วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[Fic] กิจการหลังบ้าน - หยางเฟิง :: ออเดอร์ที่ 5




TITLE : กิจการหลังบ้าน
Order No. :  5
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG




ปล . ปมมา ..มาเรื่อย ๆ






***********************************************************************




“ปัวปัว!







คุณผู้กองหยางหยางคงคิดว่าเห็นประสาทหลอน หรือคิดถึงน้องจนเป็นบ้า เกิดภาพหลอน ไม่ ไม่ใช่ ยัยตัวร้ายของผม น้องสาวที่น่ารักของผม ยืนอยู่ตรงทางเดินตรงนั้นไม่ไกลจากผม มือของผมรีบผลักกอดผู้กองหยางโดยทันที หมวดเฉินเองก็ตกใจที่ผมอุทานเป็นชื่อของปัวปัวเสียลั่น แต่เตี่ยเหมือนจะยังไม่ได้ยิน













ผมเดินตรงไปยังทิศทางที่ผมเห็นปัวปัว ให้ตาย เธอจริง ๆ วิญญาณเลือนราง แต่ผมก็ยังเห็นได้ ด้วยตา ตาของผมเองที่ไม่เคยเห็นสิ่งลี้ลับแบบนี้มาก่อน ตอนนี้เหมือนประสาททุกโสตเปิดรับเรื่องทั้งหมด เรื่องหลังความตาย  สัมผัสของผมที่มีเพียงน้อยนิด จากนี้มันได้เปลี่ยนไป











ตอนนี้ผมมองเห็นวิญญาณ รับรู้กลิ่น สัมผัสได้ เหมือนกับผมได้รับพลังใหม่มา










“ที่เฟิงเกอเห็นก็น่าจะเป็นเพราะปัวปัวเป็นแบบนี้ล่ะนะ”





ปัวปัวพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินช้า ๆ อย่างอึ้งและตกตะลึงไปหาเธอที่อยู่ตรงทีเดิมไม่ไปไหน เธอรอให้ผมเข้าไปหา ผมเดินเข้าไปพบใบหน้าน้องสาวที่รักที่หน้าตาละหม้ายคล้ายผมแบบทุกส่วน ผมอยากกอดเธอในใจขาด เธอบอกว่า เรื่องสัมผัสวิญญาณเราทำได้ เพราะเรามีพลังพิเศษ แต่เธอบอกผมว่าอย่าจะดีกว่า ไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น การสัมผัสวิญญาณแต่ละครั้งใช้พลังกายมากมาย เพราะวิญญาณไม่มีร่างเนื้อแบบมนุษย์แล้ว ผู้เป็นมนุษย์ที่มีพลังพิเศษจำเป็นจำต้องใช้พลังที่มีในร่างบวกกับวิชาที่ฝึกมา ซึ่งผมไม่ได้ฝึกอะไรมากมายขนาดนั้น  พวกปราบมารหรือพวกที่มีวิชาแบบเดียวกับเรา เลี่ยงได้ก็จะไม่สัมผัสวิญญาณโดยตรงแบบที่เราทำกับมนุษย์ทั่วไปด้วยกัน








“เฟิงเกอ มองเห็นปัวปัวชัดขนาดไหน”
“ก็ลาง ๆ ยังไม่เห็นเต็มตา เทียบได้ก็ 50 %
“คิดว่าต่อไปเฟิงเกอน่าจะมองเห็นวิญญาณชัดกว่านี้ อยากให้เฟิงเกอระวัง”
“เข้าใจแล้ว”





ปัวปัวพูดแต่สาระสำคัญที่ให้ผมเข้าใจทันที และไม่เยิ่นเย้อ การพูดคุยกับมนุษย์แบบนี้ วิญญาณที่บอบช้ำแบบเธอก็ต้องใช้พลังในการสื่อสารติดต่อกับผู้คนอีกโลกหนึ่งเหมือนกัน วิญญาณกับมนุษย์อยู่คนละมิติ คนละภพ แต่เราจูนกันได้ เพราะเรามีพลังพิเศษหนึ่ง หรือฝั่งวิญญาณมีธุระอะไรกับเรา นั่นคือสอง เหตุผลอื่น ๆ ก็ก็ตามแต่กรณี หรือสถานการณ์กันไป  ผมหันไปทางผู้กอง คิดมากเหมือนกันวาเขาจะตกใจ แต่เปล่าเลย เขาดูเหมือนจะเข้าใจอะไรทุกอย่างได้ง่ายดายขึ้นแล้ว เขาเพียงแค่ถอยไปนั่งไกลจากเราหน่อย เหมือนปล่อยให้เราสองคนพี่น้องคุยกับ หมวดเฉินก็ด้วย แต่พวกเขายังมองมาทางพวกเราตลอดเวลา เหมือนช่วยระวัง แม้ พวกเขาจะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม




“ปัวปัว...”


ผมทอดมองน้องสาวอย่างหมดหัวใจ ผมอยากกอดเธอ แม้จะต้องห้ามใจหนักหนาก็ยังอยากทำอยู่ ปัวปัวยิ้มสวยหวานให้ผม และโบกมือน่ารักตามสไตล์ที่เธอทำประจำ และผมก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากให้เธอเห็นจนยัยตัวร้ายนี่ต้องเก็บไปล้อผมอีกนานแน่ ๆ






“เฟิงเกอไม่ต้องร้องไห้ ปัวปัวไม่เป็นไร ที่เป็นอะไรน่ะ เตี่ย  เพราะปัวปัวเองที่มั่นใจในฝีมือตัวเอง คิดว่าใน ที่นั่น ไม่มีอะไร ..แล้วเป็นยังไงล่ะ ก็อย่างที่เห็น” 
“ก็เธอเก่งจริง ๆ ปัวปัว พี่ช่วยอะไรเธอไม่เลยแท้  ๆ “
“เพราะพี่เป็นคนที่เราต้องปกป้องดูแลต่างหาก เฟิงเกอ เราไม่ให้พี่เข้าไปยุ่งกับของมืดมนแบบนั้นหรอก อย่างน้อย พี่ซักคนก็ยังดี”





ปัวปัวพูดจาแปลกหูไปหน่อย แต่ก็คงปลอบใจเพราะความอ่อนด้อยของผม เพราะถ้าผมเข้าไปยุ่ง ความอ่อนด้อยนี้ก็จะทำให้งานบ้านเราลำบากขึ้น ปัวปัวถอนหายใจออกมา แต่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม





“เอาจริง ๆ นะเฟิงเกอ ปัวปัว มั่นใจว่าปัวปัวจัดการได้ แต่จู่ ๆ เจ้าพวกนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นมาทันตาเห็น ปัวปัวตีพวกนั้นให้พ่ายไป แตกไปหลายครั้ง พวกมันก็ยังรวบรวมพลังทุกเศษเสี้ยวมาสู้กับปัวปัว ขนาดเตี่ยที่เป็นผู้ถ่ายพลังส่งต่อมาให้ ยังกระอักไปด้วย สะเทือนไปด้วยเลย จนนั่นล่ะ ปัวปัวพลาดท่า พวกมันเรียกพวกมากันครบองค์ ฉันก็เลยโดนพวกนั้นกระชากร่าง สงสารเตี่ยแทบขาดใจเลยล่ะ...”







ผมฟังเรื่องราวอันน่าสลดและขนลุก คำว่า กระชากร่าง ดูเหมือนธรรมดา แต่นั่นหมายถึงว่า วิญญาณพวกนั้น ที่เราเสียท่าพวกมันแล้ว กำลังแย่งร่างของเราเพื่อครอบครอง ไม่ว่าจะดวงวิญญาณดวงไหน ถ้ายังไม่ไปจากโลกก็ต้องการมีร่างเนื้อเพื่อดำรงอยู่ พวกนั้นมีช่องเพื่อจะครอบครองร่างที่มีพลังชีวิตมากอย่างร่างของปัวปัว มีหรือจะปล่อยไป การกระชากร่างนี้ ทำเอาวิญญาณของปัวปัวหลุดไปจริง ๆ จนเตี่ยจะต้องวิ่งเข้าไปฉกร่างของปัวปัวที่ถูกกระชากอย่างรุนแรงออกมา ร่างนั้นผ่านการเข้าออกของดวงวิญญาณบ้าบอหลายร้อยดวง ร่างร้อนแทบละลาย ป่นเป็นเนื้อก้อนเดียว ใบหน้าบูดเบี้ยว ปัวปัวบ่นว่า ความน่ารักของเธอต้องหายไปกับเจ้าพวกบ้านั่น ผมก็โกรธเหมือนกัน แต่เธอพูดเหมือนติดตลก เพราะไม่อยากให้ผมคิดมาก







“ปัวปัว เราจะพาเธอกลับเข้าร่าง รอหน่อยนะ”





“เฟิงเกอก็ไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริง ๆ พี่ต้องรู้เอาไว้นะ ตอนนี้คนที่อันตรายที่สุด ไม่ใช่ฉันแล้ว แต่เป็นเฟิงเกอ”






ปัวปัวบอกความรู้เพิ่มเติมให้ผมอีกอย่าง






“ตอนนี้พี่เป็นคนทีมีพลังมากที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในบ้านหลี่แล้ว”








ผมงงกับคำตอบของปัวปัว ที่บอกมา ใบหน้าของเธอที่แม้เลือนรางดูจริงจังและขึงขัง เธอเสมองไปด้านหลัง คุณผู้กองหยางที่มองมาทางผม แน่นอนเขาไม่เห็นปัวปัว และหมวดเฉินที่อยู่ใกล้ ๆ ก็อยู่ด้วย หลังจากนั้นปัวปัวก็จุดยิ้มและเอ่ยต่อไป








“แต่ที่ปัวปัวดีใจก็เพราะพี่มีอัศวินมือดีอยู่ เลยหายห่วงไปเปราะหนึ่ง”
“ทำไมล่ะ เขาช่วยพี่เรื่องทางนั้นไมได้”
“แต่ปัวปัวรู้สึกว่า เขาคนนั้นที่กอดพี่โชว์ฉันเมื่อครู่ ...ยังไงดี ...น่าจะมีอะไรต่อกันมาก่อน เฟิงเกอกับเขา อัศวินของพี่น่ะ”








ปัวปัวทอดมองใบยังผู้กองหยางหยาง เขาก็ยังคงมองมาทางผม แต่เมื่อผมหันไปหาเขา เขาก็เสมองไปทางอื่น เอาจริง ๆ ผมก็ยังสงสัยในทุกอย่างที่เขากระทำกับผม ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาถึงผม ก็คิดอย่างที่ปัวปัวคิดเหมือนกันว่า เราน่าจะมีอะไรต่อกันมาก่อน...









“แต่บ้านเราไม่ได้รับอนุญาตให้ระลึกเรื่องเก่าก่อน ทำนายอนาคตไม่ได้ด้วย ปัจจุบันเท่านั้นที่จะบอก แต่ฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่ปล่อยให้พี่เป็นอันตราย”








ปัวปัวแน่ใจแบบนั้น เธอยิ้มกว้างมากกว่าเดิมนิดหน่อย และดูเหนือยกว่าเดิมด้วย อย่างที่ผมกล่าวไป เธอต้องใช้พลังในการสื่อสารกับมนุษย์แบบเรา ต่อให้แม้ผมกับเธอจะมีสายสัมพันธ์พิเศษ แต่ตอนนี้เราอยู่คนละภพกัน และญาณของผมก็เพิ่งเริ่มเปิดรับ เธอจึงต้องพยายามมาก ๆ เพื่อสื่อสารกับผม..และ













“เฟิงเฟิง ปัวปัวอยู่กับลูกหรอ”










..ผมไม่เข้าใจคำถามของเตี่ย






ที่ไม่เข้าใจคำถามง่าย ๆ นั้นก็เพราะเตี่ยเป็นผู้มีญาณรับรู้สื่อวิญญาณและทุกอย่างที่อยู่หลังความตายทางการมองเห็นดีที่สุดในบ้าน จะนับว่าในวงการยุทธจักรนี้ เตี่ยมีญาณด้านนนี้เจ๋งที่สุดก็ว่าได้ แต่ตอนนี้เตี่ยกลับถามหาปัวปัว ที่เป็นวิญญาณที่เตี่ยมองเห็นได้เพียงแค่กระพริบตาและเธอยืนอยู่ตรงหน้าผม







“ว่าไงเฟิงเฟิง”
“ใช่เตี่ย ปัวปัว..อยู่ตรงหน้าผม”










นี่คือสิ่งที่ปัวปัวบอกผมหรือเปล่านะ










“เฟิงเกอ ตอนนี้เตี่ยใช้พลังทั้งหมด ทุ่มไปกับการรักษาร่างและดุแลร่างเนื้อของปัวปัวและตอนที่เราต่อสู้กับพวกนั้นในป่า เตี่ยเสียกับรับรู้ทางการมองเห็นไปแล้ว เพื่อแลกกับพลังที่ขอหลังบ้านมา ตอนนี้น่ะ ถ้าไม่นับพลังที่ดูแลปัวปัว เตี่ยก็แทบจะเป็นคนธรรมดาแล้ว”







ยิ่งฟังผมยิ่งงง สับสนและอึ้งระคนประหลาดใจ







เข้าใจว่าเตี่ยในช่วยหลัง ๆ พลังถดถอยไปเพราะสุขภาพที่ไม่ดี และเนื่องด้วยการครองพลังหนักหน่วงเป็นเวลานาน และซ้ำยังใช้มันอย่างหักโหมทุกครั้ง และครั้งนี้ก็หนักหนาจนทำให้เราต้องแลกพลังจากหลังบ้านที่เป็นแหล่งขุมพลังของบ้านหลี่มา








การแลกพลังคืออะไร ?




ผมไม่รู้แน่ว่าหลังบ้านมีอะไร เพราะผมอ่อนด้อยเรื่องพลังที่สุดในบ้าน ฝีมือไม่เอาไหน การเข้าไปในพื้นที่หลังบ้านจึงเป็นการเข้าไปโดยเข้าได้เพียงแค่ส่วนต้นของหลังบ้าน เท่านั้น





หลังบ้านของบ้านหลี่เป้นตัวเรือนไม้หลังขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีสามชั้น ในสุดเป็นที่ที่ผมเข้าไม่ได้ ปัวปัวเข้าได้แค่ชั้นสอง ส่วนเตี่ยกับปู่ที่ตายไปแล้ว เข้าได้ถึงในสุด เป็นแหล่งขุมพลังความลับที่จะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อเรามีพลังและฝีมือมากพอ และถูกรับเลือกเท่านั้น  ในนั้นมีพลังมากมายไหลวนอยู่ ดีไม่ดีก็เป็นพลังบ้านเรา ผมทำใจไว้ก่อนหน้าว่า อย่างน้อยก็คงจะไม่ใช่พลังจากเทพอะไรทำนองนั้น เพราะบางทีที่เราในบ้านหลี่บางคนใช้พลัง เราก็เหมือนปีศาจกลับชาติมาเกิด...






การแลกพลังคือ หากเรามีช่วงเวลายากลำบาก ต้องการพลังอย่างมากมายเพื่อต่อสู้กับอะไร หรือต่อกรกับสิ่งที่เราไม่อาจชนะได้ การแลกพลังเป็นตัวเลือกที่โคตรแย่ที่สุดที่บ้านหลี่จะใช้ เพราะเราจะต้องแกลกับอะไรที่เข้าท่า และอีกฝั่งที่อยู่ใน หลังบ้าน รับฟัง ซึ่งเตี่ยใช้ตัวเลือกโครตแย่นั่น และที่ปัวปัวหมายถึงก็คือ เตี่ยแลกกับการมองเห็นของเตี่ย ตอนนี้เตี่ยตาบอด.. บอดทั้งทางญาณสัมผัส และการมองเห็นธรรมดา






“ถ้าปัวปัวอยู่ตรงนั้น บอกน้องว่า ...เตี่ยขอโทษ”








คำของผุ้เป็นพ่อกล้ำกลืนพูดออกมา อีกฝ่ายที่เป็นน้องสาวของผม เธอยิ้มกดมุมปากกลั้นสะอื้นแต่น้ำตาไหลออกมาล่วงหน้า เธอส่ายหน้าพร่ำบอกทั้งน้ำตาว่า ไม่เป็นไร เธอสบายมาก เตี่ยฟังคำที่ผมถ่ายทอดมาจากน้องก็ยิ่งถอนหายใจหนัก แต่ตอนนี้เตี่ยต้องห้ามร้องไห้ เพราะมีผู้หมวดและผู้กองนั่งมองเราสามคนอยู่ด้วยย







“ เตี่ยจะพาน้องกลับมา ให้รอ และให้ดูแลตัวเองดี ๆ “




วิญญาณของปัวปัวเดินเข้ามาและยืนอยู่ในระดับเดียวกับผม เธอคุกเข่าและคำนับเตี่ยอย่างช้า ๆ และยืนขึ้นเหมือนเดิม ผมมองภาพทุกอย่างในตอนนี้ มันบีบรัดหัวใจ บ้านเรากำลังโดนมรสุมร้าย อะไรเช่นนี้







“หลังจากนี้ที่แกจะต้องเป็นเจ้าบ้านหลี่แทนเตี่ยแล้ว แกจะต้องเข้มแข็ง แต่เตี่ยดีใจที่แกมีผู้กองหยางหยางดูแล ให้อยู่ใกล้เขา อยู่ใกล้เขาเอาไว้ พาเขามาอยู่บ้านก็ได้ แต่ให้อยู่ส่วนหน้าของบ้าน ห้ามเข้าหลังบ้านเด็ดขาด และแกเองต้องระวัง เพราะหลังจากนี้ ชีวิตแกจะอันตรายเพิ่มขึ้นจนแกคาดไม่ถึง “






เตี่ยที่แม้จะตาบอดไปแล้ว แต่สัมผัสด้านอื่นไมได้ลดถอยไปเลย เตี่ยเดินย่ำไปในโรงพยาบาลอย่างกับยังมีตามองเห็นได้ เตี่ยเดินตรงมาทางผม และโน้มคอมากระซิบ






“และอีกอย่าง เราโดนลอบโจมตีแล้ว เฟิงเฟิง ให้ระวัง มันจะมีอีกเป็นครั้งต่อไป ในป่านั่นมีอาคมอย่างอื่นซ่อนอยู่ด้วย”










ใครกัน ? แต่เหมือนเตี่ยจะบอกผมไม่ได้ แสดงว่าผีทั้งหลายในป่านั่นไม่ใช่พวกเดียวที่โจมตี มีอย่างอื่นที่เราทั้งหมดสามคน บ้านหลี่ไม่เคยรู้ ว่ามันมีอยู่








กับดัก อย่างนั้นหรือ ?










“เตี่ยจะต้องพาน้องกลับหลังบ้าน และจะออกไปไหนไม่ได้อีกต่อไป เตี่ยจะต้องตรึงพลัง และรักษาร่างน้อง พร้อมทั้งกำจัดไอ้เวรตะไลที่อยุ่ในร่างปัวปัวออกไปด้วย เศษเสี้ยววิญญาณห่ารากพวกนั้นกัดกิน ฝังตัว เป็นปรสิต ในร่างปัวปัวจนบิดเบี้ยว มาเกาะแกะ เข้า ๆออก ๆ ร่างอย่างกับบ้านมัน เตี่ยจะต้องทำให้ร่างน้องสะอาดที่สุด ถึงจะพาน้องเข้าร่างได้ และบอกน้องว่าให้ดูแลร่างวิญญาณดี ๆ เพราะอ่อนกำลังไป น้องก็จะเข้าร่างไม่ได้เหมือนกัน ในช่วงแปดสิบสามวัน อย่าให้ปัวปัวไปซ่าที่ไหนล่ะ”











เตี่ยพูดติดตลก เหมือนเตี่ยรู้ว่าเธอจะอยู่แถวนี้ ญาณเตี่ยเสื่อมถอยน่าดู เพราะผมรู้ว่าเตี่ยแทบสัมผัสอะไรไม่ได้เลย หากไมไ่ด้อยู่ใกล้ๆ วิญญาณหรืออะไรทำนองนี้ ทั้งหมดทุกอย่างกลับตาลปัตรกลายมาเป้นผม ตอนนี้ผมสัมผัสอะไร ๆ ได้แล้ว ด้วยตัวเองจากที่เมื่อก่อนจะต้องให้ปัวปัวคอยบอก แต่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ ผมยอมเป็นไอ้ง่อยเหมือนเดิมดีกว่า






ผมต้องดูแลคนในบ้านหลี่ ..แน่นอน ผมทำได้ นั่นเป็นสิ่งที่ผมยืนยันกับตัวเองตอนนี้














“แล้วก็อีกอย่าหนึ่ง “





ปัวปัวเอ่ยกับผม พอปัวปัวเอ่ย ผมก็พูดประโยคนี้กับเตี่ยให้รู้พร้อมกันด้วย แต่เราพูดให้เบา ได้ยินกันแค่นี้





“ผู้กองหยางหยาง พาคนอื่นมาด้วย จำที่ปัวปัวบอกได้มั้ยเฟิงเกอ”




จำได้ว่าตอนเจอผู้กองหยางหยาง ไม่นาน เราสองคนทั้งปัวปัวด้วยรู้สึกแปลก ๆ อืม เหมือนเขามีอะไรตามมา แต่ไม่ใช่อะไรไม่ดี คิดว่าเหมือนปัวปัวจะรู้แล้ว และ...ผมเองก็รู้แล้วเหมือนกัน












ญาณผมพัฒนาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว มองเห็นชัดขึ้น สัมผัสทางบรรยากาศได้ไวกว่าเดิมหลายเท่า ได้กลิ่นแยกแยะผีคนได้แล้ว  คิดว่าพลังการต่อสู้ก็น่าจะเพิ่มขึ้น แต่ต้องฝึกวิชาเพิ่ม และพลังการเยียวยาก็น่าจะสูงขึ้นด้วย





ทั้งหมดนี้ปัวปัวกระซิบบอกว่า เพราะกรรมสิทธิ์ทั้งหมดนี้โอนมาจากปัวปัว เราเป็นแฝดกัน หากใครอีกคนสูญสิ้นร่างเนื้อ ความสามารถจะถูกถ่ายทอดไปหาอีกคนทันที เพราะเราสองคนก็คือร่างเดียวกันแต่แยกออกมาเดินดินสองร่างดวงวิญญาณของเราสองคนที่จริงเป็นดวงเดียวแค่แยกร่างกัน








.อา...และญาณอันสมบูรณ์จากปัวปัวที่ถ่ายทอดมาสู่ผม ทำให้ผมพบว่า ผู้กองหยางหยาง






เขามีสองคน...มีร่างสองภพหรือ  ?










เพราะอีกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น...และอีกคน ไม่สิ อีกร่างวิญญาณหรือ..จะว่าไป ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว ร่างวิญญาณตรงหน้าผม เขาสูงกว่าผู้กองหยางหยางนิดหน่อย แววตาใจดีกว่า ไม่ดุดันแบบผู้กองและดูอบอุ่น และเป็นคนที่แม้ไม่ยิ้มก็เหมือนมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ไม่เหมือนผู้กองหยางที่ตีหน้าเครียด







ผมเดินเข้าไปใกล้เขานิดหน่อย เพราะหลังจากที่ปัวปัวเกริ่นเรื่องของเขาผู้นี้ เขาก็ปรากฏตัวออกมาให้ผมเห็นทีละนิด จนเต็มตา เขาเหมือนผู้กองหยางหยางมาก แต่ไม่ทั้งหมด 80 % เห็นจะได้








“ที่จริงก็ไม่เชิงพาคนอื่นมา แต่เขาติดตามผู้กองหยางหยางมาตั้งแต่เขาตายไปแต่เป็นวิญญาณที่ดี และสะสมการบำเพ็ญบารมีเอาไว้หลังจากตายไปนิดหน่อย ตอนนี้เขาเป็นวิญญาณที่อยู่เคียงข้างคุณผู้กองหยางหยาง คือปัวปัวก็งงเหมือนกัน แต่คุณรั่วไป๋ เป็นคนที่ดูแลผู้กองหยางหยางในบางที เขาเป็นพี่ชายของคุณผู้กองหยางหยางที่เสียไปนานแล้ว”









คุณรั่วไป๋คนนั้นก้าวออกมา








“บ้านหยางของเรา ไม่มีศาสตร์อะไรแบบที่บ้านคุณมีหรอกครับ แต่เพราะผมกับน้องชายเรามีสายสัมพันธ์คล้าย ๆ อย่างที่คุณกับน้องมี เราก็เลยปกป้องซึ่งกันและกัน “





ปัวปัวเสริมอีกนิดหน่อยว่าเขาช่วยดึงวิญญาณปัวปัวออกมา ก่อนที่จะถูกพวกวิญญาณร้ายทำร้าย และตามประสาวิญญาณที่สัมผัสกันได้ เขาดึงมือปัวปัว ที่เป็นร่างวิญญาณที่กระเด็นออกจากร่างตัวหลังจากการต่อสู้  เตี่ยปกป้องร่าง แต่คุณรั่วไป๋นี่ช่วยดึงวิญญาณปัวปัววิ่งหนีไปไกล คือโลกอีกภพของวิญญาณก็เหมือนกับมนุษย์ แต่เราก็แค่ไม่รู้เท่านั้นว่าวิญญาณเขาทำอะไร ตอนนี้ก็มีวิญญาณอย่างคุณรั่วไป๋กับปัวปัวมาเล่าให้ฟัง






เตี่ยก็ได้ยินเรื่องทั้งหมด  บอกว่าเตี่ยไม่ทันเห็นวิญญาณผู้ชายวิ่งพาวิญญาณปัวปัวไป เพราะตอนนี้แลกพลังไปแล้ว มองไม่เห็นอะไร (แต่เตี่ยก็เดินเหินเหมือนคนปกติที่มีตามองเห็น ให้ตายเถอะ!)






ตอนนี้เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา หลังจากนี้เราก็มีงานหนัก เริ่มจากสืบหากับดักนั้น ซึ่งมันจะต้องมาจากอะไรซักอย่างที่คุณฝู สารวัตรแห่งกรมตำรวจต้องรู้แน่ ๆ ผมต้องเริ่มงานจากตรงนั้น







มีช่วงหนึ่งที่ผมหันหน้าไปมองผู้กองหยางหยาง ผมมองดูเขาครู่หนึ่ง เขาเหมือนรู้สึกอะไรได้.... ก็อาจจะเพราะอยู่กับคนอย่างพวกเรา









คุณรั่วไป๋เดินตรงไปทางเขา นั่งคุกเข่าตรงหน้าน้องชาย ..ดูคุณรั่วไป๋แก่กว่า เมื่ออยู่ใกล้ ๆ ให้ได้เทียบ จริง ๆแล้วเขาสองคนไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนผมกับปัวปัวที่เหมือนกันจนแยกยาก หากแต่งตัวแบบเดียวกัน






มือคุณรั่วไป๋ลูบที่กลุ่มผมของผู้กองหยางหยาง แน่นอนว่าภาพตรงหน้าคือวิญญาณร่างหนึ่งที่พยายามอย่างมากในการสัมผัสมนุษย์แต่มนุษย์ผู้นี้นอกจากไม่มีญาณสัมผัสแล้วก็ไม่รับรู้อะไรด้วย แถมวิญญาณยังไม่มีพลังมากพอที่จะแสดงตัวให้คน ตรงหน้ารู้ตัวว่าเขามีอยู่ จึงกลายเป็นภาพชวนน้ำตาไหล










ผมคิดว่าผู้กองหยางหยางรู้สึกถึงบรรยากาศบางอย่างได้ และเขาเหมือนกำลังจะร้องไห้  คุณรั่วไป๋ ก็เช่นกัน










********************************** TBC กิจการหลังบ้าน ORDER 6***************************














1 ความคิดเห็น: