TITLE
: THISM<N :: BLOSSOM
CHAPTER :
CHAPTER : 5 ‘คนที่ถูกขวางกั้น’
PAIRING : YANGYANG x
LIYIFENG
RATE : PG - 13
RATE : PG - 13
*********************************************************************************************************
“ผมแค่อยากกอดคุณ..”
ประโยคนี้เป็นข้อความที่หยางหยางส่งไปหาอี้เฟิงตั้งแต่วันนั้นเขาได้รับข้อความสุดพิเศษจากเทพบุตรน้อย
ที่เขาเฝ้าคอย หยางหยางรอให้อี้เฟิงตอบกลับอะไรมาบ้าง หลัังจากส่งข้อความอย่างที่เขาเอ่ยซ้ำนี้กลับไป เเละในที่สุดเขาก็ได้มันมา
แม้จะต้องได้รับความเจ็บที่เขาได้ไปบังเอิญพบเห็นเสียก่อน แต่นั่นก็คุ้มแล้ว
มันคุ้มเสียมากกว่าคุ้ม แค่ไม่กี่คำ ถามเขาว่าไม่เป็นไรใช่มั้ย
นั่นทำให้หยางหยางมีพลังต่อไปในการรอ..การรอเพียงเพื่อคนคนเดียว
..คนที่หยางหยางรอดูแลหัวใจอยู่
เทพบุตรน้อยผู้มีรอยยิ้มที่สุดแสนประทับใจไม่รู้ลืม หลี่อี้เฟิง
“ฉันนี่มันเหมือนคนบ้าเลย”
หยางหยางพูดกับตัวเอง ตั้งแต่ที่หยางหยางได้รับข้อความนี้
เขาก็เปิดอ่านมันบ่อยจน ผู้จัดการสาวของเขาต้องขอถามให้รู้เรื่องบ้างว่า เขาได้รับอะไรที่สุดพิเศษมา
และเขาบอกตามตรง หลังจากเหตุการณ์วันนั้นที่หยางหยางลอบออกไปยามวิกาล เธอรู้และแน่นอนว่าไม่สามารถห้ามความดื้อดึงเป็นปกติตามนิสัยของหยางหยางได้
แต่เธอก็พอใจที่หยางหยางเติบโตขึ้น ระงับอารมณ์ได้ และไม่แสดงตัวต่อคนสองคนนั้น
อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นหยางหยาง เธอจะถือเสียว่า
เจ้าเด็กบ้านี่ไม่ได้ทำอะไร
สองสามชั่วโมงที่หยางหยางหายไป เธอแค่ถือว่าปล่อยให้หมาป่าไปวิ่งเล่น
“วันนั้นผมได้สบตาเขาครู่หนึ่งด้วย”
“จะมาเล่าฉันให้ได้อะไร”
“ให้รู้ว่า เขารู้ว่าเป็นผม และผมก็ได้พิสูจน์ให้เขาเห็นว่า
ผมไม่ได้ร้ายกาจแบบที่เคยเป็น..กับเขาแล้ว เห็นภาพบาดใจผมขนาดนั้น ถ้า...อืม
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอาจจะเป็นหมาบ้าไปแล้ว”
พี่สาวผู้จัดการเอียงคอพลางนึกคิดตามที่หยางหยางพูดไป ซึ่งมันก็จริง
เหตุการณ์ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างรวดเร็วแม้เป็นช่วงเวลาที่ถือว่านาน
ทุกอย่างผ่านไปราวกับหมุนรอบตัวเองเพียงแค่รอบเดียว
เหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว เด็กของเธอโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่แน่ใจว่า
จากการเติบโตนี้เป็นเพราะจากการได้ตกหลุมรักใครซักคนอย่างจริงจังของหยางหยางหรือเปล่า
แม้จะเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ แต่แลกกับการเป็นผู้เป็นคนไม่เสเพลแบบอย่างเมื่อก่อน...
นั่นก็ดีแล้ว..เธอคิดเช่นนั้น
“ก่อนจะกลายเป็นคนบ้า นายช่วยไปทำงานกับฉันก่อนเถอะ หยางหยาง
จะสายแล้ว รีบไปเตรียมตัว”
ดาราหนุ่มน้อยรูปหล่อหันไปสบตากับผู้จัดการที่ใจดี
ก่อนจะยิ้มบางเบาให้
เก็บมอืถือลงกระเป๋าเสื้อโค้ทและลุกขึ้นไปเตรียมตัวตามที่เธอบอก เขาแสดงสีหน้าอะไรออกไปให้เธอเห็นกัน
เธอจึงได้ยิ้มพอใจแบบนั้น หรืออาจเป็นการพัฒนาการการใช้ชีวิตของเขาที่เธอรู้สึกว่า
เธอที่เป็นผู้จัดการของเขาอาจจะไมต้องเหนื่อยตามเช็ดล้างเรื่องไม่ดีที่เขาเคยทำแบบอย่างเมื่อครั้งก่อน
จากเหตุการณ์ที่เขาไปพบ อี้เฟิงกับรุ่นพี่เฉินเหว่ยถิงอยู่ด้วยกัน
นั่นทำให้เขาได้วัดใจ เป็นด่านทดสอบที่แสนเจ็บปวด เขารักอี้เฟิงมากเท่าไหร่
เขารู้ดี ภาพชวนเสียดแทงหัวใจนั่นเป็นเครื่องทดสอบได้ดี เขาควรจะคิดอะไรแบบนี้ได้นานแล้ว
อาจจะสายเกินไปสำหรับคนอื่น
แต่สำหรับเขาการมาคิดได้เอาเวลาป่านนี้ก็ยังดี..ก็ยังดีที่คิดออกว่าเขาควรปรับปรุงตัว
อย่างน้อยก็เพื่อการเตรียมตัวเพื่อรอดูแลหัวใจของใครบางคน
“แค่นี้ผมก็มีความสุข..ตามที่ควรได้แล้วพี่ ”
ริมฝีปากได้รูปจุดยิ้มมุมปากอีกครั้งเอียงคอเพื่อบอกว่า
เขาพอใจแล้วกับสิ่งเล็กน้อยแค่นี้ หยางหยางสอดมือเข้าไปในกระเป๋าโค้ทอีกครั้ง กำมือถือเครื่องสวยของเขาไว้แน่น
และยิ้มกว้างเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย
ทุกวันนี้ หยางหยางมีกำลังใจการทำทุกอย่างในตอนนี้ ก็เพราะคนคนนี้
แม้แค่ไม่กี่คำ หรือเพียงแค่สายตาที่ส่งมาใก้ เพียงแค่นั้นก็พอแล้ว
ซาตานผู้ระโหยโรยแรง เพียงได้ความสดใสจากเทพบุตรน้อย..เเค่นี้ก็เพียงพอ
อา...ใช่แล้วอีกอย่างหนึ่งที่หยางหยางคิดได้
ที่จริง ..หยางหยางก็คิดเพิ่มได้อีกอย่างหนึ่งว่า
ต่อให้อี้เฟิงจะอยู่กับใคร
แต่เขาก็ยังจะรักต่อไป..หรือแม้ว่าอี้เฟิงจะมอบหัวใจให้คนอื่นไปแล้วก็ตาม..ก็นั่นล่ะ
ซาตานผู้พ่ายแพ้ต่อรอยยิ้มของเทพบุตรน้อย
อยากแค่อยู่ข้าง ๆ
จากการตริตรองทั้งหมดโดยใช้ช่วงเวลาที่ผ่านเครื่องทดสอบนั่นมา การได้อยู่ข้าง ๆ
เมื่อเวลาที่สมควร นั่นพอแล้วสำหรับหยางหยางคนนี้
เขารู้ว่าตัวเขาเองรักใคร และควรจะรักได้แค่ไหน แม้ว่าทุก ๆ
วันเขายังหวังอะไรที่มากกว่าก็ตาม
THISM<N :: BLOSSOM
หลังจากวันที่อี้เฟิงส่งข้อความไปหาหยางหยาง
ตัวเขาเองก็รู้สึกตัวลอยอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนได้ปลดล็อคความรู้สึกบางอย่างว่าตัวเองนั้นที่แท้จริงแล้วซ่อนอะไรอยู่
ซ่อนความรู้สึกอะไรต่อคนคนนี้อยู่
หลังจากที่ทุกวันของอี้เฟิง ความรู้สึกในทุก ๆ
วันเมื่อยามคิดถึงคนคนนี้ ก็จะเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สี่เหลี่ยมที่มีกำแพงหนาปิดล้อมรอบ..หรือไม่แน่
เขาอาจจะกำลังนั่งอยู่บนหอคอยที่มีกำแพงหนา ๆ พวกนั้นอยู่ก็ได้ เพราะความรู้สึก ณ ตอนนั้นมันอึดอัด ชวนปวดหัว
และมันอยากจะออกความรูสึกอยู่ทุกเวลา แต่เพราะความกล้าที่มีน้อยเกินไป
กลัวทุกอย่างที่เคยผ่านมา
กลัวทุกอย่างในอนาคตและยังไม่แน่กับปัจจุบันที่เป็นอยู่ด้วย
แต่หลังจากได้สบตาอันดุดันนั้นแล้ว
...เอาเข้าจริงอี้เฟิงก็เดาไม่ออกหรอกว่าหยางหยางจะทำอะไร
แต่การกระทำของหยางหยางนั้นยังตรึงใจอี้เฟิงมาก วันนั้นอี้เฟิงยังพะวงและกลัว
หากมีเรื่องราวเกิดขึ้น หากวันนั้นหยางหยางแสดงตัวออกมา
ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ทางเดินเดิม เหมือนเดิม
และการจบด้วยความเสียใจของอี้เฟิงก็จะกลับมาอีก และเขามั่นใจว่าเขาจะต้องเศร้ายิ่งกว่าเดิมแน่นอน
เพราะซ้ำอีกครั้ง หยางหยางก็ยังคงเลือกเส้นทางเดินเดิมที่นำเราไปสู่ความเจ็บปวด
แต่ซาตานผู้นั้นเปลี่ยนไปแล้ว
เขาทำแค่รบกวนให้รู้สึกรำคาญ และจากไป คงไปเจ็บปวดที่ไหนซักแห่งหนึ่ง
ความโกรธที่ดุดันในแววตานั้น คงจะทำให้คนคนนี้คลั่งซักพัก
อี้เฟิงเริ่มรับรูh..เขาบอกตัวเองแล้วก่อนหน้านี้ว่า
คำว่ารักของหยางหยางซึมผ่านใจของเขามาบ้างแล้ว
ช่วงหลังที่ผ่านมาไม่ได้ยินเสียงเขา แต่ข้อความก็ยังมาอยู่เรื่อย
แน่นอน หยางหยางทำได้เพียงแค่นั้น เพราะเราถูกตัดการติดต่อกันอย่างสิ้นเชิง อี้เฟิงทันเห็นข้อความบอกรัก
ที่ถูกส่งมาหลังเวลาอาหาร เช้าตื่นและเข้านอน
ก่อนที่มันถูกกำจัดไปโดยผู้จัดการของเขาที่เกลียดหยางหยางโดยไม่สนใจดูดำดูดีอะไรเด็กคนนั้นเลย
เธอย้ำว่า หยางหยางทำร้ายเขามากเกินไปจนอยากจะยอมรับ
“เธอยังจะไปใจอ่อนกับเด็กคนนั้น อี้เฟิง พี่สาวคนนี้ขอล่ะ ขอให้เธอคิดให้ได้ว่าอะไรที่เธอควรจะอยู่กับมัน
พี่รู้แล้วว่าเธอเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกต่อเด็กที่ร้ายอย่างกับปีศาจคนนั้นไปแล้ว แต่อย่าให้ปีศาจมาหลอกเธอ
อย่าให้เขาล่อลวงและทำร้ายเธอซ้ำซากอีก “
เธอย้ำอี้เฟิงด้วยทั้งหมดนั้นในครั้งล่าสุด เมื่อเขาได้ข้อความหวาน ๆ
จากหยางหยางตามเวลาที่คนคนนี้จะส่งมา เธอถอนหายใจครั้งใหญ่ บอกให้อี้เฟิงกดลบมันซะ
ด้วยมือตัวเอง อี้เฟิงจำใจทำ เขาไม่อยากเปลี่ยนเบอร์ใหม่
เธอขุ่เอาไว้ว่าถ้าเก็บมันไว้เธอก็จะเอาโทรศัพท์เครื่องนี้ไปจากอี้เฟิงซะและจะเปลี่ยนเบอร์ให้ทุกเครื่องที่อี้เฟิงมี
แบบนั้นเขาก็จะไม่ได้รับการติดต่อจากใครหลาย ๆ คนเพื่อน ๆ รวมทั้งหยางหยาง
เธอขู่ไว่ แต่อี้เฟิงก็อ้างว่าเบอร์นี้ใช้มานานแล้วไม่อยากเปลี่ยน มาคนละครึ่งทาง
อี้เฟิงจึงจำต้องกดข้อความ
การติดต่อทุกอย่างของหยางหยางออกจากมือถือทุกเครื่องไปให้หมด
นอกจากเทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เราจะใกล้กันได้อีก
อี้เฟิงถอนหายใจออกมา เขาใจอ่อนกับซาตานไปแล้วจริง ๆ นั่นล่ะ
ผู้จัดการบอกเขาว่า เขาควรไปคิดให้ดี และกลับใจเสียใหม่
“พี่รู้นะ ว่าเธอเริ่ม...อืม..ฉันไม่อยากใช้คำนี้เลยอี้เฟิง
แต่เธอเริ่มจะรักเขาแล้ว เจ้าปีศาจนั่น”
เธอเองก็รุ้สึกหรือ.... อือ....อี้เฟิงก็รู้สึกตัวเองแล้วว่ารักเขา
ดอกไม้เริ่มเติบโตขึ้นในใจ เติบโตทั้งยาพิษที่อาบรอบมัน
“ผมจะกลับไปคิดดี ๆ ...”
อี้เฟิงตั้งใจจะละคำเอาไว้ในใจ....ผมจะกลับไปคิดดี ๆ ...ว่าจะรักเขาอย่างไร
ไม่ให้พี่รู้
อี้เฟิงเริ่มมั่นใจในอะไรบางอย่าง
THISM<N :: BLOSSOM
“อะไรอีกแล้วล่ะเนี่ย “
หยางหยางเห็นความยุ่งยากใจเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง
ตั้งแต่ที่เขาลงหลักในใจเรื่องอี้เฟิง
เขาไม่เคยไปเที่ยวเสเพลแบบทีทำเมื่อในอดีตแล้ว
ไม่ไปไหนเลยนอกจากไปดื่มกับเพื่อนสนิทบ้างเท่านั้น กลับตามเวลาที่ผู้จัดการบอก
และเธอก็รับรู้ทุกการกระทำ โดยไม่มีอะไรผิดแปลก
แต่ข่าวลือมากมายกลับมาอีกครั้ง
“ข่าวเรื่องงานของผมมันจะไม่มีให้อ่านกันเลยรึไง มันไม่น่าสนใจหรือ”
ผู้จัดการของหยางหยางครุ่นคิดหนัก
เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะสื่อหลายแห่ง ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเด็กเธอเท่าไหร่นัก
เพราะก่อนหน้านี้ที่ยังเป็นเด็กดื้อนิสัยเสียก็ไปร้ายกาจใส่เขาไว้ไม่น้อย
พวกเขาเหล่านั้นคงฝังใจไปแล้ว ต่อให้หยางหยางปรับปรุงตัว ก็ไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์เทวดาได้
เขาเป็นซาตานเป็นปีศาจไปแล้ว
“นายนี่มันเป็นพวกทำบุญไม่ขึ้นจริง ๆ หยางหยาง”
“ผมเป็นคนไม่ดีในสายตาพวกเขาไปแล้วนี่”
เธอคิดว่ามันช่วยไม่ได้ ก็ถือเป็นผลที่หยางหยางเคยทำเอาไว้
บางทีไปถ่ายนิตยสารบางเล่ม ก็เจอทีมงานที่ไม่ค่อยปรานีปราศรัยกับทีมงานของพวกเธอเท่าไหร่
หยางหยางถูกปฏิบัติแบบขอไปที แต่เด็กคนนี้เติบโตขึ้นจริง ๆ
ไม่ฉุนเฉียวแบบที่เคยเป็น ในงานละครก็เช่นกัน มีสมาธิ เป็นผู้ใหญ่
สุขุมและเงียบขรึม ใช้ความคิดมากขึ้น
“นายคิดยังไงล่ะ”
“ก็..ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอย่างไรแล้ว ผมก็เปลี่ยนความคิดพวกเขาไม่ได้
เอาเป็นว่า ผมจะทำงานอย่างดีและตั้งใจที่สุด”
ผู้จัดการสาวของหยางหยางยิ้มให้น้องชายตบบ่าให้กำลังใจ
ก่อนส่งคิวงานต่อไปที่ยาวติดกันจนไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอะไร
เด็กดื้อในอดีตคนนี้ขมวดคิ้วแต่ก็ยิ้มรับ อีกมือกดมือถือ ส่งข้อความตามเวลาไปหาใครคนนหนึ่งที่เธอรู้ดีว่าใคร
“อี้เฟิงคงได้อ่านบ้างนะ หวังว่ายัยผู้จัดการร้ายกาจของอี้เฟิงจะไม่ลบมันก่อนที่เขาจะเห็น”
“ผมมั่นใจว่าเขาจะอ่าน”
พอได้รับคำตอบจากหยางหยาง เธอก็หันล้อเลียนหยางหยางว่านี่ไม่ใช่เล่น ๆ
แล้ว เรื่องความรู้สึกของเขาที่มีต่อเทพบุตรแห่งชาติ
“แต่ก็อย่าให้มันหลุดไปถึงใครต่อใครเหมือนกับที่เคยผ่านมา
ฝั่งโน้นเขาไม่มีทางเปิดเผยอะไรแบบนี้เพื่อเล่นงานเราหรอก
เพราะเด็กของเขาก็จะถูกครหาไปด้วย ฉะนั้นนายก็อย่าให้อี้เฟิงต้องมาลำบาก
แววตาเวลานายคิดถึงอี้เฟิง ไม่ใช่น้อยเลย หยางหยาง”
รู้ดีหน่า... หยางหยางคิดในใจ ก่อนจะคว้ามือถือมากำไว้แน่น
เปิดข้อความเดิมที่อี้เฟิงส่งมาให้ ข้อความล่าสุดอันนั้นที่อี้เฟิงแอบส่งมาให้
แม้จะล่วงเวลามานานใช้ได้แต่หยางหยางเห้นความสดใหม่ของความรู้สึกที่หยางหยางได้พยายามปลูกไว้ในใจของอี้เฟิง เขาเข้าข้างตัวเองได้เต็ม ๆ ว่า
อี้เฟิงเริ่มรักเขาแล้วบ้างเหมือนกัน แม้จะเป็นการเริ่มแค่เพียงไม่กี่ก้าว
หรืออาจะเป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น
“ผมจะพยายามปิดมันไว้ เวลาผมคิดถึงเขา
ปากของผมมันจะยิ้มออกไปเองโดยอัตโนมัติน่ะ”
“เออ ก็ตามสบายนาย แต่ก็อย่าให้ใครรู้นอกจากทีมของเราแล้วกัน “
แค่เรื่องนี้ที่หยางหยางปิดไม่ค่อยอยู่
เธอต้องกำชับเด็กของเธอเสียหน่อย แค่พูดชื่อของอี้เฟิงออกมา
แววตาที่เป็นประกายอย่างคนที่ตกหลุมรักจนหมดสิ้นหัวใจเผยออกมาอย่างปกปิดไม่มิด
เธอส่ายหัวให้เด็กของเธอ และปล่อยให้เขาอยู่กับห้วงหวาน ๆของเขาซักพัก
“ฉันจะให้เวลานายซักหน่อย จะไปเคลียร์กับเบื้องบนเรื่องข่าวนายอีกด้วย
เห้อ นายเองก็ระวัง เทพบุตรน้อยของนายจะระแวงในความรักของนายเพราะข่าวนี่นะ
เยอะสุด ๆไปเลยล่ะ ในเน็ตตอนนี้น่ะ”
นั่นล่ะที่เขากลัว ...คิดไปแล้วเรื่องนี้หยางหยางก็วิตกไม่น้อย
ทั้งวีดีโอในละครที่ถ่ายทำไปก่อนหน้า ทั้งภาพในกองถ่าย
แถมยังมีข่าวลือเรื่องความรักกับดาราสาวเพื่อนของเขาที่เล่นละครด้วยกัน
ซึ่งเคยร่วมงานกันในผลงานชิ้นก่อนที่สร้างชื่อให้กับหยางหยาง เข้าใจว่าต้นสังกัดเพื่อนสาวของเขาคงอยากจะปั่นกระแสคู่หลักในละคร
เพราะเล่นเป็นพระนาง การสร้างกระแสว่ารักกันเป็นอะไรที่ทำให้คนดูติดตามละคร
เพื่อดูหรือจะเรียกว่าจับผิดก็ไม่ผิดเท่าไหร่ กับความสัมพันธ์ของพระนางในละคร
ว่าทั้งคู่นั้น จริง ๆ แล้วเป็นคนในใจกันและกันอยู่หรือเปล่า
หยางหยางมีคนในใจอยู่แล้ว
แต่ไม่สามารถไปบอกใครได้เพียงพูดไปถ้าไม่ถูกหาว่าล้อเล่น ก็จะถูกประนามจนทำให้ลำบากไปทั้งสองฝ่าย
ถ้าการเปิดเผยความรู้สึกของเขาจะทำร้ายอี้เฟิง
เขาสู้รักอยู่ในใจแค่นั้นดีกว่า
พูดถึงรูปที่หลุดไป ข่าวลือมากมายที่ออกมาจากเซเลปข่าวฉาวทั้งหลาย
หรือสื่อหลักในวงการบันเทิงจีนเองที่ชงข่าว เสี้ยมข่าวกันจนเสียเป็นเรื่องราวให้ใหญ่โต
ราวกับอยากก่อไฟที่โหมอยู่จากจุดเล็ก ๆ ให้เป็นจุดใหญ่ ยิ่งคู่พระนางในละครยิ่งดัง
ก็จะยิ่งขายได้เป็นผลประโยชน์ทั้งบรัษัทต้นสังกัดของเขาและเพื่อนสาว
หยางหยางที่เคยเฉย ๆ ต่อเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อเวลาที่เขากำลังวัดใจกับอะไรบางอย่าง
อย่างเช่นความรักของเขา หัวใจของหลี่อี้เฟิงที่อยู่ในช่วงกำลังส่งมอบ หากเรื่องราวเป็นแบบนี้
เขากลัวใจอีกฝ่ายว่า จากที่อยากจะส่งมอบหัวใจให้เขาดูแล จะกลับกลายเป็นเอาคืนไป
และหากมันถูกส่งไปให้คนอื่นจะทำอย่างไร ดอกไม้ที่สวยงามที่ชื่อความรักที่หยางหยางปลูกไว้อย่างยากลำบากในใจของอี้เฟิง
มันคงจะตายราวกับโดนยาพิษอาบ
“ให้ตายซี่ จะมามีข่าวอะไรนักหนา นี่มันช่วงเวลาเอาคืนฉันรึไง”
เขาบ่นเสียงดังออกมาให้ได้ยิน มือแกร่งยกรั้นดันที่ท้ายทอย
เขาเริ่มปวดหัวตะหงิดขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มนิ่วหน้าคิ้วขมวด
หากอี้เฟิงไม่แน่ใจในคำว่ารักที่ส่งไปหา จะทำอย่างไรเล่า
ช่วงนี้ยิ่งเป็นช่วงอันตรายที่อี้เฟิงจะเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ได้
หากอีกฝ่ายตัดสินใจจะพังกำแพงลงมาแล้ว กลัวอีกฝ่ายจะก่อกำแพงใหม่ที่หนาและใหญ่กว่าเดิม
ทีนี้ต่อให้เขาเป็นวาตานผู้แข็งแกร่งมาจากไหน ก็เหมือนจะมืดมน
เพราะเทพบุตรคงไม่มีวันเปิดหนทางให้เขาอีก
กำแพงที่แข็งแกร่งนั้นหยางหยางคงทำลายมันไม่ได้อีกแล้ว
ข่าวที่ออกผ่านสื่อออนไลน์ของเขาไม่ได้มีแค่ข่าวเดียว
หลายข่าวจนหยางหยางคิดว่า นี่พวกสื่อเหล่านี้มานั่งเทียนเขียนกันที่ไหน ไปเอาข้อมูลที่ไม่ใช่ความจริงพวกนี้มาจากไหนกัน
จินตนการกันเก่งเหลือเกินแทนที่จะเป็นนักข่าว
พวกเขาควรจะไปเป็นพวกคนนิยายน้ำเน่าอะไรทำนองนั้นมากกว่า
หยางหยางผ่านตาจากที่ใช้นิ้วไถผ่านจอมือถือเครื่องสวย
เรื่องราวมากมายที่เขาอ่านแล้วก็จะต้องส่ายหน้าให้ แฟนคลับของเขาก็เริ่มแตกตื่น
หยางหยางไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไปแก้ต่างยิ่เงป็นเรื่อง
การเงียบคือสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์ของหยางหยางตอนนี้ ที่ไม่เป็นผลดีกับเขาเลย
เขารู้ว่าต้นสังกัดของเขาคงคิดถึงผลประโยชน์มาก่อน เผลอจะให้เพื่อนสาว ดาราสาวบางคนปั่นเพิ่มกระแสฉาวให้อีก
สมัยนี้ก็หากินก็ง่าย ๆแบบนี้ทั้งนั้น
แบบนี้ล่ะภาพลักษณ์ของเขาถึงไม่ดีแม้จะปรับปรุงตัวแล้วก็แก้ไมได้
อาจจะเป็นเพราะนิสัยเสีย
ๆของเขาแต่ต้นสังกัดเองก็เป็นผู้สนับสนุนเองอยู่กลาย ๆ
พอเล่นหยางหยางในภาพลักษณ์นี้ได้ก็กลายเป็นว่า ภาพลักษณ์ผู้ชายแบดบอย
จะเป็นหมาป่าก็ไม่ปานเป็นภาพประจำตัวเขาไป
จากที่เมื่อก่อนยังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งเข้าวงการ ต่างกับอี้เฟิงที่เป็นเทพบุตรน้อยอย่างไนจนตอนนี้
หลายปีเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ก็ต้องขอบคุณทีมงานของเขาหลายทีมที่เคยทำงานที่ไม่พยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขา
ซึ่งหยางหยางคิดว่าอี้เฟิงเป็นคนที่เอาแต่ใจพอสมควร
แต่ต่อให้จะให้อี้เฟิงเปลี่ยนไปเป็นภาพลักษณ์อื่นก็ไม่เข้ากันอยู่ดี
รอยยิ้มไร้เดียงสาตลอดกาลแบบนั้น
เป็นเทพบุตรก็สมกับที่ได้เป็นอยู่แล้ว
นั่นล่ะที่ทำให้เขาเข้าใกล้อี้เฟิงไม่ได้ เพราะเราต่างกันมาก
เคยได้ยินมาว่าแฟนคลับฝั่งอี้เฟิงไม่ชอบเขาอยู่มาก
ส่วนหนึ่งก้เป็นเพราะภาพลักษณ์ไม่ดี ข่าวไม่ดี ทีมต้นสังกัดของอี้เฟิงเองก็ไม่ชอบภาพลักษณ์ของเขาเลยไม่ค่อยอยากให้มาร่วมงานกัน
สรุปแล้วเพราความต่างกันของเรารจึงห่างกันนี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง
แต่เหตุหลัก ตั้งแต่แรกก็เพราะเราเกลียดกันมาตั้งแต่เริม
นั่นเป็นเรื่องงี่เง่าที่เกิดจากเขาเองต่างหาก
หยางหยางกลับไปคิดตั้งแต่ต้นเรื่อง ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ถ้ารู้ว่าจะรักเขามากขนาดนี้ จะไม่มีวันทำให้เขาต้องเสียใจแบบนั้น
จะรักตั้งแต่แรกเจอ เราจะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดกันแบบนี้
“ยิ่งเปิดก็ยิ่งเจออะไรก็ไม่รู้”
หยางหยางเลื่อนจอมือถือไปเรื่อย ๆ ในโลกออนไลน์ยิ่งเต็มไปด้วยข่าวเขา
เขาเช็คข่าวตัวเองครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มันก็มีอะไรไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่แล้ว
ผสมกับข่าวของอี้เฟิงกับรุ่นพี่คนนึ้นเนือง ๆก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดี วันนี้ข่าวของเขายิ่งแรงขึ้น
ฉาวเสียจนอยากจะปิด แต่เพราะหยางหยางอยากเห็นหน้าอี้เฟิง
อัพเดตข่าวว่าเขาทำอะไรจากแฟนคลับ นั่นคือสิ่งที่เขาทำได้
เราถูกตัดการติดต่อกันทุกทาง
ทั้งข่าวของอี้เฟิงเรื่องงาน ข่าวเรื่องสาวในอดีต เขารู้อยู่แล้วว่าความจริงคือหลี่อี้เฟิงกำลังลังเลเรื่องของรักกับเขาต่างหากล่ะ
ไม่ใช่ใครที่ไหน จะบอกว่าเขาเข้าข้างตัวเองหรือ .. อาจจะใช่
แต่เขามั่นใจว่าเรื่องสาวคนนั้น อี้เฟิงลืมเธอไปจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนเขา
หยางหยางคนนี้รักหลี่อี้เฟิงเพียงคนเดียว
เรื่องยุ่งยากแบบนี้ เขาอาจจะต้องส่งข้อความไปแก้ต่างเรื่อย
ๆให้อี้เฟิงก็จนกว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
แม้เขาจะแก้ต่างกันต่อหน้าไมได้ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีพวกนี้นี่ล่ะ ความจริงใจไม่เท่าก็ขยันส่งไปบ่อย
ๆ
หืม ?
หยางหยางที่เริ่มจะส่งข้อความแก้ต่างให้ตัวเอง
เรื่องข่าวฉาวนี่มันมากเกินไปที่จะปล่อยให้อี้เฟิงคิดเอาเองว่าเขาเป็นอย่างไร
แต่เขาเจออะไรที่ไม่คาดฝัน จนหัวใจเขาแทบหยุดเต้น
มือสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้
หยางหยางคิดกับตัวเองว่ามันจะไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นและเขาควรใจเย็นก่อนที่จะคิดอะไร
เขาอ่านข้อความสั้น ๆที่เป็นรายงานข่าวจนจบ
มือแกร่งยกโทรศัพท์โทรหาใครคนหนึ่งทันที
“บ้าเอ๊ย”
THISM<N :: BLOSSOM
หน้าโรงพยาบาลที่มีเหล่าบอดี้การ์ดของหลี่อี้เฟิงยืนคุมล้อมรอบอยู่ไม่ห่าง
กำลังหนาแน่นเกินกว่าแฟนคลับมากมายจะเข้าไปเยี่ยมไข้ไอดอลของพวกเธอได้
พวกเธอจึงทำได้แค่ส่งของเยี่ยมและเขียนการ์ดส่งให้ไอดอลของพวกเธอหายดีและต้องออกจากพื้นที่ของโรงพยาบาลไป
เพราะเหล่าแฟนคลับมากมายนั้นเสียงดังรบกวนคนในโรงพยาบาลเกินกว่าจะควบคุม
“ให้ตายเถอะ ยัยแฟนคลับบ้าพวกนั้นคิดอะไรถึงขับมอเตอร์ไซด์มาตัดหน้ารถ
บ้าจริงๆ บ้า”
ผู้จัดการของอี้เฟิงตะโกนด่าลั่นจนทีมงานอีกสองสามคนต้องมาหยุดเธอให้เงียบไว้ก่อน
เพราที่ที่เธออยู่นั้นคือโรงพยาบาล
สายตาหมายมาด ความโกรธที่ปะทุของเธอ
ทำให้เธอต้องขอตัวออกจากห้องพักคนไข้ไปก่อน
“เธอก็พักซะนะ ถือว่าสองวันนี้เธอก็ได้พักผ่อนไปเลยในตัว โดยที่ไม่ต้องแอบหนีไปไหน
“
ทีมงานคนอื่น ๆ ตามผู้จัดการใหญ่ออกไป หลังจากพูดกับอี้เฟิงจบ
ข่าวสั้น ๆ ที่อี้เฟิงกดมือถืออ่านล่าสุดก็คือ
ข่าวสั้นที่ดังไปทั่วสื่ออนไลน์ว่าเขาประสบอุบติเหตุ แต่เคราะห์ดีที่ไม่ร้ายแรง เพียงแค่ทำให้เขาเท้าแพลงเท่านั้น
และมีแผลช้ำเล็กน้อย
ที่จริงที่เขาได้นอนโรงพยาบาลสองวันนี่ก็เพราะความอ่อนเพลียจากการทำงานมากกว่าด้วยซ้ำและความตื่นเต้นจนเกือบหมดสติตอนที่เกิดเหตุ
เพราะคนขับรถของเขามีสติและหักหลบด้วยฝีมือการขับรถอย่างชำนาญ
จึงไม่มีใครเป็นอะไรไปมากกว่าแผลฟกช้ำ แต่เด็กสาวที่เป็นแฟนคลับของเขาพวกนั้นต้องถูกต่อว่าเสียบ้าง
แต่เขาคงออกหน้าเองไม่ได้ เหล่าทีมงานของเขาคงจะไปจัดการเอง เพราะทราบข่าวว่ากันตัวเด็กกลุ่มนั้นไว้ได้แล้ว
และอาจจะต้องถูกตำรวจเรียกไปตักเตือน เพราะขับรถโดยประมาท
พวกเธอยังไม่สิบแปดดีด้วยซ้ำ
“ให้ตายเหอะ”
เขาบ่นออกมาดัง ๆ พี่บอดี้การ์ดประจำตัวของเขาอยู่ใกล้ ๆ ตัว
พี่คนนี้เคยทำงานดูแลหยางหยางมาก่อนที่ทีมงานบอดี้การ์ดที่พวกเขาบริหารกันเองจะสลับตัวคนมาดูแลเขาแทน ตอนนั้นเขายังได้ข้อความและของฝากจากหยางหยางผ่านพี่บอดี้การ์ดใจดีคนนี้เลย
ครั้งนั้นเขาจำได้ว่าว่าหยางหยางฝากเสื้อโค้ทตัวใหม่มาให้
หลังจากไปออกงานกับแบรนด์ดัง เขาก็รับมาและใส่มันในวันถัดไป
“อี้เฟิง พักผ่อนเถอะ ไหน ๆ เธอก็ได้วันพักมาตั้งสองวัน
ถึงจะแลกกับอะไรที่น่าตกใจแบบนี้ก็เถอะนะ”
“ครับ พี่เองก็เหมือนกัน มีแผลเหมือนกับผมน่ะล่ะ พี่ก็ควรพักนะ”
อี้เฟิงรู้ดีว่างานบอดี้การ์ดไอดอลไม่ใช่เรื่องง่ายและหนักหนา
ต้องกันพวกแฟนคลับที่ยังจัดระเบียบตัวเองไมได้ออกไป ความวุ่นวายที่ต้องพบเจอคนมาก
และบางทีสื่อเองก็วุ่นวายกว่าแฟนคลับเสียอีก
อี้เฟิงเอนหลังนอนพักบ้าง แต่ยังไม่อยากนอนหลับไป
เขาหยิบมือถือมาดูอีกครั้ง
มีมิสคอลจากหยางหยาง...อี้เฟิงอยากยกหูกดโทรหาเขาใจจะขาดแต่ทำไม่ได้
มีพี่บอดี้การ์ดอยู่ในห้องนี้
เขาอาจจะเอาไปบอกว่าอี้เฟิงคุยกับหยางหยาง จึงตัดเรื่องนี้ไป
แต่ก็มีข้อความที่หยางหยางส่งมาไม่ขาดสายถามอาการเขา คงจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่อี้เฟิงยังไม่พอใจหยางหยางอยู่บางเรื่อง
ทำไมคนคนนี้ถึงทำให้เขาหวาดระแวงในความเชื่อใจของเขานักนะ
คำว่ารักของหยางหยางก็น้ำหนักน้อยอยู่แล้ว
ก็ยังจะสร้างความไม่เชื่อใจนี้ให้เขาทวีความกลัวในใจขึ้นไปอีก
แบบนี้แล้ว เขาจะกล้าส่งหัวใจให้ไปดูแลไหม
เจ้าดอกไม้ที่ซาตานปลูกไว้..เทพบุตรคนนี้จะใจร้ายราดยาพิษซ้ำให้ตายคามือเลยดีไหม
หลายวันผ่านมานี้ อี้เฟิงเห็นข่าวของตัวเองสลับกับหยางหยางไม่เว้นวัน
ข่าวงานของเขาแต่สลับกับข่าวฉาว ๆ ของหมอนั่น อี้เฟิงไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ได้อ่าน
แถมยังมาทุกวัน ยิ่งนับวันก็ยิ่งแรงขึ้น
ข่าวของเขากับรุ่นพี่เหว่ยถิงก็มีแต่มันก็เป็นข่าวที่อ่านดูแล้วก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าพี่น้อง
กับเรื่องรักเก่าของเขา ก็รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่มีอะไร อี้เฟิงไม่ใส่ใจ
จะมีข่าวสาวคนใหม่ นั่นอี้เฟิงก็รู้อยู่แก่ใจอีกว่า
หัวใจของเขาจะถูกส่งให้ใครคนหนีงแล้ว
ก็ไอ้คนที่ทำให้เขาระแวงอยู่ในอยู่ในใจนี่ไงล่ะ
อี้เฟิงพ่นลมออกจมูก
ต่อด้วยถอนหายใจหลายครั้งจนบอดี้การ์ดคนเก่งมองอี้เฟิงอยู่บ่อย ๆ
เขาลอบยิ้มอยู่เหมือนเข้าใจ
“เธออ่านข่าวแบบนั้นก็บั่นทอนจิตใจเปล่าๆ หน่า นอนหลับไปซะ”
“ก็มันผ่านตาผมมาเองนี่พี่ “
บอดี้การ์ดคนสนิทรู้ดีว่าหลี่อี้เฟิงกับหยางหยางมีความสัมพันธ์อย่างไร
หยางหยางเด็กร้ายกาจที่เขาเคยดูแลจากตอนนี้เขาเติบโตขึ้นมาก ครั้งล่าสุดที่เจอกันเขาใจดีเป็นสื่อสัมพันธ์ของคนสองคนเทพบุตรน้อยของคนทั้งแผ่นดินกับปีศาจของทุกคน
ไม่เข้าคู่กันเลยแต่ก็เหมาะสมก็ไม่หยอก ที่จริงเขาก็สงสารเด็กสองคนที่รักกันไมได
เพราะรอบตัวเขาไม่มีใครยินดีกับความรักของพวกเขาเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้จะรักกันได้อย่างไร
ในเมื่อทุกอย่างมันกลายเป็นอุปสรรคไปหมดแบบนี้ หันกลับไปที่เทพบุตรน้อยที่นอนเป็นคนไข้บนเตียงของโรงพยาบาล
เขากำลังเซ็งได้ที่
ทั้งอาการเจ็บของตัวเองแม้ไม่มากแต่ก็สร้างความรำคาญที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก
ทั้งที่เจอข่าวบ้าบอทำให้อารมณ์เสียจนไม่อยากทำอะไร
ถึงเเม้ว่าช่วงหลังหยางหยางจะส่งข้อความมาแก้ตัวให้อ่าน
แต่ก็ยิ่งทำให้อารมณ์เสียกว่าเดิม เพราะเขาไม่รู้ว่ามันจริงแค่ไหนกันที่ซาตานคนนี้พูด
ความไว้ใจมันเริ่มลดลงกลับไปต่ำจนอี้เฟิงไม่สามารถยึดถือมันไว้ได้อีก
เขาควรเก็บหัวใจไว้กับตัวเองก่อน..ดีใช่ไหม
“ช่างมันละ ผมนอนดีกว่า”
อี้เฟิงเลิกสนใจมือถือโยนมันไปหัวโต๊ะบนหัวเตียง
ห้องพักผู้ป่วยของเขาเป็นห้องใหญ่พิเศษ ทำให้มีเครื่องมืออุปกรณ์
อำนาวยความสะดวกครบครัน เฟอร์นิเจอร์ที่ประดับในห้อง
คล้ายกับการจัดบ้านจึงดูไม่อึดอัดเหมือนห้องโรงพยาบาลทั่วไป
“เสียงอะไรน่ะ ?”
เทพบุตรแห่งชาติหันไปสนใจเหตุการณ์หน้าห้องแทน
บอดี้คนสนิทของเขาลุกขึ้นจากโซฟาไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น อี้เฟิงพยายามขืนตัวเองในนั่งใหม่อีกครั้ง
ชะเง้อมองดูว่ามีอะไร
บอดี้การ์ดคนสนิทของอี้เฟิงหันมาหาอี้เฟิง
ส่วนตัวเขามองไม่เห็นและเดินเหินลำบากจึงไม่ลุดขึ้นไปดู
บอดี้การ์ดคนนี้บอกเขาด้วยเสียงเบาที่สุด
หยางหยาง...
และสุดท้ายบอดี้การ์ดคนสนิทของอี้เฟิงก็เปิดระตูออกไป เพื่อไปช่วยจัดการเหตุการณ์หน้าห้องด้วย
ทันทีที่ประตูปิดลง
อี้เฟิงก็คว้ามือถือโทรหาหยางหยางแบบไม่เกรงกลัวผู้จัดการคนดุของเขาอีกแล้ว
แต่ปลายสายไม่รับ อี้เฟิงจึงมองหาทางอื่น แต่ก่อนหน้านั้นเขาเห็นข้อความที่ส่งมาหลังจากที่อี้เฟิงเลิกสนใจมัน
มันถูกส่งมาพักใหญ่แต่เขาไม่ทันสังเกตมัน
“ผมจะไปหาคุณ บ้าชิบ เจ้าบ้า หยางหยางเอ๊ย” อี้เฟิงอ่านทวนคำในประโยคสั้น ๆ
ในข้อความที่หยางหยางส่งมา พร้อมกับตามด้วยสบถด่าออกมาโดยไม่คิดในใจให้วุ่นวาย
พอรู้แบบนี้แล้ว คนที่อี้เฟิงอยากเจอมากที่สุดรองจากครอบครัวก็เป็นหยางหยางนี่ล่ะ
เสียงดังที่ฟังไม่ได้ศัพท์ที่หน้า บอกได้ว่าเขาไม่ได้รับการอนญาตใด ๆทั้งสิ้นแม้จะเข้ามาเยี่ยมไข้เขา
ใจของอี้เฟิงเริ่มสั่นไหว ที่โกรธไว้เมื่อกี้ก็มลายหายไปเหมือนไม่เคยคิด เขาอยากจะลุกไปหน้าห้องไปหาหยางหยางแท้
ๆ แต่เพราะข้อเท้าแพลงและแผลช้ำเคลื่อนลำบาก
จึงเชื่องช้าเสียจนผู้จัดการของเขาเข้ามาเห็นว่าเขากำลังพยายามอะไรไร้ผล
“นอนพักผ่อนซะอี้เฟิง อย่าพยายามทำอะไรที่ไร้ประโยชน์!”
THISM<N :: BLOSSOM
“รู้แล้วครับ ผมจะรีบกลับ จะรีบกลับไป” หยางหยางกล่าวผ่านมือถือเครื่องสวย
หลังจากปลายสายดุด่าเขายาวจนฟังไม่ทัน
แต่ผู้จัดการของหยางหยางเข้าใจว่าทำไมเขาต้องรีบรุกออกมาที่นี่
พออ่านข่าวเรื่องอุบัติเหตุของอี้เฟิง หัวใจของหยางหยางก็สั่นไหว
ความกลัวเริ่มเกาะกุม
แต่เมื่อสติเริ่มกลับมา และรู้ข่าวเพิ่มเติมว่าอี้เฟิงไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าแผลฟกช้ำและข้อเท้าแพลง
พันข้อเท้าไว้เพราะมีอาการปวดและแพลงไว้วันสองวันก็เอาออกได้แล้ว
และอ่อนเพลียเพราะขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ
เขาโล่งใจไม่น้อยที่คนที่เขารักอาการไม่หนักหนา
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถไปพบหน้าอีกคนได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้
เพราะผู้จัดการของอี้เฟิงอยู่ในห้อง และไม่มีวันให้เขาเข้าไปเยี่ยมอี้เฟิงแน่นอน
เขาก็รู้ดี แต่แค่อยากลองเสี่ยงดวงดูแค่นั้น แต่มันก็ไม่ได้ผล หยางหยางยิ้มให้กำลังใจตัวเอง
และนอกจากนั้น เขาก็ยังพบมิสคอลจากอี้เฟิงอีกหนึ่งสาย
อย่างน้อยคนป่วยคนนั้นก็รู้ว่าเขามาหา
หยางหยางจึงกดส่งข้อความไปหา
ไม่รู้ว่าเทพบุตรน้อยของเขาจะได้แตะมือถืออีกมั้ย
เมื่อผู้จัดการของเขารู้ว่าอี้เฟิงโทรมาหาและเขายังอยู่ใกล้ ๆ ในบริเวณโรงพยาบาล
ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมกลับจนกว่าเขาจะพบหน้าอี้เฟิง
ในขณะพิมพ์ หยางหยางทวนประโยคไปด้วย
ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มไปด้วยจนพิมพ์เสร็จ เขามองจอมือถือเหมือนคนบ้า
เพราะวอลเปเปอร์โทรศัพท์ของเขาเป็นรูปอี้เฟิงกับรอยยิ้มน่ารักของเขา อย่างน้อยก็ให้อี้เฟิงได้รู้ว่า
ว่าเขายังอยู่ข้าง ๆ
ยังรอให้อี้เฟิงอนุญาตให้เขาเข้าไปดูแลหัวใจ
“ผมอยู่ใกล้ ๆ คุณนะ ..ยังอยู่ข้าง ๆ คุณเสมอ”
อี้เฟิงตกใจนิดหน่อยที่มือถือสั่นอยู่ใต้หมอนเขา เขาแอบโทรศัพท์ของเขาไว้
ผู้จัดการของเขายังง่วนอยู่กับการรายงานต้นสังกัด และให้ข่าวกับสื่อ
ทีมงานกำลังวุ่นวาย มีแค่หัวหน้าบอดี้การ์ที่สนิทกับอี้เฟิงเท่านั้นที่ยังอยู่กับที่ เธอจึงไม่มีเวลามาว่างยึดมือถืออี้เฟิงไป แต่ก็ยังเสี่ยงที่โทรหาแต่หารอรับส่งข้อความยังพอไหว
เเละเทพบุตรน้อยกดมือถือเปิดอ่านข้อความ
“ผมอยู่ใกล้ ๆ คุณนะ ..ยังอยู่ข้าง ๆ คุณเสมอ”
รอยยิ้มน้อย ๆ เผยออกมาอย่างช้า ๆ บอดี้การ์ดของอี้เฟิงไม่ได้สนใจ
เพราะอ่านหนังสืออยู่อีกมุมห้อง อี้เฟิงเปิดมันอ่านอยู่เงียบ ๆ
และรู้สึกว่าดอกไม้ในใจกำลังบาน ..และมีผีเสื้อบินในท้องเต็มไปหมด
ความรักของซาตานช่างหวานหอมโดยแท้เเม้จะถูกขวางกั้นก็หอมหวานน่าหลงใหล
**************************************************************TBC Chapter 6
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น