วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[Fic] กิจการหลังบ้าน - หยางเฟิง :: ออเดอร์ที่ 3



TITLE : กิจการหลังบ้าน
ออเดอร์ที่ 3
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG



TELL :: 1.ฟิคเรื่องนี้ไม่ตลกอย่างที่คิด 555
              2. มีเซอร์ไพรส์อีกเยอะจากฟิคเรื่องนี้ กรุณาตั้งรับ
              3. เรื่องนี้อาจจะสังเกตได้ว่าแม่แมวเลี่ยงเอ่ยถึงบางอย่าง เพราะหลายอย่างในเรื่องเขียนจากประสบการณ์จริงค่ะ ฮี่
               4. อาดูรปัวปัว

--------------------------------------------------------------------------









อากาศหนาว... ไม่สิ แบบนี้มันเรียกหนาวยะเยือกเลยดีกว่า....



ผมคิดพลางสวมกอดตัวเองด้วยมือทั้งสองข้างที่กำลังสั่น ไม่คิดว่าตัวเองจะมานั่งสั่นกับบรรยากาศที่ตัวเองคุ้นเคยอยู่แล้ว สัมผัสไม่รู้ตั้งกี่รอบกี่ครั้ง แม้จะบอกตัวเองว่าให้ชินได้แล้ว แต่บรรยากาศท่ามกลางป่าชื้น ๆ ที่รู้ว่ามันเต็มไปด้วยอะไรก็ไม่รู้ที่มองไม่เห็นเต็มไปหมด อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไหร่เราจะถูกเขาจู่โจม 



“คุณอี้เฟิง..”
“ห๊ะ? “


คุณผู้กองหยางเขาเรียกผมก็เพราะน่าจะเห็นผมหนาวสั่นให้เขาเห็น ปกติผมไม่เคยเป็นแบบนี้ให้ใครเห็นเท่าไหร่ แต่เพราะว่ามันยิ่งหนาวขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะญาณพิเศษของตัวเองที่ทำให้รู้สึกมากกว่าชาวบ้านเขา  ผมมองไปที่คุณผู้กองคนหล่อนี่อีกครั้ง ใบหน้าของเขามีเหงื่อซึมตามไรผม หน้าก็เริ่มเครียด ๆ ด้วย มองต่ำลงไปที่คอ เขายังคงแขวนลูกแก้วที่ผมให้ไว้ยังไม่ถอดออก เออดีแล้ว ไม่ถอดน่ะดี เพราะจะได้รู้ว่าของบ้านเราไม่ขี้ ๆขลงัจะตายไป


แต่อาจจะเพราะว่าลูกแก้วใสที่ผมใช้อยู่ประจำ ผมมีอยู่สาม และพกมาแค่สอง และสุดท้ายคือมันไปอยู่ที่คุณผู้กองผู้หมวดที่นั่งตาแป๋วอยู่ข้าง ๆ ผม จะให้ทวงคืนก็ตลกไปหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าผมแกร่งไม่สตรอง เอาเป็นว่า ผมควรสวดมนต์ป้องกันตัวเองเสียหน่อย เพราะก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ไอ้ที่รู้สึกหนาวยะเยือกเนี่ย คงไม่ใช่เพราะอากาศทั้งหมดเหรอก



“อ๊ะ อย่าคิดแบบนั้นเชียว ผมกับคุณไม่เหมือนกัน คุณไม่มีวิชา ผมยังพอมีติดตัว ปืนของคุณใช้ไม่ได้ ฉะนั้นใส่ไว้”



และผมก็คิดไว้แล้วว่าคุณผู้กองหยางต้องฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าผมช่างใจคิดเรื่องลูกแก้วใส เขามองหน้าแค่แว้บเดียวและทำท่าเหมือนจะถอดลูกแก้วใสที่คล้องคออยู่คืนผม ไม่ต้องหรอกผู้กอง พอพูดแบบนั้น เขาก็ยั้งมือ คุณผู้หมวดเฉินก็ดันจะทำแบบคุณผู้กองหยางเสียแทน ผมยิ่งห้ามเสียงดัง เพราะถ้าเป็นผู้หมวดเฉิน ถ้าเป็นเขา ถอดปุ๊บคงเจอของดีในไม่กี่นาที ญาณเขาอ่อนกว่าคุณผู้กองหยาง จิตอ่อนมากกว่า จะเจออะไรได้มากกว่า ยิ่งอยู่ในถิ่นพวกเขา ยิ่งง่าย


ผมเริ่มตั้งใจสวดมนต์ท่องในใจ จำอะไรได้ก็ท่องมาก่อน ตัวผม หลี่อี้เฟิงเป็นคนเกเร ไม่ค่อยท่องจำบทเรียนที่คุณปูกับเตี่ยให้ไว้เท่าไหร่แต่ยังดีที่หัวผมมันดี จำได้แม้จะสวดท่องไปไม่กี่ครั้ง



หืม ?....




ใจผมรู้สึกโหวงแปลก ๆ พิกล เหมือนกลัวอะไรซักอย่าง มันอาจจะยังไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก แต่ในใจมันรู้สึกเหมือนถูกฉีกขาด ความเจ็บแล่นริ้วมาจนหายไป ผมก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่หัวใจจนต้องกุมที่หน้าอกให้หายปวด หลังจากสวดมนต์ป้องกันตัวเองไปได้ไม่นาน ผมชะเง้อไปทางเตี่ยที่กำลังบริกรรมคาถาอย่างหนักหน่วงและเขากำลังทุ่มเทพลังไปกับการปกป้องน้องสาวฝาแฝดของผม ปัวปัว เตี่ยพยายามมาก ใบหน้าที่เริ่มแก่ตามอายุนิ่วหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อยเพราะต้องต่อสู้กับบรรดาสิ่งที่มองไม่เห็นทุกรูปแบบในป่าช้า ยังจะเจ้าที่รอบข้างหลายเจ้าหลายนายที่ต้องขอขมา เตี่ยสามารถทำอะไรได้หลายอย่างพร้อมกันได้ ไล่มองไปข้างตัวเตี่ยมีเส้นกั้นเขตอาคมปกป้องตัวเตี่ยเอง เพราะจะให้อะไรเข้าใกล้เตี่ยไม่ได้ นอกจากมนุษย์เช่นเรา แต่ผมกับผู้กองผู้หมวดสองคนมีของติดตัวเลยไม่เป็นไร จึงอยู่นอกเขตได้..อ้า ใช่ ผมไม่มีแต่มีคาถาบ้านหลี่คุ้มหัว ยังรอดไปได้



เตี่ยจะไหวมั้ย แล้วปัวปัวล่ะ……



ผมมองเตี่ยที่บริกรรมคาถาหนักขึ้นด้วยเสียงดังขึ้นและกึกก้องไปทั่วบริเวร คุณผู้หมวดเฉินเริ่มรู้สึกกดดัน เขาทำหน้าเหมือนจะอ้วกออกมาอย่างไรอย่างนั้น คุณผู้กองหยางจึงหันไปดูดำดูดีเพื่อนเสียหน่อย ยังดีที่คุณผู้กองหยางยังมีสติดีไม่เป็นอะไรมาก จิตเขาแข็งด้วย..และอีกอย่างอย่างที่เคยคุยกับปัวปัวไปก่อนหน้า เขามีอะไรซักอย่างที่คอยตาม..ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ อธิบายไม่ถูก แถมปัวปัวยังไม่บอกอะไรมากเพราะเราติดงาน ผมต้องรอให้ปัวปัวมองเห็นชัด ๆ ถึงจะรู้ได้


พูดถึงปัวปัว เธอหายเข้าไปในพุ่มไม้จุดเกิดเหตุที่น่าจะเป็นหลุมฝังศพตรงนั้น ตรงที่ผู้ร้ายในคดีของคุณผู้กองผู้หมวดตามล่าอยู่ เธอหายเงียบไปจนผมใจไม่ดี




อา...ใจผมเริ่มมีความเจ็บปวดแล่นริ้วไล่ขึ้นมาอีกแล้ว ทีนี้ผมต้องยกมือกุมที่หน้าอก เหมือนคนป่วยโรคหัวใจ คุณผู้กองหยางที่อยู่ใกล้ผมกว่าจึงขยับเข้ามาประคอง เพราะผมลงไปทรุดนั่งกับพื้นดินที่กลบเต็มไปด้วยใบไม้แห้งของต้นไม้ที่ปกคลุมเราอยู่เหนือหัว ผมปักป่ายมือเขาไม่ต้องประคองและกล่าวบอกว่าไม่เป็นไร และพลันทันที่ดวงตาผมทันหันไปสบตาเขา ดวงตาเขามีอะไรอยากจะบอก




เขากำลังกลัว





แน่นอนน ผมตะลึงตึงตังมากที่เขากลัวแต่ซ่อนไว้มิดเสียจนไม่รู้ว่าเขารู้สึกแบบนี้ด้วย อาจจะเพราะมากับเพื่อนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา มีผมที่นั่งโท่อยู่ข้าง ๆ กับบุคลิคที่ไม่เอื้อต่อการกริ๊ดแตกกลัวผี อา..อาจจะเพราะอย่างนี้ และอีกอย่างที่ผมไม่อยากพูด..เขาเป็นชอบปกป้องคนอื่น เลยไม่แสดงอะไรออกมานอกจากเก๊ก ทำไมถามรู้น่ะหรือ ? ก็ไม่รู้ ผมอาจจะมองคนจากสายตาออก ไม่ใช่พวกดูดวงอะไรหรอกนะ บ้านหลี่ทำแบบนั้นไม่ได้



แต่จะว่าไปแล้วก็เพิ่งจะมาเป็นเอากับคุณผู้กองหยางนี่ล่ะ



“คุณไม่เป็นไรนะ”
“ผมควรถามคุณมากกว่าคุณผู้กองหยาง”




ผมคิดว่าเขารู้แล้วว่าผมถามกลับเขาเรื่องอะไร เพราะเขาหลบตาผมไป โอเค เราจะไม่พูดต่อ ผมไม่สนใจคำตอบนั้น คุณผู้หองหยางช่วยประคองผมให้นั่งได้เป็นท่านั่งปกติ และผมก็ตั้งใจสวดคาถาต่อ ทีนี้ผมสวดให้ปัวปัว




“เฟิงเฟิง แกสวดคาถาคุ้มครองให้ปัวปัวอยู่ใช่มั้ย”
“อะ..ครับ ใช่”



จู่ ๆหลังจากผมสวดได้ไม่นาน เตี่ยก็ตะโกนเสียงดังข้ามความห่างในระยะไม่ไกลมา แน่นอนญาณเตี่ยผมแรง เขารู้อยู่แล้ว ยิ่งเป็นลูกเขา ผมบอกเตี่ยไป เตี่ยหันมาทำหน้าเครียด ดวงตาเตี่ยล้าและแดงก่ำ เส้นเลือดในตาฉายให้เห็น แขนเตี่ยเกร็งจนเห็นเส้นเลือด ใบหน้าทั่วไปเริ่มแดง ตาแก่นี่ความดันขึ้นอีกแล้ว เพราะอาจจะใช้พลังมากเกินไป



เริ่มไม่ดีเสียแล้วสิ เตี่ยเองก็เพิ่งหายจากอาการป่วยเมื่อไม่กี่วันก่อนด้วย



เตี่ยเป็นโรคคนแก่ พวกความดัน ปวดเมื่อยตามตัว โชคดีที่เตี่ยเป็นคนเอาใส่ดูแลร่างกายดี แม้จะอายุจะเยอะ สังขารร่วงโรยไปตามมันก็ตาม เตี่ยออกกำลังตามที่ทำได้ แต่ยังไง พอมีไข้ ไม่สบายเพราะอากาศเข้าหน่อยก็จะเป็นหนัก เขาเพิ่งฟื้นไข้และจะต้องมาเจองานหนักแบบนี้ ไม่เข้าท่าอยู่เหมือนกัน



“เตี่ยไหวมั้ย”
“สวดต่อไปเฟิงเฟิง สวดต่อไป แต่ถ้าไม่ไหว แกก็ต้องหยุด”



เขาบอกแค่นั้นและหันกลับไปบริกรรมคาถาในส่วนของตัวเอง เตี่ยหันหลังไปไม่มาคุยกันกับผมอีกนาน ที่จริงก็เริ่มกังวลแล้วเหมือนกัน เพราะบรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกเข้ากระดูกผม ผมเริ่มสั่นขึ้นอีกระดับ มันกดดันเสียจนผมแทบจมดิน เตี่ยที่นั่งสวดบริกรรมคาถาไม่หยุด ตัวสั่นเหมือนองค์เจ้าประทับแต่บ้านเราไม่ใช่คนทรงเจ้าประเภทนั้น  ไม่ได้เรียกกันมาบ่อย ๆ อันนี้อาจจะเป็นการรับพลังเสริมจากองค์เทพที่เตี่ยขอพลังมา ผมเดาเอาว่าท่านเทพองค์นี้น่าจะมีพลังมาก ชื่อท่านผมอาจจะไม่สามารถเอ่ยได้ในที่นี้ บ้านผมหากนึกถึงท่าน หรือเอ่ยนามเท่ากับการอันเชิญท่าน เดี๋ยวมาปรากฏตรงหน้าผม จะทำให้เตี่ยเสียสมาธิ


“เฟิงเฟิง! อย่าหยุดสวด”



ผมหยุดสวดคาถาคุ้มครองส่งถึงปัวปัวไปครู่หนึ่ง เพราะมีหยุดคิดถึงเพราะอื่น  เตี่ยร่างสั่นน้อยลง แต่ยังสั่นไม่หาย อากาศเริ่มเย็นลง เย็นลงเรื่อย ๆ ไม่แปลกที่เตี่ยจะสั่นแบบนั้น จะเพราะอากาศของจริง หรือ อากาศที่เกิดจากสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเราตอนนี้ ไม่รู้ว่าปัวปัวจะเป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงน้องสาวของผม ผมก็ยิ่งอยากลุกขึ้นไปตามหาเธอแต่คิดว่าไปหาเธอคงช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากไปถ่วงหัวถ่วงท้าย นั่งบริการคาถาคุ้มครองให้ปัวปัวยังจะมีประโยชน์มากกกว่า


อากาศเย็นลง ไม่รู้ว่ามันลดเจนถึงอุณหภูมิเท่าไหร่ ทำไมถึงหนาวนักนะ จนผมชักอยากซุกเข้าผ้าห่มบนเตียงที่บ้าน บรรยากาศทั้งหนาวเย็นทั้งกดดันอย่างมากที่สุด รู้สึกว่ารอบข้าง แม้จะมืดมีเพียงแค่แสงจันทร์ที่สาดส่องพ้นร่องใบไม้ของต้นไม้ในป่าที่คลุมจนรกชัฏ และแสงไฟตะเกียงที่เตี่ยพกมาด้วยจากฝั่งโซนเขตอาคมที่เตี่ยกั้นไว้ ผมมองอะไรไม่ค่อยถนัดนัก


ผมนั่งสวดบริกรรมคาถาคุ้มครองให้ปัวปัวต่อไป  จนตัวเองเริ่มหมดแรง การบริกรรมคาถาเช่นนี้ต้องใช้พลังในกายเยอะเพราเป็นการสวดคุ้มครองผู้อื่นแม้จะเป็นญาติมิตรพี่น้องก็ย่อมเสียพลังกายมากมาย ผมหอบหนัก แต่ไม่รู้สึกหนาวมากครั้งแรก  ตรงไหล่หนักขึ้นนิดหน่อย



หืม ?




แจ็คเกตยีนส์ของคุณผู้กองหยางหยางมาอยู่ที่ไหล่ผม..






ตั้งแต่เมื่อไหร่





ตอนบริกรรมคาถาผมไม่รู้หรอกว่ารอบข้างเป็นอย่างไร ผมตั้งสติและตั้งใจแน่วแน่ส่งพลังและอาคมจากคาถาคุ้มครองที่ผมสวดไปถึงปัวปัว โชคดีที่มีคุณผู้กองผู้หมวดนั่งอยู่เป็นเพื่อน คุณผู้หวดเฉินอาการดีขึ้น เขามีสติมากกว่าเดิมแต่ยังดูกลัว ๆ อยู่ เขาหยิบปืนมาถือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และส่องมันหาสิ่งผิดปกติไปรอบข้าง แน่นอนคุณผู้กองหยางหยางด้วย มือเขาถือปืนออกมาเพื่อพร้อมสำหรับเหตุการณ์ผิดปกติ เขามองผมด้วยใบหน้าฉงนสงสัย อา...ดูจะเป็นห่วงผมนิด ๆ อาจจะเพราะผมคงสั่นมากดูหนาวเหน็บเกินไปจนต้องถอดเสื้อตัวเองมาคลุมให้ผม

“ตอนที่คุณนั่งสวดคาถาของคุณ มันมีเสียงแปลก ๆ ดังมาเรื่อย ๆ รอบ ๆ ตัวเรา ทางฝั่งของคุณพ่อของคุณเหมือนกัน แต่เหมือนฝั่งโน้นเขาจะจัดการได้ “


เขาบอกผม ไม่น่าล่ะ เขาถึงเอาปืนยกมาเตรียมการไว้ แต่คิดว่าเขาคงไมได้ใช้มันเท่าไหร่หรอก แต่เอามากันไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ผมหันไปมองเตี่ยเขาหยุดบริกรรมคาถาไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เตี่ยหอบเหนื่อยแรงมากเหมือนวิ่งรอบสนามมาร้อยรอบ ใบหน้าแดงก่ำ เตี่ยหันมามองหน้าผม คิ้วเตี่ยขมวดกันเป็นโบว์



บรรยากาศกดดันนี่มันหนักขึ้นเรื่อย ๆ  หนาวลงทุกที




และฝนเทลงมาจากฟ้าแล้ว




เสียงเปาะแปะตามใบไม้ดังใกล้ ๆ พวกเราเพราะหยดน้ำฝนกระทบใบไม้ พวกเราที่นั่งอยู่สามคนใกล้ ๆ เส้นกั้นอาคมของเตี่ย  ย้ำอีกครั้งว่าพวกเราสามคน มีลูกแก้วอาคมสองลูก ให้คุณผู้กองหยางและผู้หมวดเฉินและผมที่มีอาคมปกป้องตัวเองเราจึงไม่ต้องไปอยู่ในเขตอาคมสำหรับทำพิธีกรรม  ตรงบริเวณของเตี่ย ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหนาวเย็น และกดดันจนเหมือนอากาศไปรวมกันตรงนั้นทั้งโลกอึดอัดจนหายใจลำบากเมื่ออยากจะก้าวไปตรงนั้น ยิ่งคนมีวิชา มีพลัง มีบารมีที่ได้นั่งบริกรรมกันมา ยิ่งดึงดูดสิ่งที่มองไม่เห็นให้มาใกล้รอบตัวตนเอง เตี่ยเป็นหนึ่งในนั้น ปัวปัวและผมด้วยตามลำดับพลัง ถ้าสองคนผู้กองและผู้หมวดไปนั่งอยู่ในเส้นเขตอาคมจะอึดอัดหายใจไม่ออกเสียเปล่า ผมนั่งคิดไปครู่หนึ่งจำได้ว่าคุณผู้กองบอกว่ามีเสียงแปลก ๆ ดังรอบตัวเรา


ผมหันมองรอบ ๆ ใกล้ตัวเราเท่าที่เห็นไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้และต้นไม้ และหยดน้ำฝนที่หยาดลงจากฟ้า บรรยากาศที่กดดันไม่เท่าโซนของเตี่ย  ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย และมือของผมสองข้างสวมกอดตัวเองแน่นขึ้น



“ไม่รู้นะ แต่ผมรู้สึกไม่ดีเป็นบ้า”


คุณผู้หมวดเฉินเอ่ยเบา ๆ ผมก็รู้สึกแบบนั้นโว้ย จะพูดทำไมให้กลัวกันวะ คุณผู้หมวดเฉินแสดงความกลัวออกมาให้เห็นตรง ๆ แต่ผู้กองหยางถ้าไม่มองตาเขาลึก ๆชัด ๆจะไม่รู้ว่าเขากลัว แบบที่ผมได้เห็นไปก่อนหน้า แต่ตอนนี้เหมือนเขาจะปรับสภาพได้ เขานิ่งกว่าเดิม


“คุณยังหนาวมากอยู่มั้ย”



เขาถามผม ตัวเองก็น่าจะหนาวกว่าแท้ ตัวเขามีแค่เชิ้ตสีขาวตัวเดียวในขณะที่ผมมีแจ็คเกตสองตัวคือของตัวเองที่ก็หนาพอตัวกับของเขาที่เพิ่งสวมทับมา ยังมาถามคนอื่น แม้ยังหนาวอยู่ก็จริงแต่อุ่นกว่าก่อนหน้านี้แล้วแน่นอนสิ ก็แจ็คเกตตั้งสองตัว

“โอเคแล้ว ห่วงตัวเองเถอะ”


เขาหันกลับไปเมื่อผมพูดย้อนใส่เขา เมื่อเห็นว่าผมต่อล้อต่อเถียงแบบนี้ได้ก็คงไม่นึกห่วงอะไรแล้ว คุณผู้กองหยางก็กลับไปกำปืนในมือไว้แน่น หันกลับไปสนใจรอบข้างต่อ





ผมได้ยินเสียงแปลก ๆ อีกแล้ว





เสียงนั่นเข้ามาใกล้ ๆมันเหมือนเสียงกระซิบไม่ได้ศัพท์ฟังดูเหมือนยุงบินใกล้ ๆ จนน่ารำคาญ ตามมาด้วยกลิ่นเน่าเหม็นโชยมาตามลม แม้ฝนจะตกอยู่ด้วยก็ตาม ฝนไมได้ตกหนักมากแต่ปรอย ๆให้รู้ว่าท้องฟ้าเริ่มหนักหยดน้ำและแค่อยากระบายมันลงมาบนโลก  ผมหันไปมองฝั่งเตี่ย เหมือนกัน เขากำลังมองไปรอบ ๆ ในขณะที่ปากบริกรรมคาถาไปด้วย ผมเองก็เริ่มบริกรรมคาถาปกป้องคุ้มครองตัวเอง และคนข้าง ๆ ผมสองคนเปลี่ยนบทสวดเป็นภาษาจีน  เป็นบทสวดที่เราบ้านหลี่เรียกว่า บทปราบมาร มันใช้สะกดทุกอย่างที่จะเข้าใกล้และหมายทำร้ายเรา แน่นอนสิ่งที่มองไม่เห็นทุกรูปแบบในป่านี้ อย่างที่ปัวปัวบอกไป เขาเข้าใจว่าเรามาร้ายกันตั้งแต่แรก ฉะนั้นเขาไม่มาดีไม่มีน้ำชามาเสิร์ฟเราหรอก ผมเริ่มสวดบทสะกดและยกมือพนมมือไว้ตรงอก



เสียงแปลก ๆ นั้นเข้าใกล้เรามากขึ้น ชัดขึ้น และมากเสียงยิ่งขึ้น สองคนข้างตัวผม คุณผู้หมวดเฉินยกมือปิดหูแล้ว คาดว่าเขาคงได้ยินเหมือนกัน


ผมพอรู้แล้วว่ามันเป็นเสียงอะไร วิญญาณเหล่านี้คอยก่อกวนเรา ก็เพราะเรารุกล้ำเข้ามาพื้นที่ของเขาหนึ่ง พวกเขาเป็นพวกกับศพสามศพที่เป็นพวกบูชาปีศาจแล้วสอง สุดท้ายคือ ..เขาน่าจะหิว..อา.. เขาอาจต้องการพลังชีวิตเรา ไม่สิ ไม่เกี่ยวกับผู้กองผู้หมวดสองคนนี้ น่าจะแค่ผม.. อืม แต่ก็เสี่ยง


พลังชีวิต ณ ที่นี้ที่ผมพูดคือ พลังที่ไหลวนในกาย คนเรามีทุกคนมากน้อยแล้วแต่ส่วนตัว ยิ่งเป็นพวกบำเพ็ญบารมี (น่าจะเรียกแบบนี้) หรือพวกที่มีของดี จะยิ่งมีพลังชีวิตมาก พลังชีวิตในร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แม้แต่วิญญาณ ภูต ผี เองก็เช่นกัน พวกเขาเอาไปทำอะไร ? พวกเขาใช้มันเพื่อคงอยู่ในสภาพที่แม้ไร้ร่างไปแล้วก็ยังมีตัวตนอยู่แม้ไม่มีร่าง อาจจะฟังดูงง ๆ ก็เอาง่าย ๆให้เพื่อตัวเองคงสภาพและแข็งแกร่งขึ้น ภูตผีวิญญาณเขาก็มีสังคมแบบของเขาที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่วันนี้เราดันเข้ามายุ่งน่ะสิ


เสียงนั่นเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อย ๆ ผมไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะหันไปหาเตี่ยได้เลย อยากรู้ว่าเตี่ยเจอเหมือนกันมั้ย แต่ผมไม่มีเวลาไปสังเกตใคร พอเสียงนั่นยิ่งชัดเจนขึ้นพวกเราก็ยิ่งเริ่มประสาทเสียกันมากขึ้นตามไปด้วย คุณผู้หมวดเฉินสวดมนต์ผิดบ้างถูกบ้าง ส่วนผู้กองหยางเขาถอยหลังไปทีละสเตปจนหลังชนกับพุ่มไม้ด้านหลัง มันไม่มีประโยชน์ที่จะถอยหนีแบบนั้นเท่าไหร่ เพราะสิงที่เขามองไม่เห็นก็เข้ามาได้ทุกทาง แต่ผมเองก็ทำงี่เง่าแบบที่เขาทำนั่นล่ะ



และพวกเขาก็ส่งเสียงร้องลั่น จนเตี่ยตกใจแต่เขาละจากตรงนั้นมาไม่ได้




พอเราตะโกนกันลั่นเพราะตกใจ เราตกใจอะไรกัน ? หลังจากเสียงนั่น เราก็พบกับมือประหลาดที่มาสัมผัสพวกเราและผลักเราไปคนละทาง จนพวกเราสามคนถูกแยกออกจากกันหลังจากที่เกาะกลุ่มกันไว้ ผมถูกผลักออกมาไกล ตรงไหนก็ไม่รู้ ที่ที่ผมอยู่มันค่อนข้างมืด มีแค่แสงจันทร์ที่ส่องให้เห็นอะไรได้บ้าง มันมีแต่ใบไม้ใบหญ้าและกลิ่นดิน ผสมความเหม็นเน่าจากศพจนติดจมูกมาก แทบจะอ้วก และเสียงเหล่านั้นยังตามมาหลอกหลอนกันไม่เลิก ผมสวดมนต์ไล่สิ่งชั่วร้ายที่ก่อกวนไปเท่าที่นึกออก และคอยมองหาอีกสองคนที่กระจัดกระจายกัน พวกเขาไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ที่จริงทั้งคู่ก็กลัวเหมือนกันนั่นล่ะแต่แสดงออกไม่เหมือนกัน  ผมที่มีสติสุดในนี้ควรหาพวกเขาให้เจอ



ฝนเริ่มซาลงบ้างแต่ไม่ขาด หยดน้ำฝนยังหยาดลงมาเรื่อย ๆ ผมชักหนาวขึ้นทุกที





แต่เจ้าของแจ็คเกตยีนส์ที่อยู่บนบ่าผมและเพื่อนของเขายังไม่รู้ชะตากรรม ผมมองหาในความมืดทั้งยังสวดคาถาไล่สิ่งชั่วร้ายไปพร้อม ๆ กันโคตรทรหดอดทนสุด ๆ ฝนก็ตกเปาะแปะจนผมรำคาญ ตัวชื้นไปหมด แถมยังต้องคลุกดินกลิ่นศพขนาดนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถึงจะบอกว่าชินกับอะไรแบบนี้ก็เถอะ


เอ๊ะ ?...



ผมเหมือนเห็นแสงอะไรที่ปลายทางใกล้ ๆ





อา




ถ้าผมจำไม่ผิด นั่นมัน...ลูกแก้วอาคม .... ใคร ผู้กองหยางหรือผู้หมวดเฉิน




นั่น...



ผู้กองหยาง





ทำไมผมถึงรู้ได้ก็ยังไม่แน่ใจ แต่มั่นใจว่าจังหวะการเดินของคนที่อยู่ปลายทางที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้ น่าจะเป็นผู้ชายคนนั้น เขาเป็นมีก้าวย่างที่มั่นคง จากที่เห็นกันแค่ไม่กี่ครั้งก็พอเดาได้ จังหวะการเดินย่างน่าจะเป็นเขา



ผมเดินเข้าไปใกล้แสงนั้น





“ผู้กองหยาง นั่น... คุณใช่มั้ย”


แต่คนที่เป็นต้นแสงนั้นไม่ตอบ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งมองเห็นรูปร่างชัดขึ้น




เป็นผู้กองหยางดังที่คิดไว้




เขากำลังหลงทาง






เมื่อเดินมาพบเขา เขาเหมือนกำลังถูกผีบังตา เดินไปเดินมาสะแปะสะปะ แต่ยังมั่นคงในก้าวเดินของตัว นั่นทำให้ผมรู้ว่าเป็นเขา คุณหมวดเฉินมีก้าวย่างเขาละแบบกัน (จังหวะการเดินของเตี่ยกับปัวปัวผมก็รู้นะ) ผู้กองเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมาใกล้ ๆ เขาแล้ว ผมตะโกนเรียก




“ผู้กองหยาง ผู้กองหยางหยาง”




ยังไม่หันมาแม้ซักนิด ชักไม่ค่อยดี นอกจากโดนผีบังตา แล้วยังโดนบดบังโสตประสาททั้งห้า แบบนี้เขาจะหลงทาง ไปจนตาย






“ผู้กองหยาง”



ผมลองเรียกเขาอีกครั้ง และไม่มีเสียงตอบกลับ


“ผู้กองหยางหยาง  “


ผมลองอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม แต่ผมเข้าใกล้และสามารถคว้าร่างที่เดินวนไปมาไม่มีทิศทางภายใต้แสงสลัวของดวงจันทร์และหยาดฝนที่ยังตกลงมาไม่ขาดสาย




“หยางหยาง!
“ทำไมที่..นี่มันมืด”

เขาเพ้อไม่ได้ศัพท์เพราะยังตกอยู่ในภวังค์ที่ถูกบดบังโดยภูตผี  ใบหน้าของเขาหกเกร็ง ขมวดปมแทบทั้งหน้า แต่ดวงตาเลื่อนลอยไม่มีที่วางสายตา



เขาเข้าไปในความมืดลึกขนาดไหน



ผมเรียกเขาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน ต้องตามคุณตำรวจที่หลงทางเสียเองในความมืดที่ถูกผีบดบัง ต้องตามเขาออกมา ก่อนที่เขาจะออกมาไม่ได้ เขาจะต้องวนเวียนในนั้นไปจนตาย แม้ผมคว้าร่างเขาไว้ได้ แต่จิตใจเขายังถูกบดบังแสง ลูกแก้วอาคมแม้มีพลังแต่เพราะคุณผู้กองหยางคงโดนมากกว่าใคร กระเด็นมาไกลไม่เบา แถมยังไม่ใช่พวกมีพลังแฝงแบบบ้านเรา



  ผมยังเรียกเขาอยู่เรื่อยๆ เพื่อเรียกสติ และพลันนึกถึงของดีที่ตัวเองมี




ผมกอดเขา นึกถึงตอนที่ปัวปัวบอกไว้ว่า ผมมีพลังในการเยียวยา รักษา ผมอาจจะใช้พลังที่ว่าเรียกเขากลับมาเผื่อจะได้ผล



และลองเรียกเขาอีกที



“หยางหยาง”



เขาเหมือนจะตื่นจากภวังค์อย่างงงงวย และรับรู้ว่าเขาถูกผมกอดไว้เสียแน่น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเกยอยู่บนไหล่ของผมที่ยังคงมีเสื้อแจ็คเกตของเขาห่มทับไว้ เขากอดตอบผมและแนบแน่นพอ ๆกับที่ผมกอดเขาเมื่อครู่


“ไม่ต้องกลัว หยางหยาง ไม่เป็นไร”



ตัวเขาสั่นเล็กน้อย และไม่นานผู้กองหยางหยางคนเก่งก็กลับมา พอเขาเงยหน้าสบตาผมก็คงอายที่แสดงอะไรหลายอย่างที่ไม่น่าดูออกมาให้ผมเห็น เขาเกาจมูกโด่งๆของเขาแก้เก้อ เม้มปากเหมือนอยากจะพูดอะไรมากกว่าขอบคุณที่เปล่งออกมาเมื่อครู่อย่างแผ่วเบาเหมือนกระซิบ หลังจากนั้นก็อาจจะเพราะอาย  เลยไม่ได้คุย ไม่มองหน้าอะไรกันอีก และออกตามหาคุณเพื่อนผู้หมวดเฉินกันแบบเงียบ ๆ และพบว่าเขานอนสลบข้าง ๆ กับจุดเขตอาคมของเตี่ย และเตี่ยคว้าเขาไว้ทัน



“เฟิงเฟิง เป็นไงบ้าง “
“โอเค โอเคแล้ว ผู้กองก็..น่าจะโอเค”



ผมเดินตรงไปที่เขตอาคมของเตี่ยและบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเล่าจนจบและ สุดท้ายผมก็ต้องจับสองผู้กองผู้หมวดเข้าเขตอาคมจนจน เพราะพลังของลูกแก้วอาคมเริ่มลดลงเรื่อย ๆ แล้ว เพราะเข้ามาในเขตพื้นที่แบบนี้ HPจะลดฮวบฮาบก็ไม่แปลกหรอก ตอนนี้กลายเป็นว่าผู้ชายสี่คนมานั่งเบียดกันในพื้นที่แคบ ๆ ในวงเขตเส้นอาคมที่เตี่ยกางกั้นไว้ เพื่อไม่ให้สิ่งที่มองไม่เห็นที่ไม่ประสงค์ดีทั้งหลายทั้งปวงเข้ามาทำร้าย






และเรื่องมันยังไม่จบ







“อะไร..น่ะ”




ผเมเอ่ยอุทานอย่างประหลาดใจ เพราะจู่ ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไปกะทันหัน แสงไฟจากตะเกียงของเราหรี่ลงเรื่อย ๆ พร้อมกับลมพัดแรงขึ้น บรรยากาศที่ผมสัมผัสได้เย็นฮวบลงเหมือนใครมาปรับอุณหภูมิอย่างกับห้องแอร์ และแม้ผมมองอะไรไม่เห็นเลย แต่รู้ว่าเตี่ยกำลังเจอกับอะไรที่น่ากลัวมาก



เตี่ยที่บริกรรมคาถาสวดทุกบทที่เป็นบทปราบมารที่สามารถนึกออกทุกบท พร้อมร่ายคาถาหนักที่ไม่ค่อยได้ใช้ออกมาจนทำให้ผมประหลาดใจว่าครั้งนี้มันหนักหนาขนาดนั้นเลยหรือ..






“เฟิงเฟิง  ...”



เตี่ยที่นั่งหันหลังเสหน้ามามาทางผม และเอ่ยเสียงค่อยเรียกชื่อผม ผมลุกขึ้นวิ่งไปหา แต่เตี่ยมือยกยั้งไม่ให้วิ่งไปหาประคองเขาที่ทรุดตัวลงไปอย่างไร้แรงยืน เขาสะบัดมือไล่ผมไปอีกทาง เหมือนบอกให้หนีไป ผมมองแววตาเตี่ย เขาบอกแบบนั้น



อะไรกัน วันนี้มันหนักหนาแบบนั้นเลยหรือ




ผมมองไปยังทางที่ปัวปัวเดินเข้าไป  ลมพัดเย็นจนหนาวเข้ากระดูกพัดใส่ใบหน้าผมจนใบหน้าแทบจะแข็งไปทั้งหน้า แถมยังมีกลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงจากศพในป่านี้



“ไป..ไป เฟิงเฟิง ไป”



เตี่ยเอ่ยปากได้แล้ว หลังจากทรุด  พูดไม่ออกอยู่หลายนาที เพราะเขาเหนื่อยมาก ไม่รู้ว่าขณะที่ผมบริกรรมคาถาคุ้มครองให้ปัวปัวมันเกิดอะไรขึ้น ผมที่เบี่ยงสายตาไปมองเตี่ย สลับหนทางที่ปัวปัวเดินเข้าไป ผมอยากเดินไปหาปัวปัวใจจะขาด น้องสาวผมอยู่ในนั้น เตี่ยไม่ไหวขนาดนี้แล้วปัวปัวจะเป็นอย่างไรล่ะ




อึ่ก




หัวใจผมเริ่มหนักหน่วงจนต้องนั่งทรุดกับพื้นดิน เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วล่ะ ของวันนี้ ..




วันนี้ไม่ดีเลยจริง ๆ





“เฟิงเฟิง ไป!



คุณผู้กองหยางหยางที่ไม่รู้วิ่งมาจากไหน ถลามาโอบเอวรั้งร่างผมให้ลุกขึ้นยืนและออกจากตรงที่ยืน แต่ผมดิ้นอยู่ในการพันธนาการของผู้กองหยางหยาง จากก่อนหน้านี้ผมยังเป็นคนรั้งกอดเขาแต่ตอนนี้เราสลับหน้าที่กัน ผมดิ้นไม่หยุดจนเขาต้องโอบรัดด้วยสองมือ และเขย่าร่างผมให้ได้สติและนิ่งสงบลงบ้าง






 “ผู้กองหยาง! พาเฟิงเฟิงออกไป อย่างน้อยก็ซักคน ซักคนก็ยังดี”







ให้ตาย  แล้วปัวปัวล่ะ จะให้ผมทิ้งเธอไปอย่างนั้นหรือ !!




“ไม่ไป! ปล่อยผม”
“ผมแค่ทำตามที่พ่อคุณบอก”
“ไม่ต้องเชื่อฟังขนาดนั้นได้มั้ย เขาไม่ใช่พ่อคุณนะ!
“ไม่ใช่ แต่ว่าถ้าคุณอยู่ เขาบอก คุณจะโดนไปด้วย”
“โดน ? โดนอะไร คุณพูดบ้าอะไรกัน”
“คุณไมได้ยินที่คุณพ่อคุณบอกหรืออย่างไร อย่างน้อยก็ซักคน นั่นล่ะคือประโยคที่พ่อคุณอยากจะบอก”




ไม่จริง






อึ่ก





ผมตกใจกับเสียงกรีดร้องลั่นป่า ไม่ผิดแน่นอนนั่นเสียงปัวปัว




“เตี่ย นั่นเสียงปัวปัว!




เตี่ยขืนตัวเองยืนได้แล้ว มองหน้าผมอย่างเศร้าใจ ก่อนคว้าเอาอาวุธประจำกายเตี่ย หอกที่สั้นกว่าหอกทั่วไปเป็นด้ามทองใบมีดคมสีเงิน เดินดุ่มออกไปในความมืด ไม่พูดอะไรให้ผมเข้าใจเลย แต่ถ้าถือหอกประจำตัวออกไป มันคงไม่ใช่เรื่องดี เตี่ยใช้ไอ้หอกนี่นับครั้งได้ และต้องหนักหนาจริง ๆ ถึงจะใช้อาวุธ พลังเตี่ยไม่ใช่น้อย ๆ หากใช้มากเท่าที่ต้องการโดยไม่ยั้งมือคนรอบข้างจะโดนลูกหลงแต่ถ้าเช่นนี้เตี่ยคงไม่กลัวอะไรแล้ว





“เตี่ย มันมีเกิดอะไรขึ้นกับปัวปัว ผมรู้นะ ผมสัมผัสได้ ช่วยน้องด้วย เตี่ยต้องช่วยปัวปัวออกมานะ...”






มือของผมปัดป่ายในอากาศเหมือนพยายามจะไล่ตามเตี่ยไปช่วยปัวปัว ผมอยากเจอน้อง เธอจะเป็นอย่างไร เสียงกรีดร้องนั่นฟังดูเจ็บปวดอย่างมาก ผมไม่รู้ว่าน้องของผมเจ็บปวดหรือมีอันตรายอย่างไร







ผม..ควรทำอย่างไร...ผมช่วยอะไรได้อีกบ้างมั้ยนอกจากสวดคาถาคุ้มครองให้น้องสาวผมปลอดภัย









นี่มันวันอะไร วันบ้าอะไร


“เตี่ย...ฮึ่ก...พาปัวปัวออกมา เตี่ย”







ผมตะโกนไล่หลังตามเตี่ยไป น้ำตาไหลนองหน้า คุณผู้กองที่รั้งเอวกอดผมแน่นกลัวผมจะหนีตามเตี่ยเข้าไปในป่าลึกนั่น 
มือที่กำลังปัดป่ายในอากาศของผมเอื้อมคว้าอะไรไม่ได้ซักอย่าง ผมได้ยินเสียงปัวปัวกรีดร้องอีกครั้งอย่างเจ็บปวด







“ฮึ่ก. .ปัวปัว...”




ความเจ็บปวดอย่างที่เคยได้รู้สึกแล่นริ้วเข้าหัวใจอีกครั้งจนผมลั่นร้องสะอื้นออกมาดัง ๆ เรารับรู้ได้....ผมเคยบอกแล้ว และเรากำลังเจ็บกันทั้งคู่








และผมคงร้องไห้เสียงดังมากเกินไป จนผู้กองหยางหยางต้องโอบกอดไว้แนบอกเขาเสียแน่น

2 ความคิดเห็น:

  1. ติดตามนะค่ะ
    ชอบแนวลึกลับมากกกก
    ว่าแต่ น้องสาวฝาแฝดจะเป็นอะไรไหมค่ะ
    ห่วงแทนอ่าา

    ตอบลบ
  2. น่าสนใจมากค่ะเรื่องนี้

    ตอบลบ