วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[Fic] ที่สุดของดวงใจ : หยางเฟิง --- CHAPTER : 6




















อีกแล้ว...สายตานั่น


เช้าวันนี้ ท่านประธานของหยางกรุ๊ปหรือผู้นำตระกูลหยางของวงการมาเฟียของแผ่นดินใหญ่ก็ยังต้องออกไปทำงานที่มีเข้ามาไม่ขาดสายเหมือนเดิม และอีกฝ่าย คุณหนูเสี่ยวอิ๋งก็มีการเรียนการสอนกับคุณครูคนโปรดที่สุดในดวงใจ  คุณครูอี้เฟิงของเธอนั่งตรงกันข้ามอีกฝั่งโต๊ะ คุณป๊าของเธอแวะมาทักทานก่อนจะออกไปทำงาน คุณพ่อที่รักลูบหัวเด็กน้อยอย่างรักใคร่ กอดหอมอย่างที่ทำประจำ จนเสี่ยวอิ๋งรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด เหมือนคุณพ่อของเธอจะทำงานจนลืมดูแลตัวเองตอนหอมแก้มเธอก็รู้สึกถึงไรหนวดของคุณพ่อทิ่มแก้มนิ่มๆ ของเธอแล้ว


อืม... เสี่ยวอิ๋งอุทานในใจ และที่เธอใช้ความคิดเมื่อก่อนหน้า บอกตัวเองว่า สายตาแบบนี้ของคุณครูไปถึงคุณป๊าของเธอ ..เธอรู้สึกว่าสายตาแบบนี้ มันเหมือนนางเอกมองพระเอกแบบในละครที่เธอดูแล้วรู้สึกเขินทุกครั้ง เป็นละครที่เธอแอบย่องไปดูเมื่อคุณป้าหนิงเปิดละครที่ช่องโปรด 



ทันใดนั้น เด็กน้อยก็รู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก เธอไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น แน่นอนหนูน้อยยังไม่ถึงสิบปีดีด้วยซ้ำ ความรู้สึกจากก้นบึ้งที่ซับซ้อน เธอจึงไม่มีคำอธิบาย และได้แต่สงสัยว่าความรู้สึกนี้ หรือบรรยากาศระหว่างคุณป๊าของเธอและคุณครูคนโปรดในดวงใจเธอในตอนนี้มันคืออะไร


“พี่อี้เฟิงคะ”  เสี่ยวอิ๋งเอ่ยเรียกเสียงเบาเมื่อเห็นคุณครูของเธอยิ้มให้คุณป๊าของเธอนานไปแล้ว เธอแอบเคืองนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้นึกโกรธอะไร ก็เพราะว่าเธอเองก็ชอบพี่อี้เฟิงของเธอยิ้มแบบนี้ที่สุด มันอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์และดูงดงามจับใจคนมอง ถึงเธอจะเป็นเด็กน้อยก็รู้สึกนะ


“ครับ ?”
“วันนี้เสี่ยวอิ๋งอยากทำขนมอีกได้มั้ยคะ “
“ได้ครับ แต่ไว้เป็นช่วงพักบ่ายนะครับ วันนี้เราอะไรที่ต้องทบทวนเยอะเลย หลังจากที่พี่ขาดสอนไป”


คุณครูคนเก่งอธิบายว่าทำไมวันนี้จึงต้องตั้งใจเป็นพิเศษ อี้เฟิงในก่อนหน้า วิ่งเข้าออกมหาวิทยาลัยเป็นว่าเล่น เพราะมีโปรเจคเล่มใหญ่ที่จะต้องส่งเพื่อจบการศึกษาแล้ว จึงจำเป็นต้องขออนุญาตนายจ้างอย่างหยางหยาง ซึ่งเขาก็เข้าใจตรงจุดนี้ดีแต่หากจะไปก็ต้องให้รถของที่บ้านไปรับส่ง โดยคนขับก็เป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดมือดีของหยางหยาง อาฟง เพราะเรื่องราวในช่วงนี้ ทำให้ความปลอดภัยของอี้เฟิงเข้าขั้นวิกฤต หยางหยางไม่สามารถปล่อยให้อี้เฟิงไปไหนมาไหนได้ด้วตัวเองอีกแล้ว หยางหยางบอกว่าจะไม่ยอมให้อี้เฟิงเป็นอะไรไปอีก นั่นทำให้เขาต้องเชื่อฟังและไปไหนมาไหนกับคุณบอดกี้การ์ดคนนี้บ่อย ๆ  ซึ่งอี้เฟิงตราหน้าคุณบอดี้การ์ดคนนี้ไปแล้วว่าเป็นคนขี้ฟ้องที่สุด


วันนั้นเขาถูกแกล้งเลยมั้ยล่ะ!


คุณหยางหยางที่อี้เฟิงคิดมาตลอดว่าเป็นคนสุขุม ขรึม และดูเย็นชา อาจจะยกเว้นกับลูกสาวสุดที่รักไว้ซักคน แต่มุมแบบนั้นของหยางหยาง อย่างที่แกล้งเขาทั้งที่หน้าห้องนอนของเจ้าตัวกับเช้าอีกวันถัดมา ทำให้เขารู้เลย ว่านายคนนี้เจ้าเล่ห์และช่างแกล้งเป็นที่สุด




 ถึงแม้นั่นจะทำให้เขารู้สึกดีใจลึก ๆ ก็ตามเถอะ
อย่างน้อยคน ๆ นี้ก็คล้ายว่าจะเปิดใจ และยิ้มแย้มกับเขาเป็น หลัง ๆ นี้คน ๆ นี้ยิ้มบ่อยขึ้น
อี้เฟิงคิดว่า ยิ้มของคุณหยางหยางก็ทำให้อี้เฟิงรู้สึกว่าทุกอย่างจะดีขึ้นและเรียบร้อย




ฮึ ... นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ที่เมื่ออี้เฟิงคิดถึงคุณประธานหยางกรุ๊ปคนนี้แล้วยิ้มออกมาด้วยโดยไม่รู้ตัว



แม้ช่วงการเรียนการสอน อี้เฟิงก็เผลอคิดถึงคน ๆ นี้  หนูน้อยตรงกันข้ามนั่งตาแป๋วรอเชาอธิบายต่อแล้ว


“พี่อี้เฟิงคะ “
“อ๊ะ ขอโทษครับ พี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“คุณครูใจลอยอีกแล้ว”
“ขอโทษครับ ขอโทษ”



อี้เฟิงโค้งหัวเล้กน้อยเป็นเชิงขอโทษเด็กน้อยที่แอบน้อยใจคุณครูเสียแล้ว เสี่ยวอิ๋งยิ้มและหัวเราะเสียงใสเธอไม่ได้จะเอาอะไรกับคุณครูขนาดนั้นเสียหน่อย


แต่แววตาของพี่อี้เฟิงในช่วงที่ใจลอยไปครู่หนึ่งเมื่อกี้ ก็คล้าย ๆ กับตอนที่เธอแอบสังเกตป๊าของเธอเวลาเธอไปนั่งเล่นที่ห้องทำงานกับคุณป๊า บรรยากาศรอบตัว ความรู้สึกเมื่อเวลาเด็กหญิงมองทั้งคู่ มันเหมือนกัน



เด็กน้อยรู้สึกในใจบางอย่างอีกแล้ว


“พี่อี้เฟิง”
“หืม ?”


อี้เฟิงที่กำลังอธิบายเนื้อหาบทเรียนวันนี้ ฟังเสียงท้วงของเสี่ยวอิ๋ง เธอโน้มตัวมาหาคุณครูของเธอแล้วเอามือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างตะปบที่แก้มนิ่มของคุณครู อี้เฟิงประหลาดใจแต่ก็นิ่งไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าเด็กหญิงอยากได้อะไร


“พี่อี้เฟิงรู้มั้ย เสี่ยวอิ๋งน่ะ ชอบรอยยิ้มพี่อี้เฟิงมาก พี่อี้เฟิงจะต้องยิ้มเยอะ ๆ ยิ้มบ่อย ๆ ให้เสี่ยวอิ๋งเห็นทุกวันนะคะ ได้มั้ย ยิ้มให้เสี่ยวอิ๋งทุกวันเลยนะ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน”



แม้อี้เฟิงจะไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้ารับ เพียงแค่รอยยิ้ม ทุกวันอย่างนั้นหรือ ? ทำไมคุณครูอย่างเขาจะมอบให้เด็กน้อยที่น่ารักไม่ได้กัน


“ได้เลย ไม่มีปัญหา”
“ดีค่า งั้นเราเรียนต่อกันเถอะ~~~


เสี่ยวอิ๋งลดมือที่ตะปบแก้มคุณครูลง และยิ้มให้คุณครู เพราะคุณครูก็ยิ้มตอบเธอแบบที่เธอต้องการแล้ว


ยิ้มแบบนี้ล่ะ ที่เธอต้องการ  
ฮึ ๆ.. เด็กน้อยยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าเธอในตอนนี้มีบรรยากาศคล้ายผู้เป็นพ่อ การเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโตทำให้เสี่ยวอิ๋งซึมซับแบบฉบับบางอย่างของป๊าของเธอมาเหมือนกัน


---------------------- ที่สุดของดวงใจ -------------------------


จะว่าไป วันนี้เหมือนเสี่ยวอิ๋ง...อืม ดูแปลกไปนิดหน่อยนะ




อี้เฟิงที่สอนเด็กน้อยมานานร่วมเดือนแล้ว เขาคิดพลางเอียงคอ  ยิ่งเอียงก็ยิ่งเทน้ำหนักความคิดในหัวมากขึ้นเรื่อย  ๆ ตอนนี้อี้เฟิงไม่มีอะไรที่จะต้องเร่งรีบเท่ากับช่วงก่อนส่งโปรเจคจบ จึงมีเวลาเตรียมบทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับคุณหนูน้อยตระกูลหยาง


“หรือว่าเราคิดไปเองกันนะ”


คุณครูคนเก่งขมวดคิ้วก่อนลุกเดินผ่อนคลายร่างกาย หลังจากที่นั่งเตรียมบทเรียนเสียนาน เขาลงนั่งบนเตียง แม้จะรู้สึกว่าเสี่ยวอิ๋งแปลกไป  อืม   ไม่รู้ว่าแปลกในแง่ไหน แต่อี้เฟิงก็สัมผัสได้ว่า เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้น ..นิดหน่อยละมั้ง



“ก็คงเหมือนคุณพ่อของเธอล่ะนะ”



เสียงหวานเอ่ยกับตัวเอง คิดถึงลูกก็พาลไปคิดถึงพ่ออย่างช่วยไม่ได้ จะว่าเหมือนก็เหมือน หรือจะไม่เหมือนก็ได้ อี้เฟิงคิดว่าพ่อลูกคู่นี้ไมได้เหมือนเสียทีเดียว และมีบางเรื่องที่อี้เฟิงก็อยากรู้มานาน แต่ก็คงรู้กันไม่ได้ง่าย ๆ ก็คงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับบ้านนี้ ควรจะต้องรอให้อีกฝ่ายบอกมาเอง



คุณแม่ของเสี่ยวอิ๋งจะเป็นคนแบบไหนนะ  คุณครูคนเก่งนึกพลางเอียงคอจินตนาการ



เด็กน้อยที่น่ารัก ดูโตกว่าอายุ แต่ก็ยังมีความเป็นเด็กสมอายุตัวเองอยู่ด้วย สุภาพเรียบร้อย แต่ก็ซนเอาเรื่องในบางที มีบางนิสัยที่คล้ายหยางหยาง แต่บางนิสัยก็เฉพาะตัวเด็ก หลายครั้งที่อี้เฟิงอยากรู้เรื่องแม่ของเธอ แต่ถามเด็กน้อยไปมันก็เหมือนไปกระตุ้นความรู้สึกภายในใจเด็ก อาจจะทำให้เธอมีท่าทีเปลี่ยนไป อี้เฟิงจึงเป็นคุณครูที่ดีที่ไม่ควรเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้น



“ไว้มีโอกาสแล้วกัน”







หืม ?


อี้เฟิงอุทานในใจ เมื่อมีเสียงเคาะประตูห้อง







“เอ๋ ? คุณ..หยางหยาง”



 อี้เฟิงถอยหนีตามสัญชาติญาณ เจอออร่าประมาณนี้ในตอนกลางคืน เรื่องราวบนเตียงวันนั้นที่อี้เฟิงบุกเข้าห้องอีกฝ่ายมารบกวนความคิด ความอ่านในใจเสมอ หยางหยางจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ทุกครั้งเมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ของก็นึกชอบใจจนต้องยิ้มให้ออกมาให้อีกฝ่ายเห็นอีกแล้ว


“แลกกันครับ”
“หา ?”


วันนี้หยางหยางมีของขวัญมาฝากคุณครูของเสี่ยวอิ๋งหลังจากได้รับเข็ดกลัดไทด์ที่เจ้าตัวคนให้บอกว่ามันเหมือนกับเขาเหลือเกิน เจ้าหมาป่าที่อยู่บนไทด์เส้นสวยนั้น อี้เฟิงเลิกคิ้วสูงประหลาดใจ ออร่าหมาป่าน่ากลัวหายไปบ้างแต่ยังไม่หมด มือเรียวสวยยื่นไปรับของขวัญกล่องเล็กแต่รูปร่างยาว เปิดออกมาเป็นปากกาเล่มสวย  ตัวด้ามเรียวยาวสีขาวทั้งด้าม มีตัวแขนที่ยื่นออกมาเพื่อใช้แนบปากกาติดหน้าแมวน่ารัก ๆ ไว้หนึ่งตัว


“สั่งทำไว้ ผมแค่บอกเพิ่มเติมกับช่างว่า ขอหน้าแมวน่ารัก ๆ ติดไว้บนนั้น”
“ผมเป็นแมวหรือ ? “
“ก็ขี้อ้อนขนาดนั้น จะไม่เหมือนได้ยังไง ”



พอโดนย้อนกลับมาแบบนั้นก็พาลคิดไปถึงเรื่องวันนั้นอีกครั้ง อี้เฟิงหน้าแดงจนห้ามไม่อยู่ ทำไมถึงช่างรื้อความทรงจำช่วงนั้นมาให้ชวนอายนักนะ หมอนี่  อี้เฟิงเม้มปากตรง ส่งค้อนให้หนึ่งวง มือเรียวปิดกล่องปากกา แล้วเงยหน้ามาหาคนที่มองอยู่ก่อน คนที่บอกว่าเขาเหมือนแมว


“ไม่เห็นเหมือนเลย”
“คุณครูหันไปดูกระจกตรงนั้นเร็วเข้า หนวดแมวงอกแล้วน่ะ”
“นี่คุณ!
“ไม่งั้นผมกับยายหนูจะบอกว่าคุณเป็นพี่ชายเสี่ยวอ้ายรึครับ ?”


คุณครุคนเก่งถูกย้อนกลับมาอีกขุด เคืองจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว คนอีกฝั่งได้แกล้งก็ดูเหมือนจะสนุกเสียเหลือเนจนอี้เฟิงส่งค้อนไปนับสิบวง ปากจิ้มลิ้มนั้นเบะใส่แกมหมั่นไส้คุณพ่อคนหล่อ


ยายหนู...?  พอคุณพ่อคนหล่อพูดถึงลูกสาวตัวเอง ก็เหมือนกับไปกระตุ้นความอยากรู้จากก้นบึ้งในใจของอี้เฟิง เพราะสงสัยอยู่นานนับเดือนแล้ว ไหนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่อาจจะได้คุยประเด็นนี้กันได้


“เอ่อ...คุณหยางหยาง “
“ครับ ? “


เมื่ออีกคนเปลี่ยนท่าที่ไป หยางหยางเลิกคิ้วแปลกใจ เมื่อครู่นี้คุณครูก็ยังเขิน ๆ อยู่ แต่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างที่สงสัยได้ จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง



หยางหยางคาดคะเนไว้ไม่กี่เรื่อง หากเป็นเรื่องจริงจังที่คุณครูคนนี้สงสัย


“ถ้าผมถามเรื่องบางเรื่องที่ผมสงสัย..เอ่อ แบบว่า ..คิดว่ามันอาจจะละเอียดอ่อนสำหรับบ้านนี้ ครอบครัวนี้ กับคุณ กับเสี่ยวอิ๋ง ..”


ประธานหยางกรุ๊ปก็เปลี่ยนท่าที เป็นคุณพ่อใจดีจนอี้เฟิงรู้สึกได้  อี้เฟิงจึงลองหยั่งเชิงดูท่าทีคุณพ่อคนนี้ก่อน กลัวว่จะโดนเอ็ดกลับมา เพราะไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เป็นแค่คุณครูสอนพิเศษแท้ ๆ


“แม่ของยายหนูหรือ ?”


ตากลมโตของอี้เฟิงเบิกตกใจ ที่หยางหยางคนนี้เดาถูกเสียด้วย แต่มันก็คงมีไม่กี่เรื่องที่อี้เฟิงจะมีสีหน้าและบรรยากาศจริงจังในการถาม เพราะมันก็อาจจะแปลก ตั้งแต่ที่อี้เฟิงมาที่นี้ก็คนประหลาดใจไม่น้อย ในบ้านมีคุณพ่อ และมีคนที่ดูแลเสี่ยวอิ๋ง ปราศจากคุณแม่มีเพียงผู้หญิงหนึ่งเดียวในบ้านคือคุณน้าหนิง ที่ทำหน้าเลี้ยงดู ดูแลเสี่ยวอิ๋งอย่างใกล้ชิด



“เอ่อ.. คือ คุณเดาถูกครับ คุณหยางหยาง แต่ถ้าไม่ได้ บอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอ่อ.. ผมไม่อยากรู้แล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณอี้เฟิง อย่างไร ถ้าคุณอยู่ในบ้าน คุณก็ควรได้รู้ เพราะคุณเป็นครูสอนพิเศษลูกสาวผม ที่ผมไว้ใจ”


และไม่นาน คุณก็เข้ามาเป็นหนึ่งในดวงใจของผมแล้วล่ะนะ... หลี่อี้เฟิง.. แต่หากว่าประโยคท้ายนี้ หยางหยางไมได้บอกกับคุณครูไป เพียงแต่สื่อความรู้สึกของประโยคนี้ผ่านสายตาเท่านั้น


หยางหยางเต็มใจจะบอกกับอี้เฟิงอย่างแน่นอน และ อี้เฟิงก็ควรรู้อย่างที่เขาบอกอี้เฟิง เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้วหลังจากที่ครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนักและจริงจัง


บางทียายหนูกับอี้เฟิงก็เข้ากันได้ดีมาก ดูเหมือนยายหนูจะติดอี้เฟิงมาเสียด้วย เจอคุณครูแล้วก็ร่าเริงมีความสุขทุกครั้ง


เขาก็ควรให้คน ๆ นี้คอยดูแลยายหนูของเขาไปนาน ๆ ... แต่ไม่รู้ว่าคุณครูจะใจดีช่วยเขาหรือเปล่า ก็อยู่ที่หยางหยางจะทำให้อี้เฟิงใจอ่อนช่วยเขาได้มั้ย



“ไปดื่ม  ๆ อะไรกันข้างล่างหน่อยมั้ย คุณครู”












หลังจากนั้น หยางหยางก็ชวนอี้เฟิงลงมาที่ห้องครัว เขาหยิบแก้วมาสองแก้ว หยางหยางชงกาแฟรสนุ่มลิ้นให้ตัวเอง แต่อุ่นนมน้ำผึ้งอุ่น ๆ ให้คุณครู โดยบอกอี้เฟิงว่า หลังจากคุยเสร็จแล้ว เขายังมีเอกสารที่ต้องจัดการอีกเป็นกอง กาแฟนี่ล่ะเหมาะกับเวลานี้ที่สุด


“ผมแค่อยากมาผ่อนคลาย เวลาผมอยู่กับคุณ ผมรู้สึกสบายใจดี”


อี้เฟิงยิ้มออกมาบ้างเมื่อได้ยินหยางหยางว่าเช่นนั้น ยิ้มของอี้เฟิงอุ่นเหมือนมน้ำผึ้ง ในแก้ว หยางหยางเล่าถึงนมน้ำผึ้งนี่นิดหน่อย ว่าเป็นของโปรดของยายหนูอีกอย่างหนึ่ง เธอต้องดื่มนมก่อนนอน และรสน้ำผึ้งก็ถูกปากเธอที่สุด ซึ่งเขาจะชงไปให้ยายหนูของเขาเองทุกคืนก่อนนอน เป็นอย่างหนึ่งที่เขาพอทำได้ในฐานะคนเป็นพ่อ

“คุณนี่ดูแลลูกสาวดีจังเลย เป็นคุณพ่อดีเด่นมากเลยนะเนี่ย”
“นี่คุณแซวผมหรือ? “
“เปล่าซะหน่อย ก็น่ารักดีออกนี่หน่า”


พูดจบคุณครูตาสวยก็ยกจิบนมน้ำผึ้งร้อน ๆ อีกจิบ ก่อนหันมายิ้มทะเล้นให้คุณพ่อคนหล่อ จนอีกฝ่ายนึกหมั่นเขี้ยวหยิกที่แก้มเข้าซักทีให้หายอยากจนอี้เฟิงร้องโอดโอย บอกว่าทำให้เขาดูเป็นเด็กไปได้

“ก็คุณเด็กว่าผมตั้งเท่าไหร่”
“แต่ผมเป็นคุณครูของลูกสาวคุณนะ”
“อยากเป็นมากกว่าคุณครูมั้ย คุณหลี่อี้เฟิง”


เป็นหมัดฮุคจากคุณพ่อ ทำเอาอี้เฟิงช็อคนมน้ำผึ้งไปพักหนึ่ง ปากอิ่มยังคาที่ปากแก้วเคลือบใบสวย ตากลมสวยเบิกว้าง ก่อนจะขมวดและส่งสายตาคาดโทษ ไม่รู้ว่าหยางหยางพูดออกมาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่หรือแค่แกล้งให้เขาเขินเล่นตามนิสัยของตัวเอง


“ลองเก็บไปคิดดูนะครับ”


อี้เฟิงไม่รับอะไรทั้งนั้นสำหรับคำถามเมื่อครู่ หยางหยางจึงได้แต่หัวเราะออกมาระบายความสนุกสนานที่ได้เห็นคุณครูคนเก่งเขินหน้าแดงออกมา เขาแค่หยั่งเชิงถามอี้เฟิงดูเท่านั้นแต่ถ้าหากอี้เฟิงจะตกลง เขาก็จะจับร่างนิ่ม ๆ ของคุณครูกดลงกับโซฟาตรงนี้มันเสียเลย ถือเป็นการตอบรับการตกลง แต่คุณครูไม่เล่นด้วยก็จะไม่ถือว่าเขาพูดอะไรแล้วกัน


“เอาล่ะคุณครู มีประเด็นไหนที่อยากรู้มั้ย ?”
“เอ่...ผมควรถามจากจุดไหนก่อนดีนะ”


หยางหยางกลับเข้าสู่อารมณ์จริงจัง เมื่อกลับมาถึงประเด็นที่เขาตั้งใจจะชวนคุณครูมานั่งคุยตรงนี้ บรรยากาศ ณ ขณะนี้เหมือนเขากำลังไปพบคุณครูในฐานะผู้ปกครองของเด็กหญิงเสี่ยวอิ๋งที่โรงเรียนโดยมีคุณครูอี้เฟิงเป็นคุณครูประจำชั้น คล้ายการพบผู้ปกครองประจำปีในโรงเรียนประมาณนั้น


“ที่จริง เสี่ยวอิ๋งไม่ได้ดูเป็นเด็กที่ขาดอะไรเลยนะครับ คุณหยางหยาง ผมเรียนตามตรง คุณเติมเต็มส่วนที่เธอขาดไป ที่เธอไม่มี แม้ครั้งก่อนที่ผมกับเสี่ยวอิ๋งออกไปด้านนอก เธอก็เห็นครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เธอก็แค่มองแต่ไม่เก็บมาคิดมาก ผมว่าคุณเป็นคุณพ่อที่ดีจริง ๆ นะ”


เปิดประเด็นเรื่องเครียด ๆ ออกมา คุณครูคนเก่งของหยางหยางเอ่ยบอก ที่เสี่ยวอิ๋งขาดไปก็คือแม่ มีแค่หยางหยางในฐานะที่เป็นพ่อ  หยางหยางไม่มีความละเอียดอ่อนใด ๆ ในแบบผู้หญิง ในบทบาทแม่นั้นที่ใกล้เคียงใกล้ตัวของเสี่ยวอิ๋งมากที่สุดคือน้าหนิง เมื่อก่อนที่เสี่ยวอิ๋งไปโรงเรียน ก็มีคุณครูถามเสี่ยวอิ๋งเรื่องคุณแม่เหมือนกัน เธอไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้ม และบอกคุณครูอย่างสุภาพว่าให้ลองถามคุณพ่อดู วันนั้นที่เกิดเหตุการณ์นี้ หยางหยางก็ได้เห็นความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวของลูกสาวมากเหลือเกิน บางทีเขาก็รู้สึกเช่นกันว่า เสี่ยวอิ๋งต้องทนกับอะไรมากเกินไป ในฐานะที่มีคุณพ่อแบบเขา ที่คลุกคลีในวงการมาเฟีย บางครั้งต้องเจอกับเหตุการณ์อันตราย จากที่ได้ไปโรงเรียนเล่นกับเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้เธอก็ต้องมาอยู่ในบ้าน ได้ออกไปบ้างบางครั้ง แต่ก็ต้องไปกับบอดี้การ์ด เจอเพื่อนเก่าบางครั้ง แต่พอไปเล่นด้วยกัน มีครั้งหนึ่งที่เสี่ยนวอิ๋งถูกมาเฟียแก๊งค์ปลายแถว จับไปเรียกค่าไถ หยางหยางจึงจำเป็นต้องจัดการเด็ดขาด มีหลายครั้งเข้า ความปลอดภัยของลูกสาวที่รักยิ่งน้อยลง การไปโรงเรียนไม่ปลอดภัย หลัง ๆ นี้จึงจำเป็นต้องหาคุณครูมาสอนที่บ้าน


“วันนั้นที่ผมบอกยายหนูว่า เธอต้องอยู่บ้าน เรียนหนังสือที่บ้าน เธอก็เศร้าลงถนัดตา แต่ผมน่ะไม่คิดว่าเธอจะบอกออกมาแบบนั้น ทำเอาคนเป็นพ่อแบบผมน้ำตาไหลเลยล่ะ”


หยางหยางจำได้ที่ลูกสาวของเขาบอกเมื่อได้อธิบายกันตรง ๆ ว่าสถานการณ์ครอบครัวตอนนี้เป็นอย่างไร ประโยคนั้นทำเอาน้ำตาของคนเป็นพ่อไหลรินต่อหน้าลูกสาว


เป็นการร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานนี้ของเขา และเป็นการร้องไห้ไม่กี่ครั้งในชีวิต  ต่อสิ่งสำคัญของหยางหยาง


“ป๊า ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เสี่ยวอิ๋งเข้าใจป๊า ป๊ารักเสี่ยวขนาดไหน เสี่ยวอิ๋งรู้ รักเท่าโลกเลย เสี่ยวอ้ายก็อยู่ด้วย คุณป้าหนิง พี่เฉิน พี่ฟง คน ๆ อื่นที่อยู่ใกล้ ๆเสี่ยวอิ๋งจะชวนเล่นให้หมดเลย ป๊าก็ต้องมาเล่นกับเสี่ยวอิ๋งนะคะ งั้นเสี่ยวอิ๋งจะรอลุ้นคุณครูของเสี่ยวอิ๋งนะ”



เขาคิดว่าที่เด็กน้อยกลั่นคำพูดดี ๆ แบบนี้ออกมาได้ เป็นเพราการดูแลเป็นอย่างดีจากน้าหนิงที่คอยดูแลหยางหยางมาตั้งแต่เด็ก ในช่วงที่พ่อแม่เขาไม่ได้ดูแลเขา พร้อมทั้งจิตใจอันแข็งแกร่งของลูกสาวของเขาเอง เป็นเด็กที่ดี



ก็เหมือนกันจริง ๆ นั่นล่ะ...หยางหยางคิดไปถึงบางคน



“เสี่ยวอิ๋งพูดแบบนี้หรือ ? จริง ๆ ด้วยสินะ เธอเป็นเด็กที่โตเกินอายุ และเก่งมากจริง ๆ  โชคดีที่เธอมีคุณและคุณก็มีเธอด้วย” อี้เฟิงบอกคุณพ่อที่นั่งอยู่ถัดไปที่โซฟาอีกตัว เขายกกาแฟรสดีดื่ม เมื่อวางแก้วจึงได้อธิบายต่อ


“แต่บางครั้งก็มีงอแงนะครับ เธอเป็นเด็ก อยากได้อะไรแบบที่เด็ก ๆ เขามีบ้าง แต่ผมไม่ว่าอะไร บางครั้งก็แก่แดด เด็ก ๆ สมัยนี้มีสื่อออนไลน์ เพื่อนทางออนไลน์ก็มี เธอก็เล่าให้ผมฟังแทบทุกเรื่องแต่ก็มีแอบปกปิดบ้างแต่น้าหนิงดูแลอย่างดี เธอไมได้ทำอะไรเสียหาย มีแอบ การ์ตูนบ้างแต่นั่นก็ปกติของเด็ก ๆ หลังนี้ น้าหนิงบอกผมว่า เสี่ยวอิ๋งเติบโตขึ้นนิดหน่อย มีแอบดูไอดอลในทีวีบ้างแล้ว ล่ะ”


หยางหยางเล่าเรื่องลูกสาวอย่างอารมณ์ดี บรรยากาศคุณพ่อตอนนี้ดูมีความสุขจนอี้เฟิงนึกอิจฉา คนมีลูกมันดีแบบนี้นี่เอง ได้ดูแลคนที่รัก ที่ใส่บริสุทธิ์ด้วยมือของตัวเอง  บางครั้งอี้เฟิงก็คิดว่าเขาก็อยากมีเด็กน้อยไว้ดูแลบ้าง จะดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย


ถ้าเป็นเสี่ยวอิ๋งก็ไม่เลว
“ถ้าคุณมาดูแลเสี่ยวอิ๋งกับผมด้วยก็ไม่เลวนะคุณครู บางครั้งน้าหนิงก็งานล้นมือ ผมเองก็วุ่นวายกับเรื่องนอกบ้านบ้างเหมือนกัน”


คำพูดของคุณหยางหยาตรงกับความคิดอี้เฟิงแบบซ้อนทับ แต่คุณหยางหยางพูดด้วยแววตาจริงจัง แต่อี้เฟิงแค่คิดไปเรื่อย แก้มที่ดูนิ่มน่าสัมผัสกลับแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง หยางหยางจุดยิ้มเมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นของคุณครูอี้เฟิงที่ตอนนี้แก้เขินด้วยการยกจิบนมน้ำผึ้งในแก้วใบสวยอยู่


“ผมไม่ได้เร่งรัดอะไร อย่างที่บอก ก็เก็บไปคิด ๆ ดูนะ”
“อะ..อื้อ”


อี้เฟิงพยักหน้าไปแกน ๆ รับ ก่อนเปลี่ยนประเด็น


“แล้วคุณแม่ของเสี่ยวอิ๋งล่ะครับ” 



หยางหยางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง และเงียบไปครู่ใหญ่ เหมือนกำลังคิดทบทวนในบางอย่าง เขาอาจจะบอกได้แต่ไม่หมด ใบหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมผิดกับเมื่อครู่ใหญ่นี้ อี้เฟิงรอที่จะฟังอย่างเงียบ ๆ หรือแม้หยางหยางจะไม่พูดอะไร ก็จะไม่ถามอะไรต่อไป จะทำเพียงแค่ส่งยิ้มไปให้ และส่งคุณพ่อที่ทำงานหนักคนนี้ ไปพักผ่อนเสีย





“ผม....แค่ผมปกป้องเธอ..ไว้ไม่ได้ น่ะครับ”


แค่เริ่มเปิดประเด็นอ่อนไหวนี่ขึ้นมา อี้เฟิงก็วูบไหวในใจลึก ๆ  แล้ว  เสียงทุ้มเล่าเรื่องด้วยโทนเสียงเรียบไปเรื่อย ๆ

“...อืม...ครั้งหนึ่งที่ผมยังอยู่ในวงการมาเฟียเต็มตัว แม่ของเสี่ยวอิ๋งเขาถูกลอบฆ่า ผมไปช่วยไว้ไม่ทันเวลา เธอสิ้นลมไปเสียก่อนที่ผมจะไปถึง หลังจากนั้นก็ทำให้ผมโมโห จึงจำเป็นต้องจัดการคนพวกนั้นให้สิ้นซาก”


เขาเล่าไปท่าทีนิ่ง เสียงเรียบ อี้เฟิงนึกกลัวหยางหยางในมุมนี้อยู่ในน้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขากลัว ก็เปลี่ยนท่าทีการเล่า และเก็บคำพูดไป ย้ายไปอีกประเด็นของหนูน้อย

“เสี่ยวอิ๋งเป็นเด็กดี เพราะผมไม่เคยพูด .ผมมันงี่เง่าที่ไม่กล้าเล่าเรื่องคุณแม่ของเธอให้ฟังเลย หรือบางเรื่องที่ผมไม่สามารถเล่าให้เธอที่ยังเป็นเด็กฟังได้ เพราะเธอจะไม่เข้าใจ มันทำร้ายจิตใจเด็กน้อยแบบเธอเกินไป ผมเองที่อ่อนแอกว่าลูกผมเสียอีก “

เขาเล่าต่อว่า เสี่ยวอิ๋งเคยถามถึงแม่ของเธอ หยางหยางฝืนทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมาให้ลูกสาวเห็น เขาพูดไม่ออกด้วยซ้ำ เด็กหญิงเห็นสีหน้าคุณพ่อของเธอก็บอกเพียงว่า เธอรอได้ นั่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของหยางหยาง จนบัดนี้หยางหยางยิ่งไม่กล้าบอก และบางเรื่องที่นอกจากเรื่องของแม่ของเสี่ยวอิ๋งก็ยิ่งไม่กล้าพูด


“มีมากกว่าเรื่องของแม่ของเสี่ยวอิ๋งหรือครับ ?”
“ครับ ?”



คุณครูอี้เฟิงวางแก้วนมลง ขยับเข้าไปใกล้หยางหยางโดยเปลี่ยนที่นั่งจากโซฟาที่ตรงกันข้ามมา นั่งโซฟาที่อยู่ใกล้ข้าง ๆ กับหยางหยางแทน  เพราะชายหนุ่มพูดเสียงเบาลง


“นอกจากเรื่องของแม่เสี่ยวอิ๋งที่ผมปกป้องเธอจากการถูกลอบทำร้ายเอาไว้ไม่ได้แล้ว ความจริงอีกอย่างก็คือ ผมไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเธอครับ แม่ของเสี่ยวอิ๋งกับเพื่อนของผมต่างหากที่เป็นพ่อแม่จริง ๆ ของเธอ ผมรับเธอมาเลี้ยงตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้ แต่ผม..รักเสี่ยวอิ๋งยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียอีกนะ สาบานว่าจะปกป้องให้ได้ เธอเป็นดวงใจของผม ”










อย่างนี้นี่เองน่ะหรือ ความจริงทั้งหมด...  ความคิดหนึ่งที่วนอยู่ในหัว มีจังหวะเท้าที่เงียบเชียบคู่หนึ่งเดินจากโถงตรงนั้นไป









-----------------------ที่สุดของดวงใจ ------------------------






เสี่ยวอิ๋งไม่รู้ในตอนนี้จะดีกว่า..มั้งนะ



หลังจากที่อี้เฟิงได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดที่คุณพ่ออย่างหยางหยางเล่าให้ฟัง อีกฝ่ายเล่าทั้งที่บางอย่างจุกในลำคอ เขาคงอยากมีคนระบายความในใจบ้าง ซึ่งก็มาพบกับคุณครูแบบเขา ก็เหมือนกับการปรึกษาในลักษณะหนึ่ง อี้เฟิงให้ความเห็น หยางหยางในฐานะครูคนหนึ่งว่า


“ผมคิดเอาเอง ในมุมของผมว่า เสี่ยวอิ๋งในตอนนี้ยังเด็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องที่โหดร้ายเช่นนี้ ผมแนะนำให้คุณอย่าเพิ่งพูดกับเธอจนกว่าเธอจะโตกพอที่จะรับเรื่องเช่นนี้ได้”


เมื่อบอกกับคุณพ่อของลูกสาวตัวน้อยไป เหมือนไหล่กว้างของหยางหยางจะสั่นไหวเล็ก ๆ เหมือนพบกับความหนาวเหน็บบางอย่างที่พัดผ่านเข้ามา อี้เฟิงแค่ยกมือวางบนไหล่ของอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีที่ระบายอย่างอี้เฟิงอยู่ มือแกร่งข้างหนึ่งเอื้อมผ่านมาแตะวางมือบนมือของอี้เฟิงอีกทีและบีบเบา ๆ ไม่นานเขาก็ขอตัวกลับขึ้นไปจัดการงานที่คั่งค้าง


อี้เฟิงมองไล่หลังคุณหยางหยางคนนั้นไป . เขาดูโดดเดี่ยวและหนาวเหน็บเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอะไรแบบนั้น เขาก็นึกเปรียบเปรยไปเรื่อย ในใจนึกอยากจะสวมกอดให้เขาหายหนาว แต่เหมือนว่าจะยังไม่ใช่จังหวะที่เขาคนนั้นจะต้องการกอดนี้  อีกฝ่ายคงอยากดูคนเดียวในท่ามกลางพายุหิมะนั้นอีกพักใหญ่ คงอยากคิดหลาย ๆ เรื่อง 




และอีกอย่างที่อี้เฟิงสัมผัสจากหยางหยางได้




ยังมีบางอย่างหนักอึ้งอยู่ในใจของหยางหยาง ที่เล่าไม่หมด มีครู่หนี่งที่อี้เฟิงสังเกต  เขาเลี่ยงที่จะพูดถึงแม่ของเสี่ยวอิ๋งในบางประเด็น ทั้งแววตาดูทั้งเจ็บปวด แสนเศร้า โหยหา



เขาน่าจะ..อืม.. น่าจะรักเธอคนนั้น ที่เป็นแม่ของเสี่ยวอิ๋งมาก ๆ  อี้เฟิงประมวลผลจากการสังเกต ไหน แววตาที่แสดงอารมณ์ออกมา เขารู้ว่าท่านประธานคนนั้นกลั้นความรู้สึกไม่ให้แสดงอออกต่อหน้าเขามากแล้ว แต่ก็ยังมองเห็น แสดงว่าของจริงต้องมากกว่าหลายเท่า



รักมากขนาดไหนกัน ถึงจะเจ็บปวดได้มากถึงขนาดนั้น...ใบหน้าหวานก้มลงและพลางนึกใบหน้าและแววตาเมื่อคืนวานของหยางหยาง เขาอาจจะรู้สึกอิจฉาอยู่ก็ได้ เพราะใจของอี้เฟิงในตอนนี้เริ่มรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาแล้ว



แต่ทำไมต้องอิจฉาล่ะ อี้เฟิงไม่รู้ความสัมพันธ์ของหยางหยาง แม่ของเสี่ยวอิ๋งและพ่อแท้ ๆ ของเสี่ยวอิ๋งหรอก ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหน คน ๆ นั้นดูไม่อยากบอกอะไรอี้เฟิงไปมากกว่าที่อยากจะให้รู้ อี้เฟิงจะปล่อยเขาไป


ถ้ารู้มากกว่านี้ อี้เฟิงเองก็คงปวดที่ใจมากกว่าที่เป็นอยู่



เขาจะพักเรื่องนี้  อย่างไรเขาก็รู้แล้วแม่ของเสี่ยวอิ๋งมีที่มาที่ไปอย่างไร เขาก็เป็นแค่ครูครูพิเศษของเสี่ยวอิ๋ง ในฐานะครูก็ไม่ควรทำให้คุณพ่อคุณแม่และคุณป๊าของเสี่ยวอิ๋งผิดหวังที่จ้างเขามาดูแลลูกสาวของบ้านด้วยค่าจ้างสูงลิบ




----------------------------ที่สุดของดวงใจ---------------------------------


ที่เขานิ่งเงียบไปก่อนจะเล่า..ก็เพราะไม่อยากจะเล่าบางอย่างให้อี้เฟิงได้รับรู้ต่างหาก




หยางหยางมาทำงานเหมือนปกติในวันนี้  เช้านี้ก้เหมือนเคย เขาทักทายลูกสาวคนน่ารักแต่เธอเหมือนจะดูไม่เหมือนเดิมแต่หยางหยางก็คิดว่าอาจจะเนเพราะตัวเขาเองที่คิดมาก เรื่องราวมันมากมายจนทำให้จิตใจรวน ก่อนหันไปหาคุณครู ยิ้มของอี้เฟิงก็เป็นเครื่องเยียวยาให้หยางหยางได้อีกครั้ง 



ท่านประธานหยางกรุ๊ปหันออกนอกหน้าต่างมองไปที่อันแสนไกล งานบนโต๊ะยังมีมากมาย เรื่องราวการปะทะ เริ่มมีเข้ามาอีกเรื่อย ๆ มันเริ่มมีมาถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เขาต้องเพิ่มกำลังดูแลทั้งที่บ้าน ที่บริษัทหลาย ๆ แห่งในเครือ รวมทั้งทีมั่นฐานขององค์กรใต้ดินของเขาเองที่ตอนนี้จะต้องรื้อกันมา ให้มันมีอยู่อีกครั้ง อีกฝ่ายใช้วิธีรุนแรงแบบมาเฟีย เขาก็ต้องตอบโต้ด้วยวิธีเดียวกันถึงจะสมเป็นตัวเขา ช่วงนี้มีอะไรเข้ามาให้หยางหยางขบคิดมากมาย

เมื่อวานที่ได้มีโอกาสคุยกับคุณครูคนเก่งผู้เอาใจใส่ทุกคนรอบตัวเอง หลี่อี้เฟิงคนนั้นเป็นคนดีอย่างที่เขามองไว้ในครั้งแรก และยังไม่เปลี่ยนแปลง และเขามั่นใจว่าเด็กคนนั้นจะไม่เปลี่ยน ความใสบริสุทธิ์แบบนี้ทั้งที่ควรจะได้อยู่ในโลกธรรมดาไม่ต้องมาพบอันตรายในโลกมืดนี้แท้ ๆ แต่เหมือนอีกคนจะเข้าใจและเต็มใจลงมาหาเขาที่โลกนี้เสียแล้ว



ใช่ว่าจะไม่สังเกต คุณครูคนนั้นตั้งใจฟังเรื่องราวที่หยางหยางพูดทุกคำ ทุกประโยค อีกทั้งยังปลอบประโลมและมอบความอบอุ่นให้ แต่นั้น หยางหยางก็รู้สึกขอบคุณอี้เฟิงมากแล้ว


ส่วนเรื่องที่เขาตั้งใจว่า สักวันจะบอกให้อี้เฟิงรู้ เพราะหยางหยางก็เข้าใจตัวเองดีอยู่แล้ว  แต่เมื่อวาน เขาเงียบไป..ครู่ใหญ่ จนอี้เฟิงเงียบ นิ่งไป เหมือนจะไม่อยากรู้อะไรแล้ว เขาถึงจะบอกออกไป แต่มันก็ไม่หมด มันมีแค่บางเรื่องที่หยางหยางกล้าบอกออกไป



ความกลัว ความหวาดหวั่น ความอ่อนแอของตัวเขาเองเมื่อครั้งเก่าก่อน
บวกกับหากบอกไปทุกอย่าง สื่อทุกความรู้สึกออกไป จะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าที
แววตาของหยางหยาง ณ ขณะที่เล่าเรื่อง เขาห้ามไมได้ มันออกไปเอง ทั้งที่ตั้งใจจะเล่าให้มันเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุด



แต่เพราะเขารัก..เสวี่ยเอ๋อ มากขนาดไหน...
หยางหยางรักแม่ของเสี่ยวอิ๋ง  หวังเสวี่ยเอ๋อมากขนาดไหน ถ้าบอกเรื่องราวไปมากกว่านั้น
อี้เฟิงจะต้องไม่กล้าเข้าหาเขาไปมากกว่านี้แน่ ๆ คนอย่างหลี่อี้เฟิง..
..เสวี่ยเอ๋อเป็นคนที่หยางหยางรักมากที่สุดเท่าชีวิตในก่อนหน้านี้ ถึงจะบอกว่าเสวี่ยเอ๋อเป็นอดีตที่สวยงามแต่อี้เฟิงจะต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ และในที่สุด อี้เฟิงจะถอยกลับไป  อยู่ในที่ของตัวเองที่หยางหยางไม่สามารถดึงอีกฝ่ายมากอดได้ เขาสามารถเดินหน้าต่อไปได้แล้ว แต่หากว่าจะต้องมีอี้เฟิงเดินไปกับเขาด้วย



ความรู้สึกมันทับซ้อนกัน  ถ้าหากเขาบิดบังความรู้สึกตรงนี้ไว้ก่อน เขาไม่อยากเสียอี้เฟิงไป เขาโหยหายิ้มที่อบอุ่นนั้นเสียแล้ว
เสวี่ยเอ๋อ กับ อี้เฟิงต่างกัน แต่ทั้งคู่ทำให้ใจของหยางหยางเกิดความรู้สึกบางอย่างได้
แม้กับหวังเสวี่ยเอ๋อความรักต่อเธอจะฝังลึกในก้นบึ้ง เขาไม่เคยลืมความรู้สึกต่อหญิงสาวรักแรกผู้นี้ เธอจะไม่มีวันตายไปจากใจ
แต่หลี่อี้เฟิงคือแสงอาทิตย์ดวงใหม่กับความอบอุ่นที่หยางหยางไม่เคยเจอ ไม่เหมือนกัน สองคนไม่เหมือนกัน



แต่หยางหยางสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะเล่าในสักวัน เมื่อความรู้สึกอี้เฟิงมั่นคงต่อเขาและเขาโอบกอดอีกคนไว้ได้แน่น ๆ แล้ว
ขอให้ทั้งตัวเองและอี้เฟิงมีความกล้ามากพอที่จะ....รักกัน


เขาอยากลองที่จะรักอี้เฟิง ...ถ้าเขาทำได้ สาบานว่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด และจะปกป้องเอาไว้ กอดไว้แนบอก


จะกอดทั้งดวงใจและถือดาบปกป้องเอาไว้ ใครว่าจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกันไมได้  เขาทำได้แน่ ๆ



ถ้าจะเล่าให้อี้เฟิงฟัง เขาต้องมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ไปจากเขาแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะเล่าให้อี้เฟิงฟังโดยที่อีกฝ่ายรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องราวเรื่องหนึ่งของหยางหยาง








หยางหยางรักเสวี่ยวเอ๋อ แต่ฉิงเทียน ผู้ที่เป็นเพื่อนรักของหยางหยาง ก็รักเธอ
เขารักผู้หญิงคนเดียวกันกับเพื่อน
เขาจะทำลายสัมพันธ์ของทั้งเขาและเพื่อนรักฉิงเทียน และเขาและเสวี่ยเอ๋อได้อย่างไร



ทั้งสองเป็นเพื่อนรักของหยางหยางมาตั้งแต่สมัยเรียน อยู่ด้วยกันและเข้าใจกันทุกอย่าง แม้ว่าเมื่อเราเติบโต เราจำต้องแยกสายทางเดินไปกันคนละทางเพราะครอบครัว  เขาอยู่ในวงการมาเฟียแต่สองคนมีครอบครัวที่ทำงานในหน่วยงานทางการใหญ่มีหน้ามีตา ชื่อเสียงที่ดี  แต่สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ่นก็ไม่ขาดหาย และหยางหยางก็รู้ว่าเพื่อนรักของเขาทั้งคู่ก็รักกันมากกว่าที่หยางหยางจะแทรกผ่านไป สองคนรักกัน และหยางหยางก็รักทั้งคู่มาก เป็นหนึ่งไม่กี่คนบนโลกที่หยางหยางจะไม่ยอมเสียไป เขาที่อยู่ในวงการมาเฟียมาตั้งแต่อายุยังน้อย คุณพ่อที่เย็นชนกับคุณแม่ที่ไม่สนใจต่อโลก และจากไป เขามีเพื่อนรักสองคนที่อยู่ไม่ไกลกันคอยดูแล คอยมอบความอบอุ่นให้ แม้ว่าเขาจะเจ็บที่ใจมากเมื่อเห็นทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนแต่สองคนนั้นไม่ทำให้หยางหยางรู้สึกมีความสำคัญน้อยลงไปเลยแม้ว่าทั้งคู่ภายหลังจากกลายเป็นคู่รักกันมีลูกสาวที่น่ารักมาให้ชื่นชม เขาเป็นพ่อทูนหัวชองเด็กคนนั้นด้วย



 หยางหยางมั่นใจว่า เราสามคนจะไม่เปลี่ยนแปลง



เขาที่แอบรักเสวี่ยเอ๋อมานาน  นานจนจำไมได้แล้วว่า เขาตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ชื่อของเธอแม้เย็นจับหัวใจแต่หยางหยางชอบรอยยิ้มของยัยเจ้าหญิงหิมะที่มีเสน่ห์คว้าใจของเขา  เขาไม่เคยลืมยิ้มสวย ๆ ของเธอเลย



แน่นอน ฉิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี เพื่อนรักของเขาคนนี้รู้ถึงความรู้สึกของลูกผู้ชายด้วยกัน ในตอนแรกที่มีการประลองว่าใครจะคว้าใจของเสวี่ยเอ๋อไป แต่เมื่อคิดได้ก็รู้ว่าสาวน้อยของพวกเขาคงไม่ชอบใจแน่ ๆ กับการแข่งขันแบบนี้ ทั้งคู่จึงเหยียบเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ในที่สุดหยางหยางก็แพ้ตั้งแต่ไมได้แข่ง เสวี่ยวเอ๋อรัก เพื่อนของหยางหยางมาก เธอเคยมาเล่าความในใจกับหยางหยางว่าแอบรักฉิงเทียนมานานแล้วตั้งแต่เจอกัน ฉิงเทียนเป็นคนร่าเริง อัธยาศัยดี ในตอนนั้นหยางหยางตรงข้ามกับฉิงเทียนเขาเดือดพล่าน ใจร้อน ต้องมีใครคอยห้ามเสมอ ไม่เข้ากับใครบนโลกนี้เลย ยิ่งหลายคนรู้ว่าเขาเป็นลูกของเจ้าพ่อวงการมาเฟีย ก็ยิ่งไม่มีใครเข้าใจเขา และอยากเข้าใกล้ก็มีแค่ทั้งคู่จริง ๆ เขาเข้าใจดีที่หญิงสาวจะรักเพื่อนของเขา เหมาะสมกว่าจริง ๆ


“ฉันอยากดูแลฉิงเทียนมากกว่านี้ หยางหยาง นายคิดฉันควรจะบอกเขาไปมั้ย “ เสวี่ยเอ๋อในตอนนั้นมาปรึกษาหยางหยางด้วยประโยคนี้



เธอไว้ใจหยางหยาง ถึงได้มาเล่าให้ฟัง บอกความลับที่เก็บงำมาหลายปีให้เขาได้ฟัง แต่ความลับนี้หยางหยางไม่ได้อยากรู้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งรู้ก็ยิ่งเหมือนเหยียบย่ำใจเขา และหลังเวลานั้นไม่นาน เขาก็ได้ทำให้เรื่องราวมันเลวร้ายลงถึงขีดสุด



ชายหนุ่มกางมือออกมา พลิกฝ่ามือของตัวเอง และก้มลงมองดูมัน





หยางหยางอาจจะเป็นคนทำให้สองคนนั้นตาย ด้วยน้ำมือของเขาเองก็เป็นได้....


“ขอโทษ...”












“นายครับ!




ความคิดของหยางหยางโลดแล่นไปไกลมาก และกำลังจะทอดยาว แต่ต้องหยุดความคิดไว้กะทันหันเพียงเท่านั้น  อาเฉินเห็นเจ้านายนิ่งไปในการเรียกครั้งแรก เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต บาดแผลใหญ่ที่สุดในใจของทั้งตลอดชีวิต เขามักจะจมอยู่กับมันอยู่นาน  ใบหน้าหล่อเหลาปรับอารมณ์ก่อนหันเก้าอี้หมุนกลับไปนั่งแบบเดิม ที่โต๊ะทำงาน อาเฉินรอที่จะบอกเรื่องสำคัญที่เร่งด่วน




“คุณอี้เฟิงกับคุณหนูเสี่ยวอิ๋งพลัดหลงกันในห้างสรรพสินค้า ตอนนี้ยังหาตัวไม่พบครับ”




กลับมาปัจจุบัน อีกเรื่องที่เขากลัวจับใจ  กลัวจะเสียดวงใจคนสำคัญของเขาในตอนนี้ไป



-----------------------ที่สุดของดวงใจ ------------------------




“อย่างน้อยก็หลบตรงนี้ก่อนแล้วกัน”

เสี่ยวอิ๋งวิ่งหนีคนร้ายมาหลบที่ห้องลองเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เธอพลัดหลงกับพี่อี้เฟิง.... ที่จริง ๆ จะเรียกว่าพลัดหลงกันก็ไม่ได้


เธอแค่เพียงอยากอยู่คนเดียวบ้าง เป็นเด็กก็ใช่ว่าเธอไม่อยากเวลาใช่ความคิดเพียงลำพัง


เสี่ยวอิ๋งบอกว่าอยากออกมาห้างเพื่อซื้อของให้เสี่ยวอ้าย รบเร้าอยู่นานจนอาฟงและอี้เฟิงยอมพาออกมา  คาดว่าป๊าของเธอก็คงจะรู้เรื่องแล้ว และอนุญาต เพราะอาฟงที่เด็กน้อยรู้จัก เก่งเสียยิ่งกว่ายอดฝีมือคนไหน ๆ เท่าที่เธอรู้ ไหนจะพรรคพวกของคุณป๊าของเด็กน้อยที่อยู่รอบตัว



เสี่ยวอิ๋งเดินแยกตัวออกมา แอบลัดเลาะตามราวเสื้อผ้าในโซนขายเครื่องแต่งกายในห้าง หลบสายตาบอดี้การืดทุกตน เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเธอ มองยากอยู่แล้ว นั่นยิ่งทำให้เธอหลบออกมาได้ง่ายขึ้น



แต่เด็กหญิงไม่รู้ว่าความยุ่งยากจะเกิดขึ้น เพียงแต่เธอยากอยู่เพียงลำพังแค่นั้น




เธอนึกอยากโตเป็นผู้ใหญ่ดุ ก็เพราะดันไปได้ยินเรื่องที่ผู้ใหญ่ไม่อยากให้เธอรู้




หนึ่ง เธอรู้ตั้งแต่การรบเร้า เสี่ยวอิ๋งคัดคั้น อ้อนป้าหนิงจนใจอ่อน ถามเรื่องแม้ เพราะป๊าของเธอไม่ยอมบอก ป้าหนิงบอกว่า คุณแม่ของเธออยู่บนสวรรค์ เธอประมวลผลว่านั่นเท่ากับ คุณแม่จากไปแล้ว เมื่อทราบดังนั้น เด็กหญิงร้องไห้กอดเสี่ยวอ้ายเอาไว้นานเป็นวัน แต่เมื่อคุณป๊าของเธอกลับมา ก็จะต้องร่าเริงเอาไว้ เพราะคุณป๊าของเธอเหนื่อยมาก เธอไม่อยากให้คุณป๊ากลับมาเจอเธอหน้าบึ้ง ๆ แบบนั้นจะดูไม่น่ารักเอาเสียเลย เธอกลัวป๊าจะไม่กอดเธอ



แต่อีกเรื่องที่ทำร้ายจิตใจของเสี่ยวอิ๋งให้เป็นแผลใหญ่อีกแผล ตอนนี้เด็กหญิงคิดว่าใจเธอมีแผลสองแห่งใหญ่ มาก ๆ และเจ็บจนต้องหาที่ตะโกนร้องไห้ดัง ๆ นี่เป็นเหตุผลที่เธออยากห่างจากคนที่บ้าน บอดี้การ์ดของป๊า


คุณพ่อที่เธอรัก เคารพ และอยากอยู่ด้วยมากที่สุด ไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเธอ


เพียงแค่นั้นเธอก็น้ำตาไหลรินแล้ว หลังจากนั้น เธอก็ถอยออกมา แล้วกลับขึ้นไปบนห้อง ร้องไห้เงียบ ๆ ออกเสียงไม่ได้ เธอก็ยังคงอึดอัด


คืนนั้น เสี่ยวอิ๋งเพียงแค่อยากดื่มนมอีกซักแก้ว แต่คุณป๊าของเธอหายไป คุณครูก็ไม่อยู่ เธอจึงลองลงมาดู เจอคุณป๊าและคุณครูเคร่งเครียดกัน  เธอคิดเอาในครั้งแรก นึกโกรธป๊าและพี่อี้เฟิงที่มาอยู่ตรงนี้กันสองคน มองตากันอีกแล้ว แต่บรรยากาศมันดูไม่เหมือนเมื่อเช้า หรือเวลาอื่น เสี่ยวอิ๋งตัวน้อยสงสัยจึงนั่งเฝ้าดู และได้ยินบางอย่างเข้าที่เธอยังไม่ควรจะรู้ตอนนี้


“เจ็บจังเลย”  เด็กหญิงคิดอยู่เพียงแค่นี้ น้ำตาไหลอาบแก้ม ขดตัวอยู่ในห้องลองเสื้อผ้าไม่กล้า ไม่อยากออกไป ทั้งกลัวคนร้ายเจอและคนของบ้านตัวเองเจอด้วย



ไม่อยากพบใครเลย



เด็กหญิงร้องไห้เงียบเชียบ น้ำตาไหลอาบแก้มเนือง ๆ 




คนร้ายที่ไล่ล่าเธอก็คงเหมือนครั้งที่เธอเคยถูกจับตัวไป  ตอนนี้ป๊าคงจะรู้แล้ว เสี่ยวอิ๋งคิดเธอยังไม่ย้ายออกจากที่เดิมไปไหน  กลัวจะออกไปเจอใครต่อใคร


“อ้าว หนูจ๊ะ หลงกับคุณพ่อคุณแม่หรือ”

แต่มีพนักงานห้างคนหนึ่งที่เปิดประตูมาพบเสียก่อน เสี่ยวอิ๋งจำต้องออก เพราะมีลูกค้าของห้างจะต้องใช้ห้อง เธอเดินออกมาอย่างเสียไม่ได้






“ตายแล้ว”   เสี่ยวอิ๋งร้องตกใจ  คนที่เธอพบเป็นคนร้ายที่หมายจะทำร้ายเธอ แม้เธอจะกลัวสุดหัวใจ คิดถึงป๊าของตัวเองมาก แต่เพราะตัวเองทำเอง เธอคิดว่าเธอควรหนีไปให้พ้นก่อน  ตอนนี้เธอก็กลัวคุณป๊าดุเธอจับใจพอ ๆ กัน เวลาคุณป๊าของเธอโมโห เสี่ยวอิ๋งก็จะร้องไห้ออกมาทุกที เพราะความตกใจ



ขาเล็กพาเจ้าของวิ่งออกมาจากที่นั่นออกมาก่อน ทันทีที่คิดได้ เห็นลูกค้าคนหนึ่งเปิดประตูทางเข้าออกหลังห้าง คนร้ายเหมือนจะพลัดหลงกับเด็กน้อยแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปซ่อนที่แนวพุ่มไม้ เข้าไปให้ในสุดจนบังตัวเธอมิด เด็กน้อยกอดเข่าและนั่งนิ่ง





ก่อนร้องไห้ออกมา แต่ไม่สะอื้นให้ใคร ๆ ได้ยิน เธออยากร้องไห้ดัง ๆ แท้จะดันมาถูกไล่ล่าอีกแล้ว





คนพวกนั้นไม่เบื่อวิ่งไล่จับเธอบ้างหรือไง ทำไมต้องเอาตัวเธอไป เธอไม่ใช่ลูกป๊าเสียหน่อย  พอคิดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวอิ๋งก็ร้องไห้อีกครั้ง เด็กหญิงไม่เข้าใจผู้ใหญ่ว่า ไม่ใช่ลูกแล้วจะมาเลี้ยงทำไมกัน ไม่ใช่ลูกแล้วจะมารักทำมา มาลำบากทำอะไรมากมายให้เธอทำไมล่ะ โยนเธอออกจากบ้านเลยยังได้ แต่ป๊าของเธอก็ดูแลและมอบความรัก เพราะที่ป๊าบอกว่า ทำให้แม่ของเธอตายหรือ ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ป๊าของเธอมาลำบากเพราะเธอทำไม เธอไม่เข้าใจผู้ใหญ่



“แต่เสี่ยวอิ๋งรักป๊ามาเลยนะคะ.. ฮึก  แต่พอรู้ความจริง เสี่ยวอิ๋งก็เสียใจมาก ร้องไห้จนหายใจไม่ออกแล้ว”




เด็กหญิงพูดอู้อี้เสียงเล็กสะอื้นในพุ่มไม้






“เดี๋ยวแกก็จะได้ไม่ต้องหายใจแล้ว เด็กน้อย”







เด็กน้อยถูกเจอตัว เพราะเสียงสะอื้นน้อย ๆ ของตัวเอง เสี่ยวอิ๋งถูกยกตัวลอยมาจากพถ่มไม้ เธอกรีดร้องลั่น แต่โชคร้ายที่ไม่มีใครเห็นเธอเลย หลังห้างคนเข้าออกน้อยอยู่แล้ว


“ปล่อยหนูนะ !




คนร้ายจับเธอเหวี่ยงลงกับพื้นดินข้างพุ่มไม้แถวนั้น เหมือนคนร้ายจะมีความแค้นอะไรกับป๊าของเธอ เอาวัตถุบางอย่างที่เด็กสาวมองเห็นว่าน่าจะเป็นปืน และกำลังจะง้างไกยิง





เด็กหญิงหลับตาปี๋ไม่มอง เธอกลัวจับใจ ร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม  คิดถึงคุณป๊า คุณครู เสี่ยวอ้าย น้าหนิง  พี่เฉิน พี่ฟง ทุกคนที่เธอรัก



เสี่ยวอิ๋งรักป๊ามาก ๆ เลยนะคะ เสี่ยวอิ๋งเสียใจที่ทำตัววุ่นวายอีกแล้ว ถึงเสี่ยวอิ๋งจะไม่ได้เป็นลูกป๊าจริงๆ แต่ป๊าขา มาช่วยเสี่ยวอิ๋งด้วย เสี่ยวอิ๋งยังอยากอยู่กับป๊า เสี่ยวอิ๋งจะเป็นเด็กดีนะ







ปัง...




และไม่นานนัก เด็กหญิงตัวน้อยที่สั่นกลัว สะท้านไปทั้งร่างก็ถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นที่เธอคุ้นเคย





“ป๊า!....”





ชายพวกนั้นที่ตามล่าตัวเธอ หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ในช่วงที่เสี่ยวอิ๋งคิดถึงป๊านั้น ชายคนร้ายพวกนั้น ก็หายตัวไป เธอเบิกตามองหาอย่างตะลึงตกใจแต่ดีใจมาก ๆ ที่ป๊ามาหาเธอ




“ ป๊าหยางหยาง...ฮึก .... ของเสี่ยวอิ๋ง..ฮึก เป็นฮีโร่ที่เก่งที่สุดในโลก “





“ไม่เป็นไรแล้วนะคะ เด็กดีของป๊า” แขนเล็ ก ๆ โอบรอบคอคุณพ่อคนเก่งแนบแน่น  เธอไม่สนใจอะไรแล้ว ป๊าก็คือป๊า ป๊าของเสี่ยวอิ๋ง







---------------------------- ที่สุดขอดวงใจ ----------------------------






“ป๊า..ป๊าขา”




เสี่ยวอิ๋งร้องไห้อีกครั้ง ป๊าที่มาช่วยเธอดั่งฮีโร่แต่เธอไม่รู้ว่าป๊าสุดที่รัก ถูกยิงด้วยปืน เพราะหนูน้อยกลัวจนไม่รับรู้รอบข้างใด ๆ แล้ว แต่พอมองดูดี ๆ  เหมือนคุณครูจะถูกทำร้ายด้วยเหมือนกัน




“ไม่เป็นไรนะครับ ป๊าของเสี่ยวอิ๋งน่ะเก่งอยู่แล้ว”



คุณหยางหยางคนนั้นรุกไปช่วยลูกสาวทันที โดยไม่สนใจใครทั้งนั้น เมื่อออกตามหาทั่วบริเวณ มาพบกับอี้เฟิงที่ถูกร้ายอีกคน เขารู้สึกผิดที่ทำให้เด็กน้อยหายไป แต่หยางหยางไม่โทษอี้เฟิง แต่กลับไปว่ากล่าวลูกน้องแทน ยิ่งทำให้อี้เฟิงรู้สึกผิดมากไปกันใหญ่




อี้เฟิงออกตามหาเด็กน้อยไปทั่วไป เพราะกลัวจะเกิดเหตุการณ์เหมือนที่หยางหยางเคยเล่าให้ฟัง ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ  คนร้ายพวกนั้นก็คงมาจากแก๊งค์ไหน องค์กรไหนที่ไม่ถูกกับหยางหยางอีก ทีมหนึ่งของคนร้าย เหมือนจะแยกไปหาเสี่ยวอิ๋งนั่นยิ่งทำให้ทั้งอี้เฟิง อาฟง และบอดี้การ์ดลูกน้องของหยางหยางยิ่งร้อนรน หากหยางหยางมาเจอสถานการณ์ในตอนนี้  จะบอกว่าปีศาจสิงร่างก็ยังน่ากลัวน้อยกว่า อี้เฟิงได้ยินลูกน้องของหยางหยางคุยกันยังกลัวแทนจึงช่วยกันหา แต่ก็ถูกดักทำร้ายด้วยคนอีกทีม แต่ฝีมือของบอดี้การ์ดของหยางหยางไม่ใช่แค่คำขู่ พวกเขาเก่งและจัดการคนร้ายพวกนั้นในเวลาไม่นาน มีคนสองคนที่เข้ามาทำร้ายเขาอี้เฟิงที่ไม่เก่งก็สู้ได้พอตัว โดนเตะต่อย จัดการอีกคนได้แต่อีกคนก็เข้ามาปะทะ โชคดีที่คุณฟงช่วยเขาทัน หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงปืนมาจากอีกฟากไม่ไกลจากที่ที่ต่อสู้กันตรงบริเวณลานจอดรถหลังห้าง  เมื่อไปพบ ทีมของหยางหยางอีกทีมมาพบตัวเสี่ยวอิ๋งที่เกือบถูกฆ่า หยางหยางรับกระสุนแทนลูกสาว อย่างไม่คิดชีวิต เขาทันเห็นพอดี อี้เฟิงตกใจและรีบวิ่งเข้าไปหา แต่หยางหยางห้ามไว้ ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องจัดการพวกสารเลวที่หยางหยางเรียก  เขารีบพาลูกสาวให้พ้นจากที่นั่น แต่ในที่สุดคุณพ่อผู้รักลูกสาวสุดชีวิตก็หลบไป เพราะเสียเลือดมาก



ตอนนี้เขาแค่ได้ภาวนาว่าให้คุณพ่อฮีโร่ของเสี่ยวอิ๋งกลับมากอดปลอบลูกสาวที่ร้องไห้อยู่ตรงนี้ และรับคำขอโทษของอี้เฟิง





----------------------ที่สุดของดวงใจ ---------------------




“ป๊าขา อย่าว่าใครเลยนะ เสี่ยวอิ๋งหนีไปเอง” เป็นประโยคแรกที่หยางหยางได้ยินจากลูกสาว เธอเงียบไปนาน หยางหยางฟื้นขึ้นมา หลังจากที่สลบไปเป็นวัน เขาก็เฝ้ารอให้ลูกสาวพูดอะไร เธอนิ่งไม่ร้องไห้แล้ว แต่ก็ไม่พูดอะไรนานตั้งแต่เขาตื่นมา


“ทำไมหนูทำแบบนั้นล่ะคะ”



คุณพ่อทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง เขาพ้นจากขีดอันตรายได้หวุดหวิด ถูกยิงเฉียดจุดสำคัญไปเพียงนิดเดียว แต่เสียเลือดมาก เมื่อทำการรักษา หาเลือดมาทดแทนได้ทัน อาการก็คงที่และปลอดภัย ตอนนี้ถูกย้ายมาพักฟื้นแล้ว


สายตาคมกริบมองลูกสาวตัวน้อยที่เข้ามาประคอง มือใหญ่ลูบหัวเธอ พลางเสียงสั่น


“เสี่ยวอิ๋งไม่รักป๊าแล้วหรือคะ “
“รักมาก ๆ เลยค่ะ”
“แล้วทำไมถึงหนีป๊าไปแบบนี้ล่ะ หืม”



มือแกร่งพยายามจะกอดลูกสาว  ยัยตัวน้อยของหยางหยางคว้าเก้าอี้ใกล้ ๆ ของโรงพยาบาลปืนไต่ไปให้คุณป๊าของเธอกอดให้หายคิดถึง เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้ง


“ทำไมป๊า...ฮึก ...ถึงรักเสี่ยวอิ๋งล่ะค่ะ”
“ก็เพราะหนูเป็นลูกสาวของป๊าไงคะ”



หนูน้อยกอดคุณพ่อให้แนบแน่นโดยที่ไม่กระทบแผลใหญ่ที่ช่วงท้องของคุณป๊าไม่แน่ใจว่าร้ายแรง เป็นแผลใหญ่ขนาดนไหน แต่คุณหมและคุณพยาบาลที่รักษาคุณป๊าของเสี่ยวอิ๋งดูวุ่นวายและลำบากกันมากจนเธอใจแป้ว กลัวคุณป๊าของเธอจะเป็นอะไร


“ป๊าบอกว่าหนูไม่ใช่..ลูกป๊า.......นี่คะ”



เหมือนความคับข้องใจใจจะแสดงออกก็ตอนช่วงที่จิตใจหวั่นไหวที่สุด เด็กน้อยพูดเรื่องที่คิดมากอยู่ตลอดตั้งแต่ได้รู้ หยางหยางปล่อยกอดออกมา มองใบหน้าน่ารักของลูกสาวที่เต็มไปด้วยน้ำตา มือแกร่งและใหญ่เช้ดน้ำตาให้



“เสี่ยวอิ๋ง. หนูไปรู้มาจากไหน”



เด็กน้อยเบี่ยงหลบตาคุณป๊าที่รักของเธอ “เมื่อวานค่ะ หนูอยากดื่มนมน้ำผึ้งอีกแก้วจะไปขอป๊า เลยลงมาด้านล่างแต่ก็..”



เด็กน้อยน้ำตาไหลอีกครั้ง ยิ่งร้องไห้หยางหยางยิ่งเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีดกลางดวงใจ เขาก้มเอาหน้าผากฃนหาลูกสาวตัวน้อย


เป็นเขาเองที่ร้องไห้...




“หนูยังรักป๊ามั้ยคะ ไม่อยากอยู่กับป๊าแล้วหรือ”


เด็กน้อยส่ายหัวทันที  “ไม่ใช่ค่ะ อยากอยู่..แต่..หนู”



คุณพ่อหยางหยาง เอาตัวเล็กของลูกสาวเข้ามากอดไว้แน่น



“หนูเป็นลูกของป๊าหยางหยางคนนี้ค่ะ ไม่ว่าจะอย่างไร ป๊าอยากให้หนูเชื่อว่า ป๊ารักหนูมาก อย่าหนีป๊าไปอีกเลยนะคะ ขอโทษที่ปิดบังมาตลอดเลย แต่ป๊าสัญญานะว่าจะเล่าทั้งหมด ทุกอย่างให้ฟัง ในช่วงเวลาที่เหมาะสม หนูโตขึ้นจะได้รู้ ป๊าสัญญา”



เด็กน้อยดันอกคุณพ่อออกมา



“ป๊าขา ไม่ร้องนะคะ”



กลายเป็นเด็กน้อยปลอบคุณพ่อของเธอแทน สองพ่อลูกร้องไห้กันทั้งคู่ ไม่ว่จะอย่างไรเขาไม่เคยคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ถึงไม่ได้เป็นเลือดเนื้อของเขาแต่เขารักพ่อแม่ของเด็กคนนี้มาก และก็เช่นเดียวกันเสี่ยวอิ๋งก็เป็นหนึ่งในคนสำคัญ


“หนูเป็นลูกป๊านะ เสี่ยวอิ๋ง อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ”



หนูน้อยพยักหน้ารับคำ





เธอตัดสินใจแล้วว่า จะอยู่กับป๊าของเธอต่อ รอเวลาที่ป๊าจะบอกทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ใช่เธอเข้าไปบังเอิญได้ยินแบบที่เธอจะต้องเข้าใจผิดไปต่าง ๆ นานา อีก







“ป๊าอย่าโกรธพี่อี้เฟิงนะคะ พี่อี้เฟิงก็เจ็บเหมือนกัน ทีมุมปากมีแผลด้วยแหน่ะ”


เธอพูดเสียงอ่อย บอกเรื่องราวของคุณครู หลังจากที่อี้เฟิงและเสี่ยวอิ๋งรอการรักษาจากคุณหมออยู่หน้าห้องด้วยกัน เสี่ยวอิ๋งร้องไห้หนัก อี้เฟิงก็นั่งกอดและปลอบเธอ เสียงใสเล่าให้คุณพ่อฟัง แน่นอน หยางหยางก็ไม่คิดจะดุอี้เฟิงอย่างที่เธอกลัว



“ป๊าไม่ว่าพี่อี้เฟิงหรอกค่ะ แต่วันนี้คุณครูสอบตกการดูแลเสี่ยวอิ๋ง ป๊าว่าป๊าต้องทำอะไรซักอย่าง”
“อะไรคะ ?!



หนูน้อยเด้งตัว เบิกโตตกใจ ป๊าบอกว่าไม่โกรธแต่จะทำอะไรคุณครูของเธอ!




“ป๊าจะติวการดูแลเสี่ยวอิ๋งให้พี่อี้เฟิงเอง แบบพิเศษเลยดีมั้ย”
“เอ๋ ? ดีเลยค่ะ พี่อี้เฟิงน่ะ ให้การบ้านเสี่ยวอิ๋งเยะเลยล่ะ ป๊าเอาคืนให้เสี่ยวอิ๋งด้วยนะคะ”









สองพ่อลูกนี่เหมือนกันเหลือเกินนะ......







อี้เฟิงที่ยืนหลบอยู่หลังผนังห้องอีกฝั่งแอบหลบฟังสองพ่อลุกกันอยู่ตรงนั้น





หลังจากอี้เฟิงทำใจได้แล้วว่า เขาจะต้องสู้หน้าและเข้ามาขอโทษที่ดูแลลูกสาวที่รักของหยางหยางไม่ดี แต่ก็ไม่ได้ยิน การปรับทุกข์ พูดคุยกันสองพ่อลูก ก็ทำให้อี้เฟิงยิ้มออก ทั้งสองคนเหมือนกันมาก ถึงจะบอกว่าไม่ใช่พ่อลูกกันจริง ๆ ก็คงพูดได้ยาก เพราะตอนนี้ทั้งสองเข้าใจกันดีเหลือเกิน



แถมยังมาได้ยินที่คุณหยางหยางนั่นบอกว่าจะติวการดูแลเสี่ยวอิ๋งให้อีก


แบบนี้เขาคงโดนคุณประธานนั่นเอาคืนแทนลูกสาวที่ให้การบ้านเยอะแน่ ๆ  อี้เฟิงคิดในใจ และเขาก็ยิ้มออกมาได้เสียที โล่งใจที่อีกฝ่ายไม่โกรธเคือง เขากลัวจับใจ หากหยางหยางจะรู้สึกกับเขาเช่นนั้น เรื่องราวในครั้งนี้ อี้เฟิงทั้งกลัว กังวลไปต่างนานา คน ๆ นี้ใจดีกว่าที่อี้เฟิงคาด



ก็สมที่อี้เฟิงเสยพ์ติดความอบอุ่นจากเขา 





“พี่อี้เฟิงให้การบ้านเยอะแบบนั้นเชียว ? “
“ค่ะ ป๊า เยอะมาก ถึงเสี่ยวอิ๋งจะทำได้ แต่ก็เยอะมาก เข้าใจนะว่าพี่อี้เฟิงขาดสอน แต่มันเยอะไปแล้ว”




คุณครูคนเก่งโดนคุณหนูเสี่ยวอิ๋งเล่นงานเสียแล้ว หนูน้อยฟ้องที่เขาให้การบ้านเสี่ยวอิ๋มากไป แต่มันจำเป็นเขารู้สึกว่ามันจะต้องทดแทนในช่วงเวลาที่อี้เฟิงขาดสอนไป  ต้องโดนตาหยางหยางคนนั้นเอาคืนหนักแน่ ๆ อี้เฟิงคิดไปก็ปวดหัวกับความช่างแกล้งของอีกฝ่าย




“งั้นหรอ  โอเค ได้เลย ไว้ป๊าจะจัดการให้”



นั่นไง พูดไม่ทันจะขาดคำ หลังจากนี้อี้เฟิงคงโดนชายคนนี้แกล้งจนสนุกใจไปอีกพักใหญ่



“แต่ป๊าอย่าเอาคืนพี่อี้เฟิงเยอะนะคะ แบบว่าแค่แกล้งก็ได้อ่ะ แบบที่ป๊าแกล้งเสี่ยวอิ๋งกับเสี่ยวอ้าย”
“ก็ได้ เรานี่ยังเข้าข้างคุณครูไม่เปลี่ยนเลยนะ หืม”

พูดเหมือนหมั่นเขี้ยวคุณพ่อคนหล่อแกล้งน้อยใจที่ลูกสาว แบ่งความรักของเธอให้คุณครูคนเก่ง แต่นี่ล่ะ ที่หยางหยางอยากจะได้เห็น ถ้าเป็นอี้เฟิงล่ะก็ เขาก็ยอมอยู่แล้ว


“แน่นอนสิคะ เสี่ยวอิ๋งชอบพี่อี้เฟิงยิ้มที่สุด พี่อี้เฟิงยิ้มสวยมากเลย”



หยางหยางได้ยินเช่นนั้น เขาก็จุดยิ้มขึ้นมา  เสี่ยวอิ๋งกับเขาก็ช่างเหมือนกันเหลือเกิน




“ค่ะ ป๊าก็เหมือนกัน  ยิ้มพี่อี้เฟิงสวยเหมือนที่หนูว่า"
"จริงหรอคะ ? ป๊าก็คิดเหมือนเสี่ยวอิ๋งเลย พี่อี้เฟิงยิ้มสวยเนอะ"
"ใช่ค่ะ"





เอ๋?  คุณครูที่ได้ยินสองพ่อลูกคุยกันเช่นนั้น ก็เบิกตาตกใจ  อี้เฟิงคิดไปว่าทำไมหยางหยางถึงพูดกับลูกสาวแบบนั้น แต่ในใจก็โลดแล่น ใบหน้าหวานก็มียิ้มระบาย ยิ้มแบบที่พ่อลูกทั้งคู่ชอบ ดีใจที่ทำให้ทั้งคู่มีความสุขได้


“เหมือนกันเกินไปแล้ว พ่อลูกตระกูลหยาง”












เสียงหวานเอ่อยเบา ๆ กับตัวเอง  อี้เฟิงคิดว่าควรปล่อยให้ทั้งคู่อยู๋ด้วยกัน เวลาช่วงนี้มีไม่บ่อยนัก เพราะหยางหยางที่มีงานยุ่งตลอดเวลา จึงเป็นเวลาที่มีค่ายิ่ง

















เสี่ยวอิ๋งฟังป๊าของเธอเมื่อครู่ ป๊าของเธอรับคำเห็นด้วย   
หนูน้อยเงยหน้ามองใบหน้าของป๊าสุดหล่อของเธอ ณ ขณะที่ป๊าของเธอเอ่ยถึงพี่อี้เฟิง





ใบหน้าและแววตา ยามที่ป๊าของเธอคิดถึงพี่อี้เฟิง คุณครูของเธอ






มันเหมือนกับที่พระเอกคิดถึงนางเอก ในละครเรื่องโปรดของคุณป้าหนิงเลยล่ะ ... เสี่ยวอิ๋งคิดแบบเด็ก  ๆ เปรียบเทียบจากในละครที่เธอเคยดู






เด็กน้อยนั่งนิ่งมองใบหน้าของป๊า ป๊าของเธอก้มกลับมาหาเธอแล้ว ใบหน้าของเขาดูมีความสุข 









ในเรื่องนี้ ...ป๊าของเสี่ยวอิ๋ง ก็คงเหมือนเสี่ยวอิ๋งล่ะมั้ง ... 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น