ใช่เขาไม่ใส่ใจผม แต่เพราะเตี่ยเห็นว่ามีผู้กองยืนกอดปลอบผมอยู่ ทีแรกเตี่ยส่งแววตาตกใจ แต่ไม่รู้ทำไม เขาเบนสายตากลับไปและก็กลับไปหาปัวปัวอีกครั้ง






ผมลอบถอนหายใจสองสามที มองไปทางไหนซักทางนอกจากภาพเจ็บปวดที่เห็นร่างน้องสาวนอนแน่นิ่งตรงหน้า










เอ๊ะ ?













ผมว่าผมต้องเป็นบ้า...หรือตาฝาด












‘เฟิงเกอ’












แถมยังได้ยืนเสียงประหลาดที่…..ไม่รู้สิ














ผมคงหลอนจนเป็นบ้าจริง ๆ  เพราะฝั่งทางเดินอีกทางที่ผมทอดสายตามองไป เจอยัยตัวร้ายของผมยิ้มยิงฟันให้ แม้จะเป็นเร่างเลือนลางหน่อย แต่รู้ว่านั่นคือใคร






ผมไม่เคยมองเห็นวิญญาณ ไม่เคยได้รับเสียงอะไรที่แปลกไปจากเสียงในโลกมนุษย์ ไม่เคยได้กลิ่นอะไรแบบนั้น ไม่สามารถจับต้องอะไรที่เป็นโลกหลังความตายได้






เว้นบรรยากาศรอบตัว








แต่ตอนนี้ทุกอย่างมารวมกันที่ผม









“ปัวปัว!…”



















*******************************************************END Order 4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น