วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[Fic] ที่สุดของดวงใจ : หยางเฟิง - CHAPTER : 3






TITLE :  ที่สุดของดวงใจ
CHAPTER :   3
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG - 13





----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




“ฝากดูแล คุณอี้เฟิงกับยายหนูด้วยนะ”




อี้เฟิงหันมองคนสองคนที่สนทนาอยู่ตรงนั้น เป็นคุณหยางหยางและบอดี้การ์ด คืออาเฉินที่ให้อยู่ประจำคอยดูแลที่บ้าน ตากลมโตมองทอดอีกครู่หนึ่ง เขาคงจะรีบไปทำงาน  ก่อนหันไปหานักเรียนตัวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม อี้เฟิงยิ้มให้เธอก่อนหันมองการทักทายของพ่อลูกทั้งสอง



“ป๊าคะ บ๊ายบ่าย”
“ค่ะ ป๊าไปก่อนนะ ฝากคุณครูด้วยนะครับ”
“ครับ”

ก่อนออกไป หยางหยางพยักหน้าให้อี้เฟิงเล็กน้อย เป็นเชิงทักทายและบอกลาก่อนออกไป เขามาถึงในช่วงที่คุณท่านประธานคนนี้มีงานด่วน จึงไม่ได้พูดคุยอะไรมากนัก


เขาตั้งใจจะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวันก่อนนี้ ที่ช่วยปลอบ...วันที่เกิดเหตุการณ์น่าตื่นเต้น เหมือนในละครที่เขาพูดติดตลกไป



เห้อ คุณครูลอบถอนหายใจเงียบ ๆ 



“คุณครูอี้เฟิง เราจะเรียนวิชาไหนเป็นวิชาแรกคะ ?”
“ครับ ? อืม.. วันนี้เริ่มด้วยภูมิศาสตร์ดีมั้ย”


คุณหนูตัวน้อยเรียกเขา เธอพร้อมจะเรียนแล้ว แม้ว่าจะมีเสี่ยวอ้าย แมวเหมียวตัวขาวขนฟูฟ่องอยู่บนโต๊ะเดินวนเวียนไปมา ป้วนเปี้ยน คอยอ้อนเจ้านาย ตอนนี้มันเริ่มคุ้นเคยกับอี้เฟิงที่กลายเป็นพี่ชายมัน(โดยปริยาย)บ้าง จึงแวะมาอ้อนด้วย ตลอดเวลาการสอน เสี่ยวอ้ายก็กลายเป็นนักเรียนคนหนึ่งไปด้วยแล้ว


“ตรงนี้เข้าใจนะครับ เสี่ยวอิ๋ง”
“แน่นอนค่ะ คุณครูอธิบายซะละเอียด จนเสี่ยวอ้ายหลับไปแล้วน่ะ”


เสี่ยวอิ๋ง เจ้าหญิงของบ้านหัวเราะร่า พลางลูบเสี่ยวอ้าย เจ้าแมวขี้เกียจไปด้วย คุณครูยกยิ้มหัวเราะตามไป บรรยากาศแบบนี้ ทำให้อี้เฟิงสบายใจ เขาชอบอยู่กับเด็ก ๆ เพราะมีแต่ความสดใสมอบให้ผู้คนรอบข้างเสมอ

“ถ้างั้น เราพักสมองกันแป๊บเนอะ”
“ค่า~~~


พอรับคำ เสี่ยวอิ๋งก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย นิดหน่อย พาเสี่ยวอ้ายออกไปวิ่งเล่นตรงสวนเล็ก ๆ ที่เดิม



ตอนนี้ก็เข้ามาร่วมอาทิตย์กว่าแล้วในการเรียนการสอนตัวต่อตัวกับคุณหนูตัวน้อยเสี่ยวอิ๋งแห่งตระกูลหยาง อี้เฟิงมาสายจนเลยเวลามื้อเที่ยงไป เขาโทรมาบอกคุณหยางหยางแล้ว โชคดีที่หลังวันนั้นเขาก็ได้แลกเบอร์โทรกัน ก็เผื่อในเวลาที่ติดขัดแบบนี้ล่ะ เพราะวันนี้เพราะติดคุยเรื่องโปรเจคเรียนจบกับอาจารย์ซึ่งเป็นความคืบหน้าในระยะใกล้เสร็จสมบูรณ์ เขาใกล้จะได้รับปริญญาแล้ว หากจะว่าไปแล้วในช่วงก่อนหน้าที่จะเจอกับตระกูลนี้ เขาก็หางานอยู่ หาไป ก็ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แม้จะไปสัมภาษณ์มา ที่ที่เรียกไป อี้เฟิงก็ยังไม่พอใจนัก เขาเลือกงาน แม้จะบอกว่างานสมัยนี้มันหายาก แต่การทำงานที่สบายใจที่สุดสำหรับอี้เฟิงมันสำคัญ เขาไม่อยากเปลี่ยนงานบ่อยมากขนาดนั้น


งานที่นี่ก็ดี อี้เฟิงไม่ปฏิเสธ เงินดี และผู้ร่วมงานอย่างคุณหนูเสี่ยวอิ๋งก็ดี 
แต่แวดล้อมและความเสี่ยงสูงจริง ๆ 


ให้สารภาพความจริง อี้เฟิงกลัวมากในตอนนี้ เกิดมาไม่เคยเจอสงครามย่อย ๆ แบบเมื่อวันนั้น เสียงดังลั่นสนั่นไปทั่วบริเวณแบบไม่เกรงกลัวกฎหมายอะไรกันเลย คนพวกนั้นก็ลงมือกันอย่างไม่เกรงใจ ฝ่ายหยางหยางเองก็คงไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาทำอะไรกันง่าย ๆ อี้เฟิงได้ยินเสียงทั้งคนสั่งการด้านนอก ทั้งเสียงปืนระงม รอบตัว จนเมื่อเงียบสงบลง เขาแทบหัวใจจะหยุดเต้น โชคดีที่รถคันนั้นเป็นรถกันกระสุน เขาไม่มีบาดแผลอะไร คุณหยางหยางปลอดภัยดี เพราะลูกน้องของเขามีฝีมือกันมาก ไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาทำร้ายไปไหน เขาไม่อยากคิดต่อ มันฟังดูน่ากลัว เหมือนในหนังในละคร เป็นสถานการณ์แบบที่คนธรรมดาอย่างหลี่อี้เฟิงไม่เข้าใจ

“สุดท้ายก็ยังไม่ได้ขอบคุณเขาจริง ๆ จัง ๆ เสียที”

แต่หลังจากวันนั้น แม้อี้เฟิงจะมาสอนคุณหนูเสี่ยวอิ๋งอย่างสม่ำเสมอ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่สนทนากับคุณหยางหยางเกินห้าประโยค เพราะท่านประธานหยางกรุ๊ปนั้นมีงานยุ่งแทบทุกวัน วิ่งเข้าออกหลากหลายกิจการของตัวเอง จนเรียกเหมือนว่าเขาไม่ได้พัก แต่ก็จะกลับมาหาลูกสาวในเวลาเที่ยง และเย็น เพื่อทานข้าวร่วมกับลูก เป็นคนที่เอาใจใส่ครอบครัวมาก รวมไปถึงคนในปกครองอื่น ๆ บอดี้การ์ด หรือลูกน้องผู้ติดตาม คุณน้าหนิงที่อี้เฟิงได้ทราบภายหลังว่าเป็นทั้งคุณแม่นมและแม่บ้านของตระกูลหยางก็ด้วย เขาให้ความเคารพกับคนในปกครอง ไม่เหมือนพวกคนที่มีอำนาจทั่วไป คุณหยางหยางคนนี้ แม้จะดูเย็นชา แต่รักพวกพ้อง และนึกถึงคนอื่น เป็นคนใจกว้าง แต่หากก็เด็ดขาดในทุกเรื่องต้องตัดสินใจ


คน ๆ นี้ทำให้อี้เฟิงมองโลกของมีอิทธิพลเปลี่ยนไป


ปกติก็เจอแต่พวกอวดเบ่ง ใช้อำนาจในทางที่อยากทำ กฎหมายไม่สนใจ เอาแต่ข่มเหงคนอื่น แต่ดูเหมือนคุณหยางหยางไม่น่าจะเป็นแบบนั้น เคยได้ยินจากข่าวที่ซุบซิบหลาย ๆ ที่ จากทั้งปากต่อปากในมหาวิทยาลัย  ทั้งอินเตอร์เนต ว่าเขาออกจากวงการไปแล้ว หรือที่จริงอาจจะเป็นคนทำให้วงการมาเฟียใต้ดินของเมืองนี้หายไปเองด้วยซ้ำ แต่ทั้งที่เขามีอำนาจมากมายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช้ทำอะไรไม่ดี..




แต่มันก็ยังสรุปไมได้ว่าเคยไม่เคยทำอะไร...ก่อนหน้านี้



ช่วยไม่ได้นี่... อี้เฟิงหลงเข้ามาพัวพันกับครอบครัวนี้แล้ว และคงจะต้องพัวพันไปอีกซักพัก  แม้จะยังกังวลกับเหตุการณ์อันตรายต่อชีวิตที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน



หลังจากชดใช้เงินหมด ก็คงจะได้มีชีวิตปกติแล้วล่ะนะ อี้เฟิง  คุณครูคิดกับตัวเองเช่นนั้น





“คุณหนู คุณครูอี้เฟิง พักทานของว่างกันก่อนนะคะ เดี๋ยวช่วงเย็นท่านประธานก็จะกลับมาทานข้าวเย็นด้วยนะ”







                   ถ้าหมดหนี้ อี้เฟิงเองก็คงเป็นอิสระจากอันตรายของคนในโลกนี้ล่ะ







                                          ----- ที่สุดของดวงใจ -----------------






หลังจากพักทานอาหารว่างกันแล้ว อี้เฟิงปล่อยให้คุณหนูเสี่ยวอิ๋งไปวิ่งเล่นนั้น เขาเรียกเด็กน้อยเข้ามาในบ้าน เพราะมองเห็นสภาพอากาศด้านนอกดูเหมือนว่าจะมีเมฆดำจะหอบพาเอาฝนมาแล้ว



“พี่อี้เฟิงคะ เสี่ยวอ้ายน่ะ....!”



เสี่ยวอิ๋งวิ่งตื่นตรงมาหาอี้เฟิง และโผเข้ากอดตรงเอว เธอเริ่มร้องไห้ แต่ไม่ฟูมฟาย เป็นเด็กที่คุมอารมณ์ตัวเองไว้ได้ แม้จะตกใจขนาดไหน


“ว่าไงครับ เสี่ยวอ้ายทำไม?”
“หายไป...หนูหาไม่เจอ พี่อี้เฟิง ตามหา...ฮึก..เสี่ยวอ้ายน่ะ “




เเต่สุดท้าย เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อย พอเริ่มเล่าก็เริ่มร้อง ประโยคไม่เป็นประโยคและในที่สุดเสี่ยวอิ๋งเริ่มสะอื้นออกมา แม้เธอจะกลั้นแต่เสียงก็ยังออกมา บอดี้การ์ดที่อยู่คุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ เข้ามาดูอาการ คุณน้าหนิงวิ่งมาจากห้องครัว หลังได้ยินเสียงสะอื้นของคุณหนูที่รักของเธอ คุณน้าปลอบเด็กหญิงจนหยุดร้องไห้ แต่เธอยังไม่หายสะอื้น อี้เฟิงสอดส่องสายตาหาแมวน้อยตัวนั้น อาจจะวิ่งเล่นกัน คลาดสายตาและหายไป

“หนูเรียกเท่าไหร่ เสี่ยวอ้ายก็ไม่ยอมออกมา ฮึก พี่อี้เฟิง เราไปตามหากันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวพี่กับคุณบอดี้การ์ดจะไปหาเอง เสี่ยวอ้ายน่าอยู่แถว ๆ นี้ เสี่ยวอิ๋งรออยู่ตรงนี้นะครับ”


อี้เฟิงลูบหัวเด็กหญิงปลอบใจและกอดเธออย่างนิ่มนวล เธอยังสะอื้นอยู่ แก้มเปรอะน้ำตาแต่ดูเข้มแข็งขึ้นมาแล้ว เมื่อได้รับการปลอบโยน ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนคุณครูจะลุกเดินยังสวน รบกวนให้คุณบอดี้การ์ดที่ดูแลอยู่ในตัวบ้านช่วยกันหาด้วย แต่ก็ปล่อยให้บางคนคอยดูเสี่ยวอิ๋งไว้ เขากลัวจะมีอะไรอันตรายเกิดขึ้น เพราะวันนี้คุณหยางหยางไปทำงาน เขารู้สึกเหมือนว่าอะไรก็ไม่ปลอดภัยซักอย่างเมื่อคน ๆ นั้นไม่อยู่





แต่..นี่เราเหมือนหวังพึ่งเขามากเกินไปมั้ยนะ และ.....มันตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราคิดถึงเขาเมื่อมันรู้สึกไม่ปลอดภัย



บ้าจริง นี่เราคิดอะไรอยู่กัน 



ขายาวสาวต่อไปรอบสวน ปลดความคิดที่วนไปมาในหัวทิ้งไป อี้เฟิงลองร้องเรียกเสี่ยวอ้ายดู บอดี้การ์ดที่รบกวนให้มาช่วยหาก็ลองทำด้วยบ้าง แต่ไม่แน่ว่าแมวน้อย หากไม่คุ้นกับใครก็คงจะไม่มาหากันง่าย ๆ แน่ กับอี้เฟิง เสี่ยวอ้ายอาจจะรู้สึกคุ้นเคยแล้ว เพราะเล่นด้วยกันและใกล้ชิดกันบ่อย เขาก็ชอบแมวเหมือนกัน แต่คุณบอดี้การ์ด อี้เฟิงก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเหมือนกันกับเขาหรือเปล่า



“เป็นไงครับ ?”
“ไม่เจอเลยคุณอี้เฟิง เราลองไปหาตำแหน่งอื่นดูมั้ย”



อี้เฟิงพยักหน้า รับข้อเสนอคุณบอดี้การ์ด แล้วให้คุณบอดี้การ์ดที่คุ้นกับทุกส่วนในบ้านแบ่งส่วนกันค้นหาแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล เสี่ยวอ้ายไม่ยอมออกมาหากันเลย



คุณครูคนเก่งเงยหน้ามองท้องฟ้าเพราะรู้สึกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนมาแต่ไกล ฝนใกล้จะตก แมวน้อยที่หลบอยู่ตรงไหนซักแห่งคงเปียกปอนและหนาวสั่น หากไม่ตามหาโดยเร็ว


เด็กหญิงคงใจสลายหากเพื่อนตัวโปรดหายไปแบบนี้ อี้เฟิงเองก็ไม่ชอบเห็นเด็ก ๆ เป็นทุกข์



“เสี่ยวอ้ายเคยออกไปนอกบ้านบ้างมั้ยครับ”
“เคยค่ะ เมื่อสามสี่เดือนก่อน เสี่ยวอิ๋งพาเสี่ยวอ้ายไปวน ๆ รอบบ้าน ป๊าไม่ให้ออกไปไหน แต่เสี่ยวอ้ายตกใจเสียงฟ้าร้องเลยวิ่งหนีไปพ้นรั้วบ้าน ดีที่ป๊าคว้ามันมาได้ทันก่อนจะโดนรถชนเอาน่ะค่ะ”



เด็กหญิงเล่าอย่างเรียบเชียวแต่เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อพูดถึงเพื่อนตัวโปรดที่หายไป เธอพยายามควบคุมอารมณ์ อี้เฟิงคิดว่าเด็กคนนี้โตกว่าอายุและเป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง หากเป็นเด็กทั่วไปก็คงร้องไห้หนักไปแล้ว



“เดี๋ยวผมจะไปหานอกบ้านดู”



ฝนตกซะแล้ว...ฟ้าก็ร้องดังเสียด้วย ...อี้เฟิงนึกที่เด็กหญิงเล่าว่า แมวน้อยขนฟูสีขาวตัวนั้นกลัวเสียงฟ้าร้องแบบนี้ คงเตลิดไปจริง ๆ หากมันต้องอยู่ลำพังไม่มีเจ้านายแบบนี้ด้วย



“คุณน้าหนิงครับ ขอยืมเสื้อกันฝนหน่อยสิครับ”



คุณน้าหนิงรีบไปเดินหาของที่อี้เฟิงต้องการหลังบ้าน  บอดี้การ์ดที่จะอยู่ดูแลบ้านทั้งหมด เหมือนเขาอยากจะแบ่งกำลังไปตามหาแมวน้อยกับอี้เฟิงด้วย พวกเขารู้ดีว่าความสุขของเจ้านายเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหากมีเหตุการณ์อันตรายแบบเมื่อวันนั้น กำลังคนเยอะ ๆ เพื่อดูแลปกป้องหัวใจของเจ้านายของเขาไว้ มันน่าจะดีกว่า และเขาก็ไม่ได้เป็นคนสำคัญถึงขนาดต้องมีใครดูแล แค่คุณครูสอนพิเศษคนหนึ่ง คงไม่มีใครมาอะไรด้วย

“เสี่ยวอิ๋งไปด้วยนะ พี่อี้เฟิง ถ้าเสี่ยวอิ๋งไป เสี่ยวอ้ายจะต้องออกมาหาแน่”


คุณหนูของบ้านวิ่งมาคว้ามือของคุณครูไว้เรียกร้องให้พาเธอไปด้วย นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่ เขาไม่มีความสามารถพอจะปกป้องเด็กน้อยได้ หากมีเหตุการณ์อันตรายคงลำบากมากแน่ ๆ เขาเองก็ยังเอาตัวเองแทบไม่รอด หากให้คุณหนูคนนี้ออกไปด้วย


“เสี่ยวอิ๋งรอ พี่อี้เฟิงกับเสี่ยวอ้ายอยู่ที่บ้านนะครับ”
“แต่—“
“นะครับ กลับมาปุ๊บเสี่ยวอ้ายต้องทั้งหนาวและหิวแน่ ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ เตรียมขนมอร่อยๆ นมอุ่น ๆ กับที่นอนนุ่ม ๆ ให้เสี่ยวอ้ายกันเนอะ”


อี้เฟิงบอกเด็กน้อย ยกมือนุ่มของตัวเองพลางลูบหัวเสี่ยวอิ๋งไปด้วย เธอสงบลงหลังจากที่งุ่นง่านอยู่ครู่ใหญ่ น้ำตาหยกใสของเด็กหญิงเอ่อล้นออกมา เธอร้องไห้อีกครั้ง กลั้นเสียงสะอื้น อี้เฟิงเกลี่ยน้ำตาให้เสี่ยวอิ๋งเบามือและมอบยิ้มที่ทำให้เด็กน้อยมั่นใจว่าคุณครูของเธอจะต้องพาเพื่อนรักของเธอกลับมาได้แน่


“พี่อี้เฟิงเป็นพี่ชายเสี่ยวอ้ายนี่ครับ เสี่ยวอ้ายต้องออกมาหาพี่อยู่แล้ว”


อี้เฟิงยิ้มส่งให้เด็กหญิงและหมุนตัวเดินออกไปนอกตัวบ้าน พลางสวมเสื้อกันฝน แต่ก็มีเสียงหนึ่งร้องขัด


“ไม่ได้หรอกนะครับคุณอี้เฟิง—“
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมน่ะเป็นแค่ครูสอนพิเศษ ใครเขาคงไม่เอาเรื่องอะไรด้วย ผมจะปิดฮู้ดเสื้อกันฝนบังหน้าไว้ด้วย เพื่อความสบายใจ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหน่า ผมวิ่งไวอยู่แล้ว ดูแลคุณหนูและบ้านนี้เถอะครับ”



อี้เฟิงบอกจบด้วยความตั้งใจเช่นนั้น ทำให้ทุกคนไม่กล้าขัดอะไรอีก เพราะอี้เฟิงย้ำชัดว่าจะไปคนเดียว





เสี่ยวอ้ายคงไม่อยู่ไกลบ้านนักหรอก







                                               ---- ที่สุดของดวงใจ----









“เสี่ยวอ้าย อยู่ไหน  นี่ฉันเองนะ”

ฝนก็ตกลงมาเหมือนแกล้งกันเล่น หนักเอาการ กางเกงขายาวที่อี้เฟิงสวมมา และรองเท้าผ้าใบเปียกโชกไปหมด โชคดีที่เสื้อกันฝนยังกันเปียกท่อนบนและฮู้ดก็ยังคลุมหัวไม่ให้เปียกได้อยู่


“ไปไหนนะ ออกมาไกลขนาดนี้เชียวหรอ”


หันไปมองทิศทางที่เดินออกมาจากตัวคฤหาสน์ตระกูลหยาง รู้สึกว่าก็ไกลสำหรับแมวตัวหนึ่งไม่น้อย ฝนยังตกต่อเนื่อง เบาบ้างหนักบ้าง ตามน้ำหนักของเมฆที่หอบเอาเม็ดฝนมามอบความชุ่มฉ่ำให้พื้นที่บริเวณนี้ คุณครูสาวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ อีกนิดหน่อย จะพ้นบล็อกถนนช่วงบริเวณของคฤหาสน์ตระกูลแล้ว


“เอ๊ะ นั่น เจ้าหมา หยุดนะ”



เขาพบแล้ว! เสี่ยวอ้ายยืนประจันหน้าทั้งที่ตัวเองเปียกปอนไปทั้งตัว ขนฟูฟ่องสีขาวนั้นลู่น้ำเรียบไปกับตัว ตรงหน้าเสี่ยวอ้ายมีหมาตัวใหญ่กว่าแมวน้อยสีขาวถึงสองเท่าตัว แต่แมวน้อยก็ไม่ถอยหนี แต่อี้เฟิงกลัวมันจะโดนกัด มีบาดแผลแล้วคงน่าสงสารไม่น้อย คุณครูจึงรีบวิ่งไปไล่หมาตัวนั้น โดยมีไม้ที่คว้าเอาได้แถวนั้น ไล่หมาตัวนั้นไป แม้ตัวเองก็กลัวหมาอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ยอมไป เมื่อฟ้าร้องครืนมาอีกครั้ง แต่นั่นก็ทำให้เสี่ยวอ้ายกระโจนหนีอี้เฟิงไปไกล หลบอยู่หลังพุ่มไม้ที่อยู่แถว ๆ รั้วบ้านของใครซักคน


“เสี่ยวอ้าย กลับบ้านกัน ฉันมารับแล้ว จำฉันได้มั้ย”


วิ่งมาไกลขนาดนี้เลย คงตกใจแถมยังมาเจอหมาตัวใหญ่ขนาดนั้นอีก อี้เฟิงคาดเดาเรื่องราวของเสี่ยวอ้ายพลางร้องเรียกให้แมวน้อยออกมาหาเขา ฟ้ายังร้องลั่นไม่หยุด พร้อมกับเม็ดฝนอีกห่าใหญ่ ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ร่างกายของอี้เฟิงรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาบ้าง จากทั้งความหนาวของทั้งลมและฝนทะลุผ่านเสื้อกันฝนและเสื้อผ้าของเขา เเละแถมเขายังรู้สึกเฉอะแฉะไปหมด


“เสี่ยวอ้าย ฉันอี้เฟิงไง ไปกินข้าวที่บ้านกันนะ”


อี้เฟิงลองเดินเลียบเคียงไปที่พุ่มไม้ที่แมวน้อยซ่อนตัวอยู่ด้วยความตกใจ เอามือแหวกพุ่มไม้ ก็เจอเสี่ยวอ้ายนอนอยู่กับที่แต่ตัวสั่นเพราะความกลัวและคงหนาวด้วย แววตาจ้องเขม็งมาทางผู้มาใหม่อย่างอี้เฟิง อี้เฟิงยื่นมือเข้าไปใกล้ แมวน้อยเองก็กลัวนักจึงยกฝ่าเท้าตะปบเข้าที่มือข่วนอี้เฟิงจนมีเลือดซึม แต่คุณครูก็ยังไม่ละความพยายาม เขาเข้าใจว่าแมวน้อยคงกลัวมาก


“ไม่ต้องกลัว ฉันเป็นพี่ชายนายไงเสี่ยวอ้าย เรากลับบ้านกันนะ”


และในที่สุดก็คว้าแมวน้อยตัวเปียกสีขาวมาไว้ในอ้อมอกได้ซักที




หือ ? คิดไปเองรึเปล่านะ ? เหมือนกับเขาจะสัมผัสอะไรได้ แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่คิดไว้หรือไม่ อี้เฟิงหันมองซ้ายขวาหน้าหลังไม่พบอะไรผิดปกติอย่างที่คิดกลัว ในเมื่อได้ตัวเสี่ยวอ้ายมาแล้วเขาก็ควรพาไปส่งเจ้านายที่รักของมันเสียที แมวในอ้อมอกของอี้เฟิงยังสั่นกลัวท่าทางมันหนาวเหลือเกิน



อืม



“แบบนี้ก็คงพอไหว ทนหน่อยนะเสี่ยวอ้าย จะถึงบ้านแล้ว”




เมื่อคิดได้ เขาก็ถอดเสื้อกันฝนที่สวมอยู่คลุมกันฝนให้เสี่ยวอ้ายทันที ถ้าเอาร่มมาคงเดินกันลำบากทั้งอุ้มแมว ทั้งเดินหาไปทั่ว จะให้ถือร่มไปเดินแหวก เดินลุยก็คงไม่ไหว ฝนตกหนักร่มก็คงกันอะไรไม่ได้มาก อย่างน้อยเสื้อกันฝนก็คลุมมิดหมด เขาคิดว่าดีทีเดียวที่เอาเสื้อกันฝนมาแทนร่ม



แต่ตอนนี้ให้เสี่ยวอ้ายไปก่อน เจ้าตัวเล็กนี่คงหนาวกว่าเขาแน่




อี้เฟิงรีบสาวเท้าเดินตรงกลับคฤหาสน์ตระกูลหยาง ความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี จึงรีบสาวเท้าก่อนที่มันจะมีอะไรขึ้นมา เม็ดฝนกระเซ็นเข้าหน้าเข้าตา มองทางลำบาก ตัวคุณครูเปียกปอนฝนจนชุ่มน้ำไปหมด อี้เฟิงคิดเอาว่ากลับไปก็ขออะไรเขาเปลี่ยนหน่อยแล้วกัน




เหมือนกำลังเข้ามาใกล้ ๆ เลยแฮะ รีบเดินดีกว่า



เหมือนอะไรแปลก ๆ ที่อี้เฟิงนึกกังวลจะเข้ามาใกล้ ถือว่าเป็นความคิดแปลกที่มาตามสัญชาตญาณในช่วงเวลามืดฟ้ามัวฝนแล้วกัน เท้าของเขาก้าวยาวอย่างเร่งรีบ




แต่ไม่กี่วินาทีที่อี้เฟิงก้าวเท้าออกเดินต่อเพื่อให้กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหยาง





หือ? 




แสงไฟ?  เหมือนมีไฟจากที่ไหนซักแห่งส่องมายังทิศทางที่เขาอยู่




รถ ? บ้าชิบ !







“เห้ย!



อยู่ ๆ รถยนต์คันสวยที่มาจากไหนซักที่ พุ่งตรงมาทางอี้เฟิง ตอนนี้เขาอยู่กลางถนน ตัวเองก็ไม่ทันสังเกต เพราะความรีบ โชคดีที่รถเจ้ากรรมเบรคทิ้งห่างจุดที่อี้เฟิงไปพอสมควร เหมือนคนขับจะสังเกตเห็นเขาผ่านไฟหน้ารถ 





เกือบ..ไป





อี้เฟิงที่ตั้งหน้าตั้งตากลับ เดินผ่านจุดสี่แยกที่จะเข้าถนนที่ตัดผ่านหน้าคฤหาสน์แต่ไม่ทันมองอะไร มีรถยนต์คันหรูหราวิ่งมาด้วยความเร็วที่เกือบจะชนอี้เฟิงอยู่แล้ว เขาตกใจแต่ก็ยังกอดแมวน้อยที่ห่อด้วยเสื้อกันฝนไว้กันอกแน่น ดีที่ไม่ทรุดล้มลงไปกับพื้น ไม่งั้นเขาคงได้แผล และโชคดีที่รถคันนี้เบรคทัน เขายังจ้องมองรถคันนั้นด้วยความตกใจอยู่ และเจ้าของรถก็เปิดประตูออกมา




“คุณอี้เฟิง!
“คุณหยางหยาง.....”


เจ้าของรถคันนั้นเป็นหยางหยางเอง อี้เฟิงเบิกตากว้างประหลาดใจ แต่ก็ดีใจที่เจอคนที่อยากเจอตอนนี้ที่สุด ความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนไม่ปลอดภัย และมีอะไรบางอย่างใกล้เข้ามา มันหายไปแล้ว

“คุณ...”
“เอ่อ...ผม”

และตรงหน้าเขาตอนนี้ หยางหยางกำลังวิ่งตรงมาหาอี้เฟิงทันที  ไม่มีอะไรในรถที่พอจะกันฝนกันหนาวได้ ท่านประธานจึงคว้าเอาสูทตัวหรูมาคลุมไหล่ให้คุณครูคนเก่งของบ้าน สายตาคมกริบมองผ่านมาในอ้อมกอดที่คุณครูเหมือนกำลังหอบอะไรมา เขาได้รับแจ้งจากคุณน้าหนิงว่าคุณครูออกมาหาเสี่ยวอ้ายได้ซักครู่ใหญ่แต่นานเกินไปก็ยังไม่กลับมาเสียที เขาจึงรีบกลับมา แต่ก็เกือบทำคุณครูเป็นอันตราย หยางหยางเงยหน้าสบตาตากลมของคนตรงหน้า เขารู้สึกว่าจะทำให้คน ๆ นี้โล่งใจอะไรซักเรื่อง




และความน่าสนใจของคุณครูสำหรับหยางหยางในวันนี้คือ เสื้อกันฝนที่ควรจะอยู่บนร่างของคุณครูกลับไปห่มให้แมวน้อยในอกแทน เหมือนที่มือจะมีเเผลเล็ก ๆ ด้วย คงโดนแมวจอมซนของบ้านเขาข่วนเอา




ฮึ...เชื่อเขาเลย... หยางหยางคิด



“ผมขอโทษที่เกือบชนคุณ..”
“ครับ ช่างมันเถอะ”


ท่านประธานส่งยิ้มให้ อี้เฟิงกดยิ้มรับ แต่ร่างกายของตัวเองก็รู้สึกหนาวมากเกินไปแล้ว และเหมือนอีกคนจะสังเกตเห็น มือแกร่งคู่นี้กระชับสูทที่คลุมร่างนุ่มนิ่มที่เปียกฝนให้และเปลี่ยนฝ่ามือต่างร่มน้อยบังเม็ดฝนให้คุณครู




“กลับบ้านกันเถอะครับ”



น้ำเสียงทุ้มบอกอี้เฟิงชัดถ้อยคำ เขาพยักรับพร้อมกอดกระชับแมวน้อยที่เหมือนจะหลับไปแล้วในอ้อมอกของตัวเอง












ในอีกฝั่งหนึ่ง บางอย่าง ที่อี้เฟิงรู้สึกถึง ได้รับทราบถึงข้อมูลที่สำคัญ


“ดุท่าทางเด็กหนุ่มคนนั้น ก็คงเป็นคนสำคัญของหยางหยาง”  เสียงของบางอย่างกรอกผ่านโทรศัพท์ส่งให้เจ้านายตัวเองรับทราบ










------------ที่สุดของดวงใจ -------------------










วันนี้หยางหยางอยู่ทำงานที่บ้าน




หลังจากวันแมวน้อยสองตัวเปียกปอน (เขาเผลอคิดไปแล้วว่าคุณครูก็คือพี่ชายของเสี่ยวอ้ายอย่างที่ลูกสาวเขาบอกจริง ๆ “



แต่วันนี้ครูคนเก่งของเขาขอลาหยุด เพราะวันนี้มีสอบแน่นอนว่า หลี่อี้เฟิงคนนั้นยังเป็นนักศึกษาเรื่องนี้เขาก็จำเป็นต้องอนุญาตไป แม้อยากจะพบคน ๆ นี้มากถึงขนาดคิดถึงเขาแล้ว



“ป๊าขา อยากเจอคุณครูจังเลยอ่ะ”
“ไว้พรุ่งนี้พี่อี้เฟิงจะมานะคะ แต่วันนี้ลูกสาวของป๊าอยู่ก็อ้อนป๊าก่อนนะ ช่วงนี้ติดคุณครูจนป๊าน้อยใจแล้วนะ”



ลูกสาวตัวเล็กของหยางหยางหัวเราะชอบใจเมื่อถูกคุณพ่อยังหนุ่มอุ้มสูงจนตัวลอย แถมยังหมุนไปรอบ ๆ เด็กน้อยรู้สึกเหมือนกำลังได้เล่นม้าหมุนแถมคุณป๊าของเธอก็อารมณ์ดีและยิ้มแย้ม เธอจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาด้วย


“ป๊าขา เเสี่ยวอ้ายก็คิดถึงพี่ชายด้วยล่ะค่ะ”
“งั้นหรือ”


คุณพ่อพยักหน้ารับเเละอุ้มลูกสาวไว้กับตัวแล้วพาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ที่จริงเสี่ยวอิ๋งก็ตัวโตขึ้นตามอายุแต่ดีที่แรงเขายังไม่ตก เขาอยากอุ้มลูกสาวที่รักของเขาไปนาน ๆ



เพราะรู้สึกเหมือนว่าได้ปกป้องคนที่รัก ให้อยู่ใกล้กับตัวนั้นดีที่สุด



เสี่ยวอ้ายเดินวนอยู่รอบบ้าน แต่มีบอดี้การ์ดคอยดูไว้อีกต่อ ไม่ได้ล่ามใส่โซ่ไว้แต่ก็ไมยอมให้คลาดสายตาอีก แมวน้อยจึงเบื่อที่จะให้มนุษย์รอบ ๆ เดินตามมัน จึงนอนแผละบนสนามหญ้าตากแดดอยู่กับที่ ทำเอาบอดี้การ์ดอมยิ้มขำแมวน้อย



“เหมือนจริง ๆ ด้วยล่ะค่ะ เสี่ยวอ้ายน่ะ”
“เหมือนพี่อี้เฟิงเลยนเนอะป๊า มองตาปุ๊บคิดถึงพี่อี้เฟิงปั๊บเล๊ย~~



หยางหยางลองมองแววตาเสี่ยวอ้ายแบบที่ลูกสาวทำดูบ้าง เขาเดินเข้าไปใกล้หน่อย แมวน้อยจ้องกลับมา สายตาคมจึงลองมองจ้องตากับแมวดู เป็นภาพที่แปลกตาไปหน่อย แต่เขาลองมองดูอย่างพิจารณา




ใบหน้ารูปหล่อยิ้มออกมาทันที จริง ๆ ด้วย 




รู้สึกตัว ก็พบว่าเขาคิดถึงคุณครูคนเก่งมากขึ้นกว่าเดิมเเล้ว






“เสี่ยวอิ๋ง ไปหาน้าหนิงก่อนนะคะ”



คุณพ่อปล่อยลูกสาวลงจะการโอบอุ้ม เธอทำตามคำสั่งของคุณพ่อ หลังจากลูกสาววิ่งไปคุยเล่นกับคุณแม่บ้าน มือแกร่งล้วงหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องสวยออกมา



วันนั้นทำไมเขาจะไม่รู้  คุณอี้เฟิงเองก็ดูเหมือนจะเซนส์ดีไม่น้อย ท่าทีของคุณครูบอกว่ารับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ตามมา




หยางหยางได้สั่งให้บอดี้การ์ดของเขาตามติดดูแลโดยไม่ให้อี้เฟิงรู้ตัว ถ้าหากคุณครูเขารู้ตัวคงต้องปฏิเสธไม่ให้ตามไปด้วยแน่ และคงอึดอัด เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ วันฝนตกวันนั้น หยางหยางที่ทราบว่า อี้เฟิงจะออกไปตามหาแมวน้อยคนเดียว เขาก็แทบจะเป็นบ้าแล้ว



คนที่เกี่ยวข้องกับหยางหยางอาจจะได้รับอันตรายทุกคน แม้จะเกี่ยวกันแค่ไม่มาก



วันนั้นเขาจึงรีบขับรถมา โดยไม่ทันได้ดู เกือบชนกับคนที่อยากพบในตอนนั้นมากที่สุด แต่โชคดีเหลือเกินที่คุณครูอี้เฟิงไม่เป็นไร และเจ้าพวกนั้นก็ยังไม่ลงมือ ก็คงอาจจะเพราะเขามาทันท่วงทีและเพราะกำลังแค่ดูว่าคน ๆ นี้อยู่ในสถานะอะไรกับเขา




“ดูแลเขาให้ดี อย่าให้เขารู้ล่ะ อย่าทำให้เขาอึดอัด”



เมื่อยกหูโทรหาลูกน้องในปกครอง เพียงแค่นั้นปลายสายก็รายงานความคืบหน้า ซึ่งเหตุการณ์ก็ยังคงเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หยางหยางก็กังวลจึงโทรเช็คเป็นระยะ


วันนั้น...ทั้งที่ตัวเองหนาวจนตัวสั่นแทบตายแท้ ๆ ....  ท่านประธานคิดพลาง ยิ้มน้อย ๆ จุดบนใบหน้า






อย่างน้อยเขาจะให้คุณครูที่ใสบริสุทธิ์มากขนาดเอาเสื้อตัวเองคลุมให้แมวแทนที่จะใส่เอาไว้เองเป็นอันตรายไมได้หรอก







                                               -------------ที่สุดของหัวใจ----------






“โดนแก้เยอะเหมือนกันแฮะ สงสัยก็คงจะต้องขอคุณหยางหยางหยุดงานบ้างแล้ว”



วันนี้อี้เฟิงโดนอาจารย์ที่ปรึกษาสับโปรเจคจบจนเสียเละ แม้จะตั้งใจทำไปดีแล้ว เขาก็อดเสียใจไมได้แต่เพราะว่ามันยังมีจุดที่ต้องแก้และไม่ผ่านอีกมาก อาจารย์ให้กำลังใจก่อนกลับ และให้เขานำมันกลับมาส่งอาทิตย์หน้า เพื่อน ๆ อี้เฟิงให้กำลังใจหน้าห้อง และเขาก็ขอตัวกลับทั้งเซ็ง ๆ แบบนั้น วันนี้เขาคงไม่ได้ไปสอนคุณหนูเสี่ยวอิ๋งหรอก ไม่มีกำลังจะสอนใครถ้าหากรายงานของตัวเองไม่ดี



“วันนี้แวะไปกินขนมหลังมหาลัยดีกว่าแฮะ”



ใบหน้าหวานยิ้มเมื่อนึกถึงของอร่อยเจ้าประจำที่ได้ทานบ่อย ๆ เขาเดินอ้อมไปหลังประตูของคณะที่เรียน ซึงคณะของอี้เฟิงตั้งอยู่ส่วนหลังสุดของมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ อี้เฟิงจึงออกทางประตูนี้เป็นประจำหากจะไปแวะร้านขนมเจ้าอร่อย แต่ก่อนหน้านี้เขามาด้วยรถบัสประจำทาง ซึ่งจะผ่านแค่เส้นทางด้านหน้ามหาวิทยาลัย ขาเข้ามาถึงคณะตัวเองก็ขอคิดรถเพื่อน ๆ มาเหมือนกัน ระยะทางมันไกลไม่ใช่เล่น



 “ไม่ได้แวะมาเลยนะช่วงนี้ อี้เฟิง”
“ก็ผมติดโปรเจค ช่วงนี้ทำงานพิเศษด้วยนะครับ”
“ขยันจริงนะเรา”
“ก็ต้องกินต้องใช้นี่หน่า”


ระหว่างที่รอขนมอร่อยจากร้านโปรด คุณพี่สาวในร้านชวนคุยด้วยท่าทางสบายอารมณ์และคุ้นเคยเพราะเขาเป็นลูกค้าขาประจำอยู่แล้ว อี้เฟิงบอกขอบคุณหลังจากได้รับขนมและจ่ายเงินไป



อีกแล้ว รู้สึกถึง..อะไรซักอย่าง..อีกแล้ว



ความรู้สึกคล้ายวันที่เขาไปตามหาเสี่ยวอ้ายวันนั้นกลับมาอีกครั้ง มันเหมือนกับว่า..มีใครคอยตามอยู่ แต่อี้เฟิงอาจจะกังวลไปเอง ใครล่ะจะมาตามเขา หรือเป็นพวกนักเลงที่มีเรื่องกันจนทำให้รถของคุณหยางหยางพังหรือ พอคิดดังนั้น ก็รีบก้าวเท้าให้เร็วกว่าเดิม หารถประจำทางที่มีคนเยอะ ๆ ขึ้นดีกว่าแท็กซี่ เพราะบางทีก็ไว้ใจไมได้เหมือนกัน



“อ๊ะ เดี๋ยว! --- ปะ ปล่อ---“



แต่ก่อนจะไปถึงที่ป้ายรถบัสประจำทางแถวนั้น เหมือนก้าวของอี้เฟิงจะช้าเกินไปสำหรับบางอย่างที่อี้เฟิงนึกกังวลมาตลอด














“คุณอี้เฟิงล่ะ ?”



เหมือนบอดี้การ์ดของหยางหยางที่ถูกส่งมาคาดการณ์ผิด ความกว้างของมหาวิทยาลัย บวกกับความไม่คุ้ยเคยในสถานที่ พวกเขาคลาดกับอี้เฟิงเสียแล้ว



“บ้าชิบ! ตามหาเร็ว มีทีมเราส่งมาบอกว่า เห็นรถแปลก ๆ ผ่านมาแถวมหาลัยนี้!







                                       --------------ที่สุดของดวงใจ----------






“ใครน่ะ พวกนาย เป็นใครกัน”




เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย น่าจะเป็นโกดังเก็บอะไรซักอย่าง ในตอนแรกที่ลืมตาขึ้นมา ก็คิดว่าตัวเองโดนดีเสียเเล้ว กับเรื่องเมื่อวันก่อนที่ไปมีเรื่องกับนักเลงแถนั้น อาจจะโดนกลับมาเเก้เเค้น  



"มึงยังไม่ตายตอนนี้หรอก ไอหนู ฮึ"



เจ้าคนที่ตรงหน้าที่เฝ้าอี้เฟิงบอก เมื่อเห็นอาการของเขาไม่ค่อยดี แม้จะตีหน้าเรียบเฉย ไม่อยากแสดงอการอะไร แต่ความกลัวมันฉาบหน้าของอี้เฟิงไม่สามารถเเฝงไว้ภายใต้ความเรียบเฉยที่พยายามแสดงออกมาได้เเล้ว มือที่ถูกมัดไว้แน่นก็สั่นเป็นเจ้าเข้า เขาพยายาม มองไปรอบ ๆ อีกที ใบหน้าหวานขมวดคิ้ว เหงื่อซึมตามไรผม ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ความกังวลยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเขามองทุกทิศทางแล้วว่ามันหนีได้ยากเหลือเกิน




"ทำไมกัน...จับผมมาทำไมพี่ เราไม่เคยมีมีเรื่องกันนี่"
"แต่กูมีเรื่องกับคนที่เป็นเจ้านายมึง หรือ.. อะไรนะอาซ่ง หยางหยาง มันเป็นอะไรของเด็กนี่?"



คนตรงหน้าอี้เฟิงหันไปถามคนที่ชื่ออาซ่งตามที่ชายคนนั้นเรียก อาซ่งคนนั้นหันมาตอบว่า ไม่รู้ แถมสบถด่ามาสองสามคำ




ห้ตายเหอะ...



คงมีใครเห็นเขากับคุณหยางหยางอยู่ด้วยกัน เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว




"ปล่อย..ปล่อยผมไปเหอะ พี่ ผมกับท่านประธานคนนั้นไม่มีความสัมพันธ์สำคัญ ๆ อะไรอย่างที่พี่คิดหรอก"
"หุบปากแล้วนั่งเงียบ ๆ "
"จริง ๆ นะพี่ผมไม่มีความสำคัญมากอะไรกับเขา ไม่มีประโยชน์"
"ถ้าไม่มีประโยชน์ พวกกูไม่จับมึงมาให้เสียดายแรง นั่งเงียบๆ หุบปากซะ "



แม้บอกว่าเดี๋ยวจะโดนแต่ชายตรงหน้าก็ฟาดกำปั้นหนัก ๆ ฟาดปากอี้เฟิงเข้าที่ใบหน้าหนึ่งครั้ง อาจจะเหมือนระบายอารมณ์หรืออะไรแต่นั่นทำให้อี้เฟิงเจ็บปวด ได้แผลที่มุมปากกลับมา เขาก็ได้เงียบจริง ๆ เเละก็เริ่มกลัวมากว่าเดิม เพราะคนตรงหน้าอาจจะใช้อาวุธอย่างอื่น อย่างปืนข้างตัวมาใช้กับอี้เฟิงหากยังทำตัวเสียงดังพูดมากอีก




ให้ตาย..ให้ตายเหอะ โชคร้ายไม่เปลี่ยนเลยหลี่อี้เฟิงเอ๊ย




เขาคิดทบทวน เมื่อมีเรื่องน่ากลัวกับชีวิตของตัวเองอีกครั้ง






อาจจะเพราะวันนั้นมีหนึ่งในพวกนี้เห็นเขาอยู่ในรถคันเดียวกับคุณประธานนั่น หรือวันฝนตกวันนั้นที่เขาออกมารับ






คิดไปก็รู้สึกว่าตัวเองเข้ามาพัวพันมากกว่าเดิมเสียแล้ว คงจะเลี่ยงเหตุการณ์แบบนี้ลำบากขึ้น 




ไม่อยาก..ไม่อยากตายที่นี่ มันบ้าชะมัดที่จะต้องมาทิ้งชีวิตไว้กับที่แบบนี้ ยังไมได้ทำอะไรที่ตั้งใจจะทำอีกมากมาย






พอมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่แบบนั้น แม้จะมีกำลังเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังคงกลัวปืนของคนพวกนี้อยู่ดี ตายไปไม่คุ้มกัน หากทำอะไรบ้า ๆ หือไม่คิดให้ดีก่อนจะทำ 




อี้เฟิงสูดลมหายใจลึก ๆ และใช้เวลาทำสติ ทำให้ตัวเองใจเย็นลงมากกว่า หลังพบว่าตัวเองกลัวจนแทบลนลานหนี เหงื่อที่ผุดทั้งร่างกายนั้นบ่งบอกถึงความตื่นเต้น ตื่นกลัว ตระหนก ทั้งหมดบอกได้เป็นอย่างดี



อืม..




มีคนหนึ่งนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ อีกสองคนเฝ้าอยู่หน้าประตู อีกสองคนยืนพูดคุยกัน อีกคนเหมือนกำลังติดต่อใครซักคนผ่านโทรศัพท์





ห้าคน..จะสู้ก็ไม่ไหวแน่ จะหนี..ยังไง อี้เฟิงสังเกตเห็นปืนที่พกติดกับตัวของทุกคนที่อยู่ในโกดังนี้กับเขา แบบนี้ไม่ไหวแน่  แต่เขากำลังเค้นหาวิธีเพื่อจะหนีออกไป อาจจะรอให้ใครซักคนหรือมากกว่านั้นออกไป เผื่อจะให้คู่ต่อสู้ลดเหลือน้อยลง แต่ก็ยังติดอยู่ที่ปืนพกพวกนั้นอยู่ดี




บ้าชิบ หลี่อี้เฟิงเอ๊ย!







“ว่าไง”
“พวกนั้นบอกว่า ไม่รู้ว่าเด็กนี่เป็นคนที่อยู่ในสถานะอะไร ไม่แน่ใจก็รู้ว่าต้องทำงานอะไรให้ตระกูลหยางแต่ไม่แน่ใจในเรื่องความสำคัญ”
“เอ้า จะเรียกเงินยังไงวะ”
“ก็ต้องรอเวลา ว่าฝั่งตระกูลหยางมันจะเคลื่อนไหวยังไง”



คนพวกนี้คงเป็นคนที่อยู่ในวงการอันตรายนั้นแน่ คิดไปวนไปวนมาในสมอง ความกลัวก็เริ่มผุดขึ้นมาในใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อี้เฟิงถูกจับมัดมืออยู่ตรงมุมห้อง แถมยังมีอีกคนนั่งเฝ้าอยู่แบบนี้




“เดี๋ยวกูมา เหมือนของที่เราสั่งจะมาส่งแล้ว”




มองบรรยากาศทั้งหมด อี้เฟิงคิดว่าของที่ว่าคงไม่ใช้พวกของใช้ทั่วไปแน่ ๆ  คนร้ายเดินออกจากโกดังไปสองคนแล้วในนี้เหลืออีกสามและสองคนนั้นยืนอยู่นั้นประตู โกดังนี้กว้างพอสมควร ...




อืม...อันตรายไปหน่อยมั้ย แต่เขาไม่อยากอยู่เฉย ๆ ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วย หรือจะตายอยู่ที่นี่หรือเปล่า





ไม่รู้ว่าคุณหยางหยางจะมาตามหาเราก่อนที่เราจะเป็นอะไรไปมั้ย




ถ้าอี้เฟิงจะลองขอให้หยางหยางลองส่งคนมาช่วย เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมมาช่วยหรือไม่ ..



แต่อี้เฟิงไม่อยากตายอยู่ที่นี่ มั่นใจว่าเขาสู้ผู้ชายพวกนี้ไมได้แน่ ทั้งร่างกาย ทั้งฝีมือ ไม่มีอะไรเทียบได้ เขาไม่ใช่พระเอกการ์ตูนที่จะมีลูกฮึดแล้วจะหนีรอด เขาที่ถูกมัดและไม่มีอาวุธ ลองได้สู้ ก็ถูกยิงตายอยู่ดี แม้จะไม่แน่ใจในจุดประสงค์ว่าอีกฝ่ายจับเขามาทำอะไรก็เถอะ




เมื่ออมองดูโดยรอบ โกดังนี้ทั้งกว้าง และยังมีกล่องไม้ใหญ่วางอยู่แทบทั่วบริเวณ มีแค่ส่วนที่เขาและคนร้ายอยู่ที่เป็นที่ว่างพอได้ทำอะไรบ้างอยู่





ลองดู..





“พี่ชาย ผมปวดฉี่ ขอไปฉี่หน่อยได้มั้ย”




ท่าทีของคนร้ายที่นั่งเฝ้าเขาอยู่สงสัยและทันทีที่อี้เฟิงเอ่ยอะไร เขายกมือคว้าปืนข้างลำตัวทันที  ทำให้เขาตกใจไปครู่แต่ก็กลับมาตั้งสติใจดีสู้เสือใหม่อีกรอบ


“เหอะพี่ ผมฉี่ราดตรงหน้าพี่ มันไม่ดี พี่ไปยืนเฝ้าผมด้วยก็ได้นะ”


คนร้ายดูไม่เชื่อเท่าไหร่ อี้เฟิงเซ้าซี้ไม่เลิก จนเกือบทำให้อีกฝ่ายโมโห แต่ในที่สุดก็



“มึงห้ามตุกติก กูเห็นว่ามึงยังมีราคาค่างวด เลยยังไม่ทำอะไร จำไว้ไอ้หนู”
“ครับพี่ ๆ “








อีกฝ่ายลุกมาทางที่อี้เฟิงนั่งอยู่ ดึงรั้งร่างอี้เฟิงที่ถูกมัดให้ฉุดให้ลุกขึ้นยืน




ฮึ....  แม้ว่าไม่รู้ผลที่ตามมาแต่ก็ลองดูก่อน




“โอ๊ย”
“อะไรของมึงเนี่ย แค่นี้ก็ล้ม”



เขาโดนบ่นที่แสร้งล้มลงไปตรงจุดนี้ แต่ตรงนี้มีข้าวของของอี้เฟิงวางอยู่ เขาโทรศัพท์มือถือของเขาวางอยู่บนกระเป๋าสะพาย พอแกล้งล้มก็ฉวยโอกาสคว้ามันมา





  ถ้าคุณหยางหยางไม่มาช่วย ก็ค่อยว่ากัน






อี้เฟิงตั้งใจจะโทรหาหยางหยางเพื่อขอความช่วยเหลือดูก่อน ถ้าเขายอมมาช่วยจะให้ทำอะไรก็ยอม ให้รอดไปจากที่บ้า ๆ นี่ได้ก็พอ






ชายคนนั้นพาอี้เฟิงไปแถว ๆ กล่องไม้ที่วางอยู่เต็มพื้นที่ มีช่องว่างพอให้หลบทำธุระได้ ชายคนนั้นแก้มัดให้ที่ข้อมือให้แต่ก็ยังรั้งเชือกให้พันข้อมือไว้ กันอี้เฟิงจะหนีไป แม้ชายคนนี้จะรู้ว่ามีพวกของตัวเองล้อมอยู่เต็มแต่ก็ไม่ไว้ใจ



“รีบเข้า”




อี้เฟิงหลบไปหลังกล่องไม้สุดแถวที่พอจะคุยอะไรเบา ๆ ได้โดยชายคนนั้นไมได้ยิน โชคดีที่เชือกยาวพอดู เขารีบเดินหลบมา รู้สึกถึงความตึงของเชือก กลัวจะโดนจับได้เหมือนกันแต่ก็ต้องเสี่ยง









“คุณหยางหยาง...ผม...อี้เฟิงนะ”









                                   ------------------ ที่สุดของดวงใจ----------------------




“ไปจัดการซะ”




สิ้นเสียงสั่งการ หยางหยาบอกให้คนองตัวเองไว้ให้เรื่องการเตรียมการเพื่อไปช่วยคุณครูคนเก่งของเขา
หยางหยางบอกลาลูกสาวว่าไปทำงานด่วน แม้เหตุการณ์ที่บ้านจะดูวุ่นวาย ลูกสาวเขาฉลาดเกินอายุ ไม่บอกก็รู้แต่เธอไม่ถามอะไร พร้อมยิ้มให้กำลังคุณพ่อที่บอกว่าจะไปทำงานอย่างสดใส





นั่นยิ่งทำให้เขาต้องพาคุณครูคนเก่งคนนั้นกลับมาให้ได้





หืม?


เขาอุทานในใจเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ลั่นดังขึ้นมา หยางหยางคิดว่าอาจจะเป็หนึ่งในบอดี้การ์ดของเขา แต่ไม่ใช่..




“คุณหยางหยาง...ผม...อี้เฟิงเอง”




นั่นคือประโยคที่เขาได้ยินผ่านสายโทรศัพท์จากคนที่คิดถึงที่สุดในตอนนี้
“..คุณ..อี้เฟิง”





เขาแทบเป็นบ้า ความหนักอึ้งหายไปเกือบครึ่ง เมื่อรู้ว่าอีกคนยังปลอดภัยและยังมีสติโทรมาหาเขา คุณครูโดนจับไว้ที่ไหน แต่เขาไม่ซักถามให้มากความ



"คุณอี้เฟิง..."


แต่อีกฝ่ายไม่พูดต่อนอกจากบอกว่านั่นคือตัวเอง อาจจะแอบคุยอยู่ หลบคนร้ายที่อยู่ใกล้ ๆ  หยางหยางไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับมาแต่ยืนยันความตั้งใจที่ต้องทำให้สำเร็จในตอนนี้




“รอผม ผมกำลังไปหาคุณ”





อีกฝ่ายถอนหายใจผ่านโทรศัพท์มาให้หยางหยางได้ยิน มันแสดงถึงความโล่งใจของอีกคนปลายสายโทรศัพท์ของหยางหยาง





 ดีใจที่ได้ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า...เขาปกป้องอีกฝ่ายได้



หลังจากนั้นอี้เฟิงบอกอะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย สิ้นเสียงอี้เฟิงจากประโยค หยางหยางเหมือนได้ยินเสียงใครซักคนลอดผ่านโทรศัพท์เข้ามา และอีกฝั่งปลายสายก็ตัดสายไป




“ขอบคุณมากครับ..ผมจะรอ"




หยางหยางคิดถึงประโยคที่อี้เฟิงบอกเขาผ่านโทรศัพท์ด่วนมาเมื่อครู่ เขายกมือถือกดสายโทรออกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นสายถึงลูกน้องของหยางหยางซึ่งคนๆนี้จะเป็นผู้สั่งการไปยังคนอื่นๆ อีกที






"หาให้เจอโดยเร็ว แล้วเก็บอย่าให้เหลือ ฉันไม่มีเวลามากพอไปเล่นกับพวกมัน"







หลังจากเวลานี้  หยางหยางไม่มีเรื่องอื่นในหัว นอกจากความปลอดภัยและใบหน้าของหลี่อี้เฟิง









TBC  -------------ที่ สุ ด ข อ ง ด ว ง ใ จ------------------------------- CHAPTER : 4





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น