TITLE : ที่สุดของดวงใจ
CHAPTER : 3
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG - 13
RATE : PG - 13
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ฝากดูแล คุณอี้เฟิงกับยายหนูด้วยนะ”
อี้เฟิงหันมองคนสองคนที่สนทนาอยู่ตรงนั้น
เป็นคุณหยางหยางและบอดี้การ์ด คืออาเฉินที่ให้อยู่ประจำคอยดูแลที่บ้าน
ตากลมโตมองทอดอีกครู่หนึ่ง เขาคงจะรีบไปทำงาน ก่อนหันไปหานักเรียนตัวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม
อี้เฟิงยิ้มให้เธอก่อนหันมองการทักทายของพ่อลูกทั้งสอง
“ป๊าคะ บ๊ายบ่าย”
“ค่ะ ป๊าไปก่อนนะ ฝากคุณครูด้วยนะครับ”
“ครับ”
ก่อนออกไป หยางหยางพยักหน้าให้อี้เฟิงเล็กน้อย
เป็นเชิงทักทายและบอกลาก่อนออกไป เขามาถึงในช่วงที่คุณท่านประธานคนนี้มีงานด่วน
จึงไม่ได้พูดคุยอะไรมากนัก
เขาตั้งใจจะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวันก่อนนี้ ที่ช่วยปลอบ...วันที่เกิดเหตุการณ์น่าตื่นเต้น
เหมือนในละครที่เขาพูดติดตลกไป
เห้อ คุณครูลอบถอนหายใจเงียบ ๆ
เห้อ คุณครูลอบถอนหายใจเงียบ ๆ
“คุณครูอี้เฟิง เราจะเรียนวิชาไหนเป็นวิชาแรกคะ
?”
“ครับ ? อืม.. วันนี้เริ่มด้วยภูมิศาสตร์ดีมั้ย”
คุณหนูตัวน้อยเรียกเขา เธอพร้อมจะเรียนแล้ว
แม้ว่าจะมีเสี่ยวอ้าย แมวเหมียวตัวขาวขนฟูฟ่องอยู่บนโต๊ะเดินวนเวียนไปมา ป้วนเปี้ยน
คอยอ้อนเจ้านาย ตอนนี้มันเริ่มคุ้นเคยกับอี้เฟิงที่กลายเป็นพี่ชายมัน(โดยปริยาย)บ้าง จึงแวะมาอ้อนด้วย ตลอดเวลาการสอน
เสี่ยวอ้ายก็กลายเป็นนักเรียนคนหนึ่งไปด้วยแล้ว
“ตรงนี้เข้าใจนะครับ เสี่ยวอิ๋ง”
“แน่นอนค่ะ คุณครูอธิบายซะละเอียด
จนเสี่ยวอ้ายหลับไปแล้วน่ะ”
เสี่ยวอิ๋ง เจ้าหญิงของบ้านหัวเราะร่า
พลางลูบเสี่ยวอ้าย เจ้าแมวขี้เกียจไปด้วย คุณครูยกยิ้มหัวเราะตามไป บรรยากาศแบบนี้
ทำให้อี้เฟิงสบายใจ เขาชอบอยู่กับเด็ก ๆ เพราะมีแต่ความสดใสมอบให้ผู้คนรอบข้างเสมอ
“ถ้างั้น เราพักสมองกันแป๊บเนอะ”
“ค่า~~~”
พอรับคำ เสี่ยวอิ๋งก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย
นิดหน่อย พาเสี่ยวอ้ายออกไปวิ่งเล่นตรงสวนเล็ก ๆ ที่เดิม
ตอนนี้ก็เข้ามาร่วมอาทิตย์กว่าแล้วในการเรียนการสอนตัวต่อตัวกับคุณหนูตัวน้อยเสี่ยวอิ๋งแห่งตระกูลหยาง
อี้เฟิงมาสายจนเลยเวลามื้อเที่ยงไป เขาโทรมาบอกคุณหยางหยางแล้ว โชคดีที่หลังวันนั้นเขาก็ได้แลกเบอร์โทรกัน
ก็เผื่อในเวลาที่ติดขัดแบบนี้ล่ะ
เพราะวันนี้เพราะติดคุยเรื่องโปรเจคเรียนจบกับอาจารย์ซึ่งเป็นความคืบหน้าในระยะใกล้เสร็จสมบูรณ์
เขาใกล้จะได้รับปริญญาแล้ว หากจะว่าไปแล้วในช่วงก่อนหน้าที่จะเจอกับตระกูลนี้
เขาก็หางานอยู่ หาไป ก็ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แม้จะไปสัมภาษณ์มา ที่ที่เรียกไป อี้เฟิงก็ยังไม่พอใจนัก เขาเลือกงาน
แม้จะบอกว่างานสมัยนี้มันหายาก แต่การทำงานที่สบายใจที่สุดสำหรับอี้เฟิงมันสำคัญ
เขาไม่อยากเปลี่ยนงานบ่อยมากขนาดนั้น
งานที่นี่ก็ดี อี้เฟิงไม่ปฏิเสธ เงินดี และผู้ร่วมงานอย่างคุณหนูเสี่ยวอิ๋งก็ดี
แต่แวดล้อมและความเสี่ยงสูงจริง ๆ
งานที่นี่ก็ดี อี้เฟิงไม่ปฏิเสธ เงินดี และผู้ร่วมงานอย่างคุณหนูเสี่ยวอิ๋งก็ดี
แต่แวดล้อมและความเสี่ยงสูงจริง ๆ
ให้สารภาพความจริง อี้เฟิงกลัวมากในตอนนี้
เกิดมาไม่เคยเจอสงครามย่อย ๆ แบบเมื่อวันนั้น
เสียงดังลั่นสนั่นไปทั่วบริเวณแบบไม่เกรงกลัวกฎหมายอะไรกันเลย
คนพวกนั้นก็ลงมือกันอย่างไม่เกรงใจ ฝ่ายหยางหยางเองก็คงไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาทำอะไรกันง่าย
ๆ อี้เฟิงได้ยินเสียงทั้งคนสั่งการด้านนอก ทั้งเสียงปืนระงม รอบตัว
จนเมื่อเงียบสงบลง เขาแทบหัวใจจะหยุดเต้น โชคดีที่รถคันนั้นเป็นรถกันกระสุน
เขาไม่มีบาดแผลอะไร คุณหยางหยางปลอดภัยดี เพราะลูกน้องของเขามีฝีมือกันมาก
ไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาทำร้ายไปไหน เขาไม่อยากคิดต่อ มันฟังดูน่ากลัว
เหมือนในหนังในละคร เป็นสถานการณ์แบบที่คนธรรมดาอย่างหลี่อี้เฟิงไม่เข้าใจ
“สุดท้ายก็ยังไม่ได้ขอบคุณเขาจริง ๆ จัง ๆ
เสียที”
แต่หลังจากวันนั้น
แม้อี้เฟิงจะมาสอนคุณหนูเสี่ยวอิ๋งอย่างสม่ำเสมอ
แต่เขาก็ไม่ได้อยู่สนทนากับคุณหยางหยางเกินห้าประโยค
เพราะท่านประธานหยางกรุ๊ปนั้นมีงานยุ่งแทบทุกวัน
วิ่งเข้าออกหลากหลายกิจการของตัวเอง จนเรียกเหมือนว่าเขาไม่ได้พัก
แต่ก็จะกลับมาหาลูกสาวในเวลาเที่ยง และเย็น เพื่อทานข้าวร่วมกับลูก
เป็นคนที่เอาใจใส่ครอบครัวมาก รวมไปถึงคนในปกครองอื่น ๆ บอดี้การ์ด
หรือลูกน้องผู้ติดตาม คุณน้าหนิงที่อี้เฟิงได้ทราบภายหลังว่าเป็นทั้งคุณแม่นมและแม่บ้านของตระกูลหยางก็ด้วย
เขาให้ความเคารพกับคนในปกครอง ไม่เหมือนพวกคนที่มีอำนาจทั่วไป คุณหยางหยางคนนี้
แม้จะดูเย็นชา แต่รักพวกพ้อง และนึกถึงคนอื่น เป็นคนใจกว้าง
แต่หากก็เด็ดขาดในทุกเรื่องต้องตัดสินใจ
คน ๆ
นี้ทำให้อี้เฟิงมองโลกของมีอิทธิพลเปลี่ยนไป
ปกติก็เจอแต่พวกอวดเบ่ง
ใช้อำนาจในทางที่อยากทำ กฎหมายไม่สนใจ เอาแต่ข่มเหงคนอื่น
แต่ดูเหมือนคุณหยางหยางไม่น่าจะเป็นแบบนั้น เคยได้ยินจากข่าวที่ซุบซิบหลาย ๆ ที่
จากทั้งปากต่อปากในมหาวิทยาลัย
ทั้งอินเตอร์เนต ว่าเขาออกจากวงการไปแล้ว หรือที่จริงอาจจะเป็นคนทำให้วงการมาเฟียใต้ดินของเมืองนี้หายไปเองด้วยซ้ำ
แต่ทั้งที่เขามีอำนาจมากมายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช้ทำอะไรไม่ดี..
แต่มันก็ยังสรุปไมได้ว่าเคยไม่เคยทำอะไร...ก่อนหน้านี้
ช่วยไม่ได้นี่...
อี้เฟิงหลงเข้ามาพัวพันกับครอบครัวนี้แล้ว และคงจะต้องพัวพันไปอีกซักพัก
แม้จะยังกังวลกับเหตุการณ์อันตรายต่อชีวิตที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน
หลังจากชดใช้เงินหมด
ก็คงจะได้มีชีวิตปกติแล้วล่ะนะ อี้เฟิง คุณครูคิดกับตัวเองเช่นนั้น
“คุณหนู คุณครูอี้เฟิง พักทานของว่างกันก่อนนะคะ
เดี๋ยวช่วงเย็นท่านประธานก็จะกลับมาทานข้าวเย็นด้วยนะ”
ถ้าหมดหนี้
อี้เฟิงเองก็คงเป็นอิสระจากอันตรายของคนในโลกนี้ล่ะ
----- ที่สุดของดวงใจ -----------------
หลังจากพักทานอาหารว่างกันแล้ว
อี้เฟิงปล่อยให้คุณหนูเสี่ยวอิ๋งไปวิ่งเล่นนั้น เขาเรียกเด็กน้อยเข้ามาในบ้าน
เพราะมองเห็นสภาพอากาศด้านนอกดูเหมือนว่าจะมีเมฆดำจะหอบพาเอาฝนมาแล้ว
“พี่อี้เฟิงคะ เสี่ยวอ้ายน่ะ....!”
เสี่ยวอิ๋งวิ่งตื่นตรงมาหาอี้เฟิง
และโผเข้ากอดตรงเอว เธอเริ่มร้องไห้ แต่ไม่ฟูมฟาย
เป็นเด็กที่คุมอารมณ์ตัวเองไว้ได้ แม้จะตกใจขนาดไหน
“ว่าไงครับ เสี่ยวอ้ายทำไม?”
“หายไป...หนูหาไม่เจอ พี่อี้เฟิง
ตามหา...ฮึก..เสี่ยวอ้ายน่ะ “
เเต่สุดท้าย เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อย พอเริ่มเล่าก็เริ่มร้อง ประโยคไม่เป็นประโยคและในที่สุดเสี่ยวอิ๋งเริ่มสะอื้นออกมา แม้เธอจะกลั้นแต่เสียงก็ยังออกมา
บอดี้การ์ดที่อยู่คุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ เข้ามาดูอาการ คุณน้าหนิงวิ่งมาจากห้องครัว
หลังได้ยินเสียงสะอื้นของคุณหนูที่รักของเธอ คุณน้าปลอบเด็กหญิงจนหยุดร้องไห้
แต่เธอยังไม่หายสะอื้น อี้เฟิงสอดส่องสายตาหาแมวน้อยตัวนั้น อาจจะวิ่งเล่นกัน
คลาดสายตาและหายไป
“หนูเรียกเท่าไหร่ เสี่ยวอ้ายก็ไม่ยอมออกมา ฮึก
พี่อี้เฟิง เราไปตามหากันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวพี่กับคุณบอดี้การ์ดจะไปหาเอง
เสี่ยวอ้ายน่าอยู่แถว ๆ นี้ เสี่ยวอิ๋งรออยู่ตรงนี้นะครับ”
อี้เฟิงลูบหัวเด็กหญิงปลอบใจและกอดเธออย่างนิ่มนวล
เธอยังสะอื้นอยู่ แก้มเปรอะน้ำตาแต่ดูเข้มแข็งขึ้นมาแล้ว เมื่อได้รับการปลอบโยน
ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนคุณครูจะลุกเดินยังสวน
รบกวนให้คุณบอดี้การ์ดที่ดูแลอยู่ในตัวบ้านช่วยกันหาด้วย
แต่ก็ปล่อยให้บางคนคอยดูเสี่ยวอิ๋งไว้ เขากลัวจะมีอะไรอันตรายเกิดขึ้น
เพราะวันนี้คุณหยางหยางไปทำงาน เขารู้สึกเหมือนว่าอะไรก็ไม่ปลอดภัยซักอย่างเมื่อคน
ๆ นั้นไม่อยู่
แต่..นี่เราเหมือนหวังพึ่งเขามากเกินไปมั้ยนะ
และ.....มันตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราคิดถึงเขาเมื่อมันรู้สึกไม่ปลอดภัย
บ้าจริง นี่เราคิดอะไรอยู่กัน
บ้าจริง นี่เราคิดอะไรอยู่กัน
ขายาวสาวต่อไปรอบสวน
ปลดความคิดที่วนไปมาในหัวทิ้งไป อี้เฟิงลองร้องเรียกเสี่ยวอ้ายดู
บอดี้การ์ดที่รบกวนให้มาช่วยหาก็ลองทำด้วยบ้าง แต่ไม่แน่ว่าแมวน้อย
หากไม่คุ้นกับใครก็คงจะไม่มาหากันง่าย ๆ แน่ กับอี้เฟิง เสี่ยวอ้ายอาจจะรู้สึกคุ้นเคยแล้ว
เพราะเล่นด้วยกันและใกล้ชิดกันบ่อย เขาก็ชอบแมวเหมือนกัน แต่คุณบอดี้การ์ด
อี้เฟิงก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเหมือนกันกับเขาหรือเปล่า
“เป็นไงครับ ?”
“ไม่เจอเลยคุณอี้เฟิง
เราลองไปหาตำแหน่งอื่นดูมั้ย”
อี้เฟิงพยักหน้า รับข้อเสนอคุณบอดี้การ์ด
แล้วให้คุณบอดี้การ์ดที่คุ้นกับทุกส่วนในบ้านแบ่งส่วนกันค้นหาแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล
เสี่ยวอ้ายไม่ยอมออกมาหากันเลย
คุณครูคนเก่งเงยหน้ามองท้องฟ้าเพราะรู้สึกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนมาแต่ไกล ฝนใกล้จะตก
แมวน้อยที่หลบอยู่ตรงไหนซักแห่งคงเปียกปอนและหนาวสั่น หากไม่ตามหาโดยเร็ว
เด็กหญิงคงใจสลายหากเพื่อนตัวโปรดหายไปแบบนี้
อี้เฟิงเองก็ไม่ชอบเห็นเด็ก ๆ เป็นทุกข์
“เสี่ยวอ้ายเคยออกไปนอกบ้านบ้างมั้ยครับ”
“เคยค่ะ เมื่อสามสี่เดือนก่อน
เสี่ยวอิ๋งพาเสี่ยวอ้ายไปวน ๆ รอบบ้าน ป๊าไม่ให้ออกไปไหน แต่เสี่ยวอ้ายตกใจเสียงฟ้าร้องเลยวิ่งหนีไปพ้นรั้วบ้าน
ดีที่ป๊าคว้ามันมาได้ทันก่อนจะโดนรถชนเอาน่ะค่ะ”
เด็กหญิงเล่าอย่างเรียบเชียวแต่เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อพูดถึงเพื่อนตัวโปรดที่หายไป
เธอพยายามควบคุมอารมณ์
อี้เฟิงคิดว่าเด็กคนนี้โตกว่าอายุและเป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง หากเป็นเด็กทั่วไปก็คงร้องไห้หนักไปแล้ว
“เดี๋ยวผมจะไปหานอกบ้านดู”
ฝนตกซะแล้ว...ฟ้าก็ร้องดังเสียด้วย
...อี้เฟิงนึกที่เด็กหญิงเล่าว่า แมวน้อยขนฟูสีขาวตัวนั้นกลัวเสียงฟ้าร้องแบบนี้
คงเตลิดไปจริง ๆ หากมันต้องอยู่ลำพังไม่มีเจ้านายแบบนี้ด้วย
“คุณน้าหนิงครับ ขอยืมเสื้อกันฝนหน่อยสิครับ”
คุณน้าหนิงรีบไปเดินหาของที่อี้เฟิงต้องการหลังบ้าน บอดี้การ์ดที่จะอยู่ดูแลบ้านทั้งหมด
เหมือนเขาอยากจะแบ่งกำลังไปตามหาแมวน้อยกับอี้เฟิงด้วย
พวกเขารู้ดีว่าความสุขของเจ้านายเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหากมีเหตุการณ์อันตรายแบบเมื่อวันนั้น
กำลังคนเยอะ ๆ เพื่อดูแลปกป้องหัวใจของเจ้านายของเขาไว้ มันน่าจะดีกว่า
และเขาก็ไม่ได้เป็นคนสำคัญถึงขนาดต้องมีใครดูแล แค่คุณครูสอนพิเศษคนหนึ่ง
คงไม่มีใครมาอะไรด้วย
“เสี่ยวอิ๋งไปด้วยนะ พี่อี้เฟิง ถ้าเสี่ยวอิ๋งไป
เสี่ยวอ้ายจะต้องออกมาหาแน่”
คุณหนูของบ้านวิ่งมาคว้ามือของคุณครูไว้เรียกร้องให้พาเธอไปด้วย
นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่ เขาไม่มีความสามารถพอจะปกป้องเด็กน้อยได้
หากมีเหตุการณ์อันตรายคงลำบากมากแน่ ๆ เขาเองก็ยังเอาตัวเองแทบไม่รอด หากให้คุณหนูคนนี้ออกไปด้วย
“เสี่ยวอิ๋งรอ
พี่อี้เฟิงกับเสี่ยวอ้ายอยู่ที่บ้านนะครับ”
“แต่—“
“นะครับ
กลับมาปุ๊บเสี่ยวอ้ายต้องทั้งหนาวและหิวแน่ ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ เตรียมขนมอร่อยๆ
นมอุ่น ๆ กับที่นอนนุ่ม ๆ ให้เสี่ยวอ้ายกันเนอะ”
อี้เฟิงบอกเด็กน้อย
ยกมือนุ่มของตัวเองพลางลูบหัวเสี่ยวอิ๋งไปด้วย
เธอสงบลงหลังจากที่งุ่นง่านอยู่ครู่ใหญ่ น้ำตาหยกใสของเด็กหญิงเอ่อล้นออกมา
เธอร้องไห้อีกครั้ง กลั้นเสียงสะอื้น
อี้เฟิงเกลี่ยน้ำตาให้เสี่ยวอิ๋งเบามือและมอบยิ้มที่ทำให้เด็กน้อยมั่นใจว่าคุณครูของเธอจะต้องพาเพื่อนรักของเธอกลับมาได้แน่
“พี่อี้เฟิงเป็นพี่ชายเสี่ยวอ้ายนี่ครับ
เสี่ยวอ้ายต้องออกมาหาพี่อยู่แล้ว”
อี้เฟิงยิ้มส่งให้เด็กหญิงและหมุนตัวเดินออกไปนอกตัวบ้าน
พลางสวมเสื้อกันฝน แต่ก็มีเสียงหนึ่งร้องขัด
“ไม่ได้หรอกนะครับคุณอี้เฟิง—“
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมน่ะเป็นแค่ครูสอนพิเศษ
ใครเขาคงไม่เอาเรื่องอะไรด้วย ผมจะปิดฮู้ดเสื้อกันฝนบังหน้าไว้ด้วย
เพื่อความสบายใจ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหน่า ผมวิ่งไวอยู่แล้ว
ดูแลคุณหนูและบ้านนี้เถอะครับ”
อี้เฟิงบอกจบด้วยความตั้งใจเช่นนั้น
ทำให้ทุกคนไม่กล้าขัดอะไรอีก เพราะอี้เฟิงย้ำชัดว่าจะไปคนเดียว
เสี่ยวอ้ายคงไม่อยู่ไกลบ้านนักหรอก
---- ที่สุดของดวงใจ----
“เสี่ยวอ้าย อยู่ไหน นี่ฉันเองนะ”
ฝนก็ตกลงมาเหมือนแกล้งกันเล่น หนักเอาการ กางเกงขายาวที่อี้เฟิงสวมมา
และรองเท้าผ้าใบเปียกโชกไปหมด
โชคดีที่เสื้อกันฝนยังกันเปียกท่อนบนและฮู้ดก็ยังคลุมหัวไม่ให้เปียกได้อยู่
“ไปไหนนะ ออกมาไกลขนาดนี้เชียวหรอ”
หันไปมองทิศทางที่เดินออกมาจากตัวคฤหาสน์ตระกูลหยาง
รู้สึกว่าก็ไกลสำหรับแมวตัวหนึ่งไม่น้อย ฝนยังตกต่อเนื่อง เบาบ้างหนักบ้าง
ตามน้ำหนักของเมฆที่หอบเอาเม็ดฝนมามอบความชุ่มฉ่ำให้พื้นที่บริเวณนี้
คุณครูสาวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ อีกนิดหน่อย
จะพ้นบล็อกถนนช่วงบริเวณของคฤหาสน์ตระกูลแล้ว
“เอ๊ะ นั่น เจ้าหมา หยุดนะ”
เขาพบแล้ว!
เสี่ยวอ้ายยืนประจันหน้าทั้งที่ตัวเองเปียกปอนไปทั้งตัว
ขนฟูฟ่องสีขาวนั้นลู่น้ำเรียบไปกับตัว
ตรงหน้าเสี่ยวอ้ายมีหมาตัวใหญ่กว่าแมวน้อยสีขาวถึงสองเท่าตัว
แต่แมวน้อยก็ไม่ถอยหนี แต่อี้เฟิงกลัวมันจะโดนกัด มีบาดแผลแล้วคงน่าสงสารไม่น้อย
คุณครูจึงรีบวิ่งไปไล่หมาตัวนั้น โดยมีไม้ที่คว้าเอาได้แถวนั้น ไล่หมาตัวนั้นไป
แม้ตัวเองก็กลัวหมาอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ยอมไป เมื่อฟ้าร้องครืนมาอีกครั้ง
แต่นั่นก็ทำให้เสี่ยวอ้ายกระโจนหนีอี้เฟิงไปไกล หลบอยู่หลังพุ่มไม้ที่อยู่แถว ๆ
รั้วบ้านของใครซักคน
“เสี่ยวอ้าย กลับบ้านกัน ฉันมารับแล้ว
จำฉันได้มั้ย”
วิ่งมาไกลขนาดนี้เลย
คงตกใจแถมยังมาเจอหมาตัวใหญ่ขนาดนั้นอีก
อี้เฟิงคาดเดาเรื่องราวของเสี่ยวอ้ายพลางร้องเรียกให้แมวน้อยออกมาหาเขา
ฟ้ายังร้องลั่นไม่หยุด พร้อมกับเม็ดฝนอีกห่าใหญ่ ลมเริ่มพัดแรงขึ้น
ร่างกายของอี้เฟิงรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาบ้าง จากทั้งความหนาวของทั้งลมและฝนทะลุผ่านเสื้อกันฝนและเสื้อผ้าของเขา เเละแถมเขายังรู้สึกเฉอะแฉะไปหมด
“เสี่ยวอ้าย ฉันอี้เฟิงไง ไปกินข้าวที่บ้านกันนะ”
อี้เฟิงลองเดินเลียบเคียงไปที่พุ่มไม้ที่แมวน้อยซ่อนตัวอยู่ด้วยความตกใจ
เอามือแหวกพุ่มไม้ ก็เจอเสี่ยวอ้ายนอนอยู่กับที่แต่ตัวสั่นเพราะความกลัวและคงหนาวด้วย
แววตาจ้องเขม็งมาทางผู้มาใหม่อย่างอี้เฟิง อี้เฟิงยื่นมือเข้าไปใกล้
แมวน้อยเองก็กลัวนักจึงยกฝ่าเท้าตะปบเข้าที่มือข่วนอี้เฟิงจนมีเลือดซึม
แต่คุณครูก็ยังไม่ละความพยายาม เขาเข้าใจว่าแมวน้อยคงกลัวมาก
“ไม่ต้องกลัว ฉันเป็นพี่ชายนายไงเสี่ยวอ้าย
เรากลับบ้านกันนะ”
และในที่สุดก็คว้าแมวน้อยตัวเปียกสีขาวมาไว้ในอ้อมอกได้ซักที
หือ ? คิดไปเองรึเปล่านะ ? เหมือนกับเขาจะสัมผัสอะไรได้
แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่คิดไว้หรือไม่ อี้เฟิงหันมองซ้ายขวาหน้าหลังไม่พบอะไรผิดปกติอย่างที่คิดกลัว
ในเมื่อได้ตัวเสี่ยวอ้ายมาแล้วเขาก็ควรพาไปส่งเจ้านายที่รักของมันเสียที
แมวในอ้อมอกของอี้เฟิงยังสั่นกลัวท่าทางมันหนาวเหลือเกิน
อืม
“แบบนี้ก็คงพอไหว ทนหน่อยนะเสี่ยวอ้าย
จะถึงบ้านแล้ว”
เมื่อคิดได้ เขาก็ถอดเสื้อกันฝนที่สวมอยู่คลุมกันฝนให้เสี่ยวอ้ายทันที
ถ้าเอาร่มมาคงเดินกันลำบากทั้งอุ้มแมว ทั้งเดินหาไปทั่ว จะให้ถือร่มไปเดินแหวก
เดินลุยก็คงไม่ไหว ฝนตกหนักร่มก็คงกันอะไรไม่ได้มาก
อย่างน้อยเสื้อกันฝนก็คลุมมิดหมด เขาคิดว่าดีทีเดียวที่เอาเสื้อกันฝนมาแทนร่ม
แต่ตอนนี้ให้เสี่ยวอ้ายไปก่อน
เจ้าตัวเล็กนี่คงหนาวกว่าเขาแน่
อี้เฟิงรีบสาวเท้าเดินตรงกลับคฤหาสน์ตระกูลหยาง
ความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี
จึงรีบสาวเท้าก่อนที่มันจะมีอะไรขึ้นมา เม็ดฝนกระเซ็นเข้าหน้าเข้าตา มองทางลำบาก
ตัวคุณครูเปียกปอนฝนจนชุ่มน้ำไปหมด
อี้เฟิงคิดเอาว่ากลับไปก็ขออะไรเขาเปลี่ยนหน่อยแล้วกัน
เหมือนกำลังเข้ามาใกล้ ๆ เลยแฮะ รีบเดินดีกว่า
เหมือนอะไรแปลก ๆ ที่อี้เฟิงนึกกังวลจะเข้ามาใกล้
ถือว่าเป็นความคิดแปลกที่มาตามสัญชาตญาณในช่วงเวลามืดฟ้ามัวฝนแล้วกัน
เท้าของเขาก้าวยาวอย่างเร่งรีบ
แต่ไม่กี่วินาทีที่อี้เฟิงก้าวเท้าออกเดินต่อเพื่อให้กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหยาง
หือ?
แสงไฟ? เหมือนมีไฟจากที่ไหนซักแห่งส่องมายังทิศทางที่เขาอยู่
แต่ไม่กี่วินาทีที่อี้เฟิงก้าวเท้าออกเดินต่อเพื่อให้กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหยาง
หือ?
แสงไฟ? เหมือนมีไฟจากที่ไหนซักแห่งส่องมายังทิศทางที่เขาอยู่
รถ ? บ้าชิบ !
“เห้ย!”
อยู่ ๆ รถยนต์คันสวยที่มาจากไหนซักที่ พุ่งตรงมาทางอี้เฟิง ตอนนี้เขาอยู่กลางถนน ตัวเองก็ไม่ทันสังเกต เพราะความรีบ โชคดีที่รถเจ้ากรรมเบรคทิ้งห่างจุดที่อี้เฟิงไปพอสมควร เหมือนคนขับจะสังเกตเห็นเขาผ่านไฟหน้ารถ
อยู่ ๆ รถยนต์คันสวยที่มาจากไหนซักที่ พุ่งตรงมาทางอี้เฟิง ตอนนี้เขาอยู่กลางถนน ตัวเองก็ไม่ทันสังเกต เพราะความรีบ โชคดีที่รถเจ้ากรรมเบรคทิ้งห่างจุดที่อี้เฟิงไปพอสมควร เหมือนคนขับจะสังเกตเห็นเขาผ่านไฟหน้ารถ
เกือบ..ไป
อี้เฟิงที่ตั้งหน้าตั้งตากลับ เดินผ่านจุดสี่แยกที่จะเข้าถนนที่ตัดผ่านหน้าคฤหาสน์แต่ไม่ทันมองอะไร มีรถยนต์คันหรูหราวิ่งมาด้วยความเร็วที่เกือบจะชนอี้เฟิงอยู่แล้ว เขาตกใจแต่ก็ยังกอดแมวน้อยที่ห่อด้วยเสื้อกันฝนไว้กันอกแน่น ดีที่ไม่ทรุดล้มลงไปกับพื้น ไม่งั้นเขาคงได้แผล และโชคดีที่รถคันนี้เบรคทัน เขายังจ้องมองรถคันนั้นด้วยความตกใจอยู่ และเจ้าของรถก็เปิดประตูออกมา
“คุณอี้เฟิง!”
“คุณหยางหยาง.....”
เจ้าของรถคันนั้นเป็นหยางหยางเอง
อี้เฟิงเบิกตากว้างประหลาดใจ แต่ก็ดีใจที่เจอคนที่อยากเจอตอนนี้ที่สุด
ความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนไม่ปลอดภัย และมีอะไรบางอย่างใกล้เข้ามา มันหายไปแล้ว
“คุณ...”
“เอ่อ...ผม”
และตรงหน้าเขาตอนนี้
หยางหยางกำลังวิ่งตรงมาหาอี้เฟิงทันที ไม่มีอะไรในรถที่พอจะกันฝนกันหนาวได้
ท่านประธานจึงคว้าเอาสูทตัวหรูมาคลุมไหล่ให้คุณครูคนเก่งของบ้าน
สายตาคมกริบมองผ่านมาในอ้อมกอดที่คุณครูเหมือนกำลังหอบอะไรมา
เขาได้รับแจ้งจากคุณน้าหนิงว่าคุณครูออกมาหาเสี่ยวอ้ายได้ซักครู่ใหญ่แต่นานเกินไปก็ยังไม่กลับมาเสียที
เขาจึงรีบกลับมา แต่ก็เกือบทำคุณครูเป็นอันตราย
หยางหยางเงยหน้าสบตาตากลมของคนตรงหน้า เขารู้สึกว่าจะทำให้คน ๆ
นี้โล่งใจอะไรซักเรื่อง
และความน่าสนใจของคุณครูสำหรับหยางหยางในวันนี้คือ
เสื้อกันฝนที่ควรจะอยู่บนร่างของคุณครูกลับไปห่มให้แมวน้อยในอกแทน เหมือนที่มือจะมีเเผลเล็ก ๆ ด้วย คงโดนแมวจอมซนของบ้านเขาข่วนเอา
ฮึ...เชื่อเขาเลย... หยางหยางคิด
“ผมขอโทษที่เกือบชนคุณ..”
“ครับ ช่างมันเถอะ”
ท่านประธานส่งยิ้มให้ อี้เฟิงกดยิ้มรับ
แต่ร่างกายของตัวเองก็รู้สึกหนาวมากเกินไปแล้ว และเหมือนอีกคนจะสังเกตเห็น มือแกร่งคู่นี้กระชับสูทที่คลุมร่างนุ่มนิ่มที่เปียกฝนให้และเปลี่ยนฝ่ามือต่างร่มน้อยบังเม็ดฝนให้คุณครู
“กลับบ้านกันเถอะครับ”
น้ำเสียงทุ้มบอกอี้เฟิงชัดถ้อยคำ
เขาพยักรับพร้อมกอดกระชับแมวน้อยที่เหมือนจะหลับไปแล้วในอ้อมอกของตัวเอง
ในอีกฝั่งหนึ่ง ‘บางอย่าง’ ที่อี้เฟิงรู้สึกถึง
ได้รับทราบถึงข้อมูลที่สำคัญ
“ดุท่าทางเด็กหนุ่มคนนั้น ก็คงเป็นคนสำคัญของหยางหยาง”
เสียงของบางอย่างกรอกผ่านโทรศัพท์ส่งให้เจ้านายตัวเองรับทราบ
------------ที่สุดของดวงใจ -------------------
วันนี้หยางหยางอยู่ทำงานที่บ้าน
หลังจากวันแมวน้อยสองตัวเปียกปอน
(เขาเผลอคิดไปแล้วว่าคุณครูก็คือพี่ชายของเสี่ยวอ้ายอย่างที่ลูกสาวเขาบอกจริง ๆ “
แต่วันนี้ครูคนเก่งของเขาขอลาหยุด
เพราะวันนี้มีสอบแน่นอนว่า หลี่อี้เฟิงคนนั้นยังเป็นนักศึกษาเรื่องนี้เขาก็จำเป็นต้องอนุญาตไป
แม้อยากจะพบคน ๆ นี้มากถึงขนาดคิดถึงเขาแล้ว
“ป๊าขา อยากเจอคุณครูจังเลยอ่ะ”
“ไว้พรุ่งนี้พี่อี้เฟิงจะมานะคะ
แต่วันนี้ลูกสาวของป๊าอยู่ก็อ้อนป๊าก่อนนะ ช่วงนี้ติดคุณครูจนป๊าน้อยใจแล้วนะ”
ลูกสาวตัวเล็กของหยางหยางหัวเราะชอบใจเมื่อถูกคุณพ่อยังหนุ่มอุ้มสูงจนตัวลอย
แถมยังหมุนไปรอบ ๆ
เด็กน้อยรู้สึกเหมือนกำลังได้เล่นม้าหมุนแถมคุณป๊าของเธอก็อารมณ์ดีและยิ้มแย้ม
เธอจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาด้วย
“ป๊าขา เเสี่ยวอ้ายก็คิดถึงพี่ชายด้วยล่ะค่ะ”
“งั้นหรือ”
คุณพ่อพยักหน้ารับเเละอุ้มลูกสาวไว้กับตัวแล้วพาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน
ที่จริงเสี่ยวอิ๋งก็ตัวโตขึ้นตามอายุแต่ดีที่แรงเขายังไม่ตก
เขาอยากอุ้มลูกสาวที่รักของเขาไปนาน ๆ
เพราะรู้สึกเหมือนว่าได้ปกป้องคนที่รัก
ให้อยู่ใกล้กับตัวนั้นดีที่สุด
เสี่ยวอ้ายเดินวนอยู่รอบบ้าน
แต่มีบอดี้การ์ดคอยดูไว้อีกต่อ ไม่ได้ล่ามใส่โซ่ไว้แต่ก็ไมยอมให้คลาดสายตาอีก
แมวน้อยจึงเบื่อที่จะให้มนุษย์รอบ ๆ เดินตามมัน
จึงนอนแผละบนสนามหญ้าตากแดดอยู่กับที่ ทำเอาบอดี้การ์ดอมยิ้มขำแมวน้อย
“เหมือนจริง ๆ ด้วยล่ะค่ะ เสี่ยวอ้ายน่ะ”
“เหมือนพี่อี้เฟิงเลยนเนอะป๊า
มองตาปุ๊บคิดถึงพี่อี้เฟิงปั๊บเล๊ย~~”
หยางหยางลองมองแววตาเสี่ยวอ้ายแบบที่ลูกสาวทำดูบ้าง
เขาเดินเข้าไปใกล้หน่อย แมวน้อยจ้องกลับมา สายตาคมจึงลองมองจ้องตากับแมวดู
เป็นภาพที่แปลกตาไปหน่อย แต่เขาลองมองดูอย่างพิจารณา
ใบหน้ารูปหล่อยิ้มออกมาทันที จริง ๆ ด้วย
รู้สึกตัว ก็พบว่าเขาคิดถึงคุณครูคนเก่งมากขึ้นกว่าเดิมเเล้ว
รู้สึกตัว ก็พบว่าเขาคิดถึงคุณครูคนเก่งมากขึ้นกว่าเดิมเเล้ว
“เสี่ยวอิ๋ง ไปหาน้าหนิงก่อนนะคะ”
คุณพ่อปล่อยลูกสาวลงจะการโอบอุ้ม
เธอทำตามคำสั่งของคุณพ่อ หลังจากลูกสาววิ่งไปคุยเล่นกับคุณแม่บ้าน
มือแกร่งล้วงหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องสวยออกมา
วันนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ คุณอี้เฟิงเองก็ดูเหมือนจะเซนส์ดีไม่น้อย
ท่าทีของคุณครูบอกว่ารับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ตามมา
หยางหยางได้สั่งให้บอดี้การ์ดของเขาตามติดดูแลโดยไม่ให้อี้เฟิงรู้ตัว
ถ้าหากคุณครูเขารู้ตัวคงต้องปฏิเสธไม่ให้ตามไปด้วยแน่ และคงอึดอัด
เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ วันฝนตกวันนั้น หยางหยางที่ทราบว่า
อี้เฟิงจะออกไปตามหาแมวน้อยคนเดียว เขาก็แทบจะเป็นบ้าแล้ว
คนที่เกี่ยวข้องกับหยางหยางอาจจะได้รับอันตรายทุกคน
แม้จะเกี่ยวกันแค่ไม่มาก
วันนั้นเขาจึงรีบขับรถมา โดยไม่ทันได้ดู
เกือบชนกับคนที่อยากพบในตอนนั้นมากที่สุด แต่โชคดีเหลือเกินที่คุณครูอี้เฟิงไม่เป็นไร
และเจ้าพวกนั้นก็ยังไม่ลงมือ ก็คงอาจจะเพราะเขามาทันท่วงทีและเพราะกำลังแค่ดูว่าคน
ๆ นี้อยู่ในสถานะอะไรกับเขา
“ดูแลเขาให้ดี อย่าให้เขารู้ล่ะ
อย่าทำให้เขาอึดอัด”
เมื่อยกหูโทรหาลูกน้องในปกครอง
เพียงแค่นั้นปลายสายก็รายงานความคืบหน้า ซึ่งเหตุการณ์ก็ยังคงเรียบร้อยดี
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หยางหยางก็กังวลจึงโทรเช็คเป็นระยะ
วันนั้น...ทั้งที่ตัวเองหนาวจนตัวสั่นแทบตายแท้ ๆ ....
ท่านประธานคิดพลาง ยิ้มน้อย ๆ จุดบนใบหน้า
อย่างน้อยเขาจะให้คุณครูที่ใสบริสุทธิ์มากขนาดเอาเสื้อตัวเองคลุมให้แมวแทนที่จะใส่เอาไว้เองเป็นอันตรายไมได้หรอก
-------------ที่สุดของหัวใจ----------
“โดนแก้เยอะเหมือนกันแฮะ
สงสัยก็คงจะต้องขอคุณหยางหยางหยุดงานบ้างแล้ว”
วันนี้อี้เฟิงโดนอาจารย์ที่ปรึกษาสับโปรเจคจบจนเสียเละ
แม้จะตั้งใจทำไปดีแล้ว
เขาก็อดเสียใจไมได้แต่เพราะว่ามันยังมีจุดที่ต้องแก้และไม่ผ่านอีกมาก
อาจารย์ให้กำลังใจก่อนกลับ และให้เขานำมันกลับมาส่งอาทิตย์หน้า เพื่อน ๆ
อี้เฟิงให้กำลังใจหน้าห้อง และเขาก็ขอตัวกลับทั้งเซ็ง ๆ แบบนั้น วันนี้เขาคงไม่ได้ไปสอนคุณหนูเสี่ยวอิ๋งหรอก
ไม่มีกำลังจะสอนใครถ้าหากรายงานของตัวเองไม่ดี
“วันนี้แวะไปกินขนมหลังมหาลัยดีกว่าแฮะ”
ใบหน้าหวานยิ้มเมื่อนึกถึงของอร่อยเจ้าประจำที่ได้ทานบ่อย
ๆ เขาเดินอ้อมไปหลังประตูของคณะที่เรียน
ซึงคณะของอี้เฟิงตั้งอยู่ส่วนหลังสุดของมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ อี้เฟิงจึงออกทางประตูนี้เป็นประจำหากจะไปแวะร้านขนมเจ้าอร่อย
แต่ก่อนหน้านี้เขามาด้วยรถบัสประจำทาง ซึ่งจะผ่านแค่เส้นทางด้านหน้ามหาวิทยาลัย
ขาเข้ามาถึงคณะตัวเองก็ขอคิดรถเพื่อน ๆ มาเหมือนกัน ระยะทางมันไกลไม่ใช่เล่น
“ไม่ได้แวะมาเลยนะช่วงนี้ อี้เฟิง”
“ก็ผมติดโปรเจค ช่วงนี้ทำงานพิเศษด้วยนะครับ”
“ขยันจริงนะเรา”
“ก็ต้องกินต้องใช้นี่หน่า”
ระหว่างที่รอขนมอร่อยจากร้านโปรด
คุณพี่สาวในร้านชวนคุยด้วยท่าทางสบายอารมณ์และคุ้นเคยเพราะเขาเป็นลูกค้าขาประจำอยู่แล้ว
อี้เฟิงบอกขอบคุณหลังจากได้รับขนมและจ่ายเงินไป
อีกแล้ว รู้สึกถึง..อะไรซักอย่าง..อีกแล้ว
ความรู้สึกคล้ายวันที่เขาไปตามหาเสี่ยวอ้ายวันนั้นกลับมาอีกครั้ง
มันเหมือนกับว่า..มีใครคอยตามอยู่ แต่อี้เฟิงอาจจะกังวลไปเอง ใครล่ะจะมาตามเขา หรือเป็นพวกนักเลงที่มีเรื่องกันจนทำให้รถของคุณหยางหยางพังหรือ
พอคิดดังนั้น ก็รีบก้าวเท้าให้เร็วกว่าเดิม หารถประจำทางที่มีคนเยอะ ๆ ขึ้นดีกว่าแท็กซี่
เพราะบางทีก็ไว้ใจไมได้เหมือนกัน
“อ๊ะ เดี๋ยว!
--- ปะ ปล่อ---“
แต่ก่อนจะไปถึงที่ป้ายรถบัสประจำทางแถวนั้น เหมือนก้าวของอี้เฟิงจะช้าเกินไปสำหรับบางอย่างที่อี้เฟิงนึกกังวลมาตลอด
“คุณอี้เฟิงล่ะ ?”
เหมือนบอดี้การ์ดของหยางหยางที่ถูกส่งมาคาดการณ์ผิด
ความกว้างของมหาวิทยาลัย บวกกับความไม่คุ้ยเคยในสถานที่
พวกเขาคลาดกับอี้เฟิงเสียแล้ว
“บ้าชิบ!
ตามหาเร็ว มีทีมเราส่งมาบอกว่า เห็นรถแปลก ๆ ผ่านมาแถวมหาลัยนี้!”
--------------ที่สุดของดวงใจ----------
“ใครน่ะ พวกนาย เป็นใครกัน”
เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย
น่าจะเป็นโกดังเก็บอะไรซักอย่าง ในตอนแรกที่ลืมตาขึ้นมา ก็คิดว่าตัวเองโดนดีเสียเเล้ว กับเรื่องเมื่อวันก่อนที่ไปมีเรื่องกับนักเลงแถนั้น อาจจะโดนกลับมาเเก้เเค้น
"มึงยังไม่ตายตอนนี้หรอก ไอหนู ฮึ"
เจ้าคนที่ตรงหน้าที่เฝ้าอี้เฟิงบอก เมื่อเห็นอาการของเขาไม่ค่อยดี แม้จะตีหน้าเรียบเฉย ไม่อยากแสดงอการอะไร แต่ความกลัวมันฉาบหน้าของอี้เฟิงไม่สามารถเเฝงไว้ภายใต้ความเรียบเฉยที่พยายามแสดงออกมาได้เเล้ว มือที่ถูกมัดไว้แน่นก็สั่นเป็นเจ้าเข้า เขาพยายาม มองไปรอบ ๆ อีกที ใบหน้าหวานขมวดคิ้ว เหงื่อซึมตามไรผม ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ความกังวลยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเขามองทุกทิศทางแล้วว่ามันหนีได้ยากเหลือเกิน
"ทำไมกัน...จับผมมาทำไมพี่ เราไม่เคยมีมีเรื่องกันนี่"
"แต่กูมีเรื่องกับคนที่เป็นเจ้านายมึง หรือ.. อะไรนะอาซ่ง หยางหยาง มันเป็นอะไรของเด็กนี่?"
คนตรงหน้าอี้เฟิงหันไปถามคนที่ชื่ออาซ่งตามที่ชายคนนั้นเรียก อาซ่งคนนั้นหันมาตอบว่า ไม่รู้ แถมสบถด่ามาสองสามคำ
ให้ตายเหอะ...
คงมีใครเห็นเขากับคุณหยางหยางอยู่ด้วยกัน เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว
"ปล่อย..ปล่อยผมไปเหอะ พี่ ผมกับท่านประธานคนนั้นไม่มีความสัมพันธ์สำคัญ ๆ อะไรอย่างที่พี่คิดหรอก"
"หุบปากแล้วนั่งเงียบ ๆ "
"จริง ๆ นะพี่ผมไม่มีความสำคัญมากอะไรกับเขา ไม่มีประโยชน์"
"ถ้าไม่มีประโยชน์ พวกกูไม่จับมึงมาให้เสียดายแรง นั่งเงียบๆ หุบปากซะ "
แม้บอกว่าเดี๋ยวจะโดนแต่ชายตรงหน้าก็ฟาดกำปั้นหนัก ๆ ฟาดปากอี้เฟิงเข้าที่ใบหน้าหนึ่งครั้ง อาจจะเหมือนระบายอารมณ์หรืออะไรแต่นั่นทำให้อี้เฟิงเจ็บปวด ได้แผลที่มุมปากกลับมา เขาก็ได้เงียบจริง ๆ เเละก็เริ่มกลัวมากว่าเดิม เพราะคนตรงหน้าอาจจะใช้อาวุธอย่างอื่น อย่างปืนข้างตัวมาใช้กับอี้เฟิงหากยังทำตัวเสียงดังพูดมากอีก
ให้ตาย..ให้ตายเหอะ โชคร้ายไม่เปลี่ยนเลยหลี่อี้เฟิงเอ๊ย
เขาคิดทบทวน เมื่อมีเรื่องน่ากลัวกับชีวิตของตัวเองอีกครั้ง
อาจจะเพราะวันนั้นมีหนึ่งในพวกนี้เห็นเขาอยู่ในรถคันเดียวกับคุณประธานนั่น หรือวันฝนตกวันนั้นที่เขาออกมารับ
คิดไปก็รู้สึกว่าตัวเองเข้ามาพัวพันมากกว่าเดิมเสียแล้ว
คงจะเลี่ยงเหตุการณ์แบบนี้ลำบากขึ้น
ไม่อยาก..ไม่อยากตายที่นี่ มันบ้าชะมัดที่จะต้องมาทิ้งชีวิตไว้กับที่แบบนี้ ยังไมได้ทำอะไรที่ตั้งใจจะทำอีกมากมาย
พอมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่แบบนั้น แม้จะมีกำลังเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังคงกลัวปืนของคนพวกนี้อยู่ดี ตายไปไม่คุ้มกัน หากทำอะไรบ้า ๆ หือไม่คิดให้ดีก่อนจะทำ
อี้เฟิงสูดลมหายใจลึก ๆ และใช้เวลาทำสติ ทำให้ตัวเองใจเย็นลงมากกว่า หลังพบว่าตัวเองกลัวจนแทบลนลานหนี เหงื่อที่ผุดทั้งร่างกายนั้นบ่งบอกถึงความตื่นเต้น ตื่นกลัว ตระหนก ทั้งหมดบอกได้เป็นอย่างดี
อืม..
มีคนหนึ่งนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ อีกสองคนเฝ้าอยู่หน้าประตู อีกสองคนยืนพูดคุยกัน อีกคนเหมือนกำลังติดต่อใครซักคนผ่านโทรศัพท์
ไม่อยาก..ไม่อยากตายที่นี่ มันบ้าชะมัดที่จะต้องมาทิ้งชีวิตไว้กับที่แบบนี้ ยังไมได้ทำอะไรที่ตั้งใจจะทำอีกมากมาย
พอมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่แบบนั้น แม้จะมีกำลังเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังคงกลัวปืนของคนพวกนี้อยู่ดี ตายไปไม่คุ้มกัน หากทำอะไรบ้า ๆ หือไม่คิดให้ดีก่อนจะทำ
อี้เฟิงสูดลมหายใจลึก ๆ และใช้เวลาทำสติ ทำให้ตัวเองใจเย็นลงมากกว่า หลังพบว่าตัวเองกลัวจนแทบลนลานหนี เหงื่อที่ผุดทั้งร่างกายนั้นบ่งบอกถึงความตื่นเต้น ตื่นกลัว ตระหนก ทั้งหมดบอกได้เป็นอย่างดี
อืม..
มีคนหนึ่งนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ อีกสองคนเฝ้าอยู่หน้าประตู อีกสองคนยืนพูดคุยกัน อีกคนเหมือนกำลังติดต่อใครซักคนผ่านโทรศัพท์
ห้าคน..จะสู้ก็ไม่ไหวแน่ จะหนี..ยังไง
อี้เฟิงสังเกตเห็นปืนที่พกติดกับตัวของทุกคนที่อยู่ในโกดังนี้กับเขา แบบนี้ไม่ไหวแน่ แต่เขากำลังเค้นหาวิธีเพื่อจะหนีออกไป
อาจจะรอให้ใครซักคนหรือมากกว่านั้นออกไป เผื่อจะให้คู่ต่อสู้ลดเหลือน้อยลง
แต่ก็ยังติดอยู่ที่ปืนพกพวกนั้นอยู่ดี
บ้าชิบ หลี่อี้เฟิงเอ๊ย!
บ้าชิบ หลี่อี้เฟิงเอ๊ย!
“ว่าไง”
“พวกนั้นบอกว่า
ไม่รู้ว่าเด็กนี่เป็นคนที่อยู่ในสถานะอะไร
ไม่แน่ใจก็รู้ว่าต้องทำงานอะไรให้ตระกูลหยางแต่ไม่แน่ใจในเรื่องความสำคัญ”
“เอ้า จะเรียกเงินยังไงวะ”
“ก็ต้องรอเวลา ว่าฝั่งตระกูลหยางมันจะเคลื่อนไหวยังไง”
คนพวกนี้คงเป็นคนที่อยู่ในวงการอันตรายนั้นแน่
คิดไปวนไปวนมาในสมอง ความกลัวก็เริ่มผุดขึ้นมาในใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
อี้เฟิงถูกจับมัดมืออยู่ตรงมุมห้อง แถมยังมีอีกคนนั่งเฝ้าอยู่แบบนี้
“เดี๋ยวกูมา เหมือนของที่เราสั่งจะมาส่งแล้ว”
มองบรรยากาศทั้งหมด
อี้เฟิงคิดว่าของที่ว่าคงไม่ใช้พวกของใช้ทั่วไปแน่ ๆ
คนร้ายเดินออกจากโกดังไปสองคนแล้วในนี้เหลืออีกสามและสองคนนั้นยืนอยู่นั้นประตู
โกดังนี้กว้างพอสมควร ...
อืม...อันตรายไปหน่อยมั้ย แต่เขาไม่อยากอยู่เฉย ๆ
ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วย หรือจะตายอยู่ที่นี่หรือเปล่า
ไม่รู้ว่าคุณหยางหยางจะมาตามหาเราก่อนที่เราจะเป็นอะไรไปมั้ย
ถ้าอี้เฟิงจะลองขอให้หยางหยางลองส่งคนมาช่วย
เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมมาช่วยหรือไม่ ..
แต่อี้เฟิงไม่อยากตายอยู่ที่นี่
มั่นใจว่าเขาสู้ผู้ชายพวกนี้ไมได้แน่ ทั้งร่างกาย ทั้งฝีมือ ไม่มีอะไรเทียบได้
เขาไม่ใช่พระเอกการ์ตูนที่จะมีลูกฮึดแล้วจะหนีรอด เขาที่ถูกมัดและไม่มีอาวุธ
ลองได้สู้ ก็ถูกยิงตายอยู่ดี
แม้จะไม่แน่ใจในจุดประสงค์ว่าอีกฝ่ายจับเขามาทำอะไรก็เถอะ
เมื่ออมองดูโดยรอบ โกดังนี้ทั้งกว้าง
และยังมีกล่องไม้ใหญ่วางอยู่แทบทั่วบริเวณ
มีแค่ส่วนที่เขาและคนร้ายอยู่ที่เป็นที่ว่างพอได้ทำอะไรบ้างอยู่
ลองดู..
“พี่ชาย ผมปวดฉี่ ขอไปฉี่หน่อยได้มั้ย”
ท่าทีของคนร้ายที่นั่งเฝ้าเขาอยู่สงสัยและทันทีที่อี้เฟิงเอ่ยอะไร
เขายกมือคว้าปืนข้างลำตัวทันที ทำให้เขาตกใจไปครู่แต่ก็กลับมาตั้งสติใจดีสู้เสือใหม่อีกรอบ
“เหอะพี่ ผมฉี่ราดตรงหน้าพี่ มันไม่ดี
พี่ไปยืนเฝ้าผมด้วยก็ได้นะ”
คนร้ายดูไม่เชื่อเท่าไหร่ อี้เฟิงเซ้าซี้ไม่เลิก
จนเกือบทำให้อีกฝ่ายโมโห แต่ในที่สุดก็
“มึงห้ามตุกติก กูเห็นว่ามึงยังมีราคาค่างวด เลยยังไม่ทำอะไร
จำไว้ไอ้หนู”
“ครับพี่ ๆ “
อีกฝ่ายลุกมาทางที่อี้เฟิงนั่งอยู่ ดึงรั้งร่างอี้เฟิงที่ถูกมัดให้ฉุดให้ลุกขึ้นยืน
ฮึ.... แม้ว่าไม่รู้ผลที่ตามมาแต่ก็ลองดูก่อน
“โอ๊ย”
“อะไรของมึงเนี่ย แค่นี้ก็ล้ม”
เขาโดนบ่นที่แสร้งล้มลงไปตรงจุดนี้ แต่ตรงนี้มีข้าวของของอี้เฟิงวางอยู่
เขาโทรศัพท์มือถือของเขาวางอยู่บนกระเป๋าสะพาย พอแกล้งล้มก็ฉวยโอกาสคว้ามันมา
ถ้าคุณหยางหยางไม่มาช่วย ก็ค่อยว่ากัน
อี้เฟิงตั้งใจจะโทรหาหยางหยางเพื่อขอความช่วยเหลือดูก่อน
ถ้าเขายอมมาช่วยจะให้ทำอะไรก็ยอม ให้รอดไปจากที่บ้า ๆ นี่ได้ก็พอ
ชายคนนั้นพาอี้เฟิงไปแถว ๆ
กล่องไม้ที่วางอยู่เต็มพื้นที่ มีช่องว่างพอให้หลบทำธุระได้
ชายคนนั้นแก้มัดให้ที่ข้อมือให้แต่ก็ยังรั้งเชือกให้พันข้อมือไว้
กันอี้เฟิงจะหนีไป แม้ชายคนนี้จะรู้ว่ามีพวกของตัวเองล้อมอยู่เต็มแต่ก็ไม่ไว้ใจ
“รีบเข้า”
อี้เฟิงหลบไปหลังกล่องไม้สุดแถวที่พอจะคุยอะไรเบา
ๆ ได้โดยชายคนนั้นไมได้ยิน โชคดีที่เชือกยาวพอดู เขารีบเดินหลบมา
รู้สึกถึงความตึงของเชือก กลัวจะโดนจับได้เหมือนกันแต่ก็ต้องเสี่ยง
“คุณหยางหยาง...ผม...อี้เฟิงนะ”
------------------
ที่สุดของดวงใจ----------------------
“ไปจัดการซะ”
สิ้นเสียงสั่งการ หยางหยาบอกให้คนองตัวเองไว้ให้เรื่องการเตรียมการเพื่อไปช่วยคุณครูคนเก่งของเขา
หยางหยางบอกลาลูกสาวว่าไปทำงานด่วน แม้เหตุการณ์ที่บ้านจะดูวุ่นวาย ลูกสาวเขาฉลาดเกินอายุ ไม่บอกก็รู้แต่เธอไม่ถามอะไร พร้อมยิ้มให้กำลังคุณพ่อที่บอกว่าจะไปทำงานอย่างสดใส
หยางหยางบอกลาลูกสาวว่าไปทำงานด่วน แม้เหตุการณ์ที่บ้านจะดูวุ่นวาย ลูกสาวเขาฉลาดเกินอายุ ไม่บอกก็รู้แต่เธอไม่ถามอะไร พร้อมยิ้มให้กำลังคุณพ่อที่บอกว่าจะไปทำงานอย่างสดใส
นั่นยิ่งทำให้เขาต้องพาคุณครูคนเก่งคนนั้นกลับมาให้ได้
หืม?
เขาอุทานในใจเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ลั่นดังขึ้นมา
หยางหยางคิดว่าอาจจะเป็หนึ่งในบอดี้การ์ดของเขา แต่ไม่ใช่..
“คุณหยางหยาง...ผม...อี้เฟิงเอง”
นั่นคือประโยคที่เขาได้ยินผ่านสายโทรศัพท์จากคนที่คิดถึงที่สุดในตอนนี้
นั่นคือประโยคที่เขาได้ยินผ่านสายโทรศัพท์จากคนที่คิดถึงที่สุดในตอนนี้
“..คุณ..อี้เฟิง”
เขาแทบเป็นบ้า ความหนักอึ้งหายไปเกือบครึ่ง เมื่อรู้ว่าอีกคนยังปลอดภัยและยังมีสติโทรมาหาเขา คุณครูโดนจับไว้ที่ไหน
แต่เขาไม่ซักถามให้มากความ
"คุณอี้เฟิง..."
"คุณอี้เฟิง..."
แต่อีกฝ่ายไม่พูดต่อนอกจากบอกว่านั่นคือตัวเอง
อาจจะแอบคุยอยู่ หลบคนร้ายที่อยู่ใกล้ ๆ
หยางหยางไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับมาแต่ยืนยันความตั้งใจที่ต้องทำให้สำเร็จในตอนนี้
“รอผม ผมกำลังไปหาคุณ”
อีกฝ่ายถอนหายใจผ่านโทรศัพท์มาให้หยางหยางได้ยิน มันแสดงถึงความโล่งใจของอีกคนปลายสายโทรศัพท์ของหยางหยาง
ดีใจที่ได้ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า...เขาปกป้องอีกฝ่ายได้
หลังจากนั้นอี้เฟิงบอกอะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย สิ้นเสียงอี้เฟิงจากประโยค หยางหยางเหมือนได้ยินเสียงใครซักคนลอดผ่านโทรศัพท์เข้ามา และอีกฝั่งปลายสายก็ตัดสายไป
หลังจากนั้นอี้เฟิงบอกอะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย สิ้นเสียงอี้เฟิงจากประโยค หยางหยางเหมือนได้ยินเสียงใครซักคนลอดผ่านโทรศัพท์เข้ามา และอีกฝั่งปลายสายก็ตัดสายไป
“ขอบคุณมากครับ..ผมจะรอ"
หยางหยางคิดถึงประโยคที่อี้เฟิงบอกเขาผ่านโทรศัพท์ด่วนมาเมื่อครู่ เขายกมือถือกดสายโทรออกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นสายถึงลูกน้องของหยางหยางซึ่งคนๆนี้จะเป็นผู้สั่งการไปยังคนอื่นๆ อีกที
"หาให้เจอโดยเร็ว แล้วเก็บอย่าให้เหลือ ฉันไม่มีเวลามากพอไปเล่นกับพวกมัน"
หลังจากเวลานี้
หยางหยางไม่มีเรื่องอื่นในหัว นอกจากความปลอดภัยและใบหน้าของหลี่อี้เฟิง
TBC ------------- ที่ สุ ด ข อ ง ด ว ง ใ จ------------------------------- CHAPTER : 4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น