วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[Fic] STEP TOGETHER : EP : 1 --THE STORY HAS JUST BEGUN-



TITLE : STEP TOGETHER 
EP : 1  --THE STORY HAS JUST BEGUN-
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG-13


ps. ฟิคเรื่องนี้เป้นแค่มโนของผู้แต่งซึ่งอยากให้เป็นจริงๆ สุด ถ้ามีความเป็นไปได้ แม้เพียงน้อยนิด  ซึ่งในเมื่อก่อนหน้านี้ เกือบที่จะได้เป็นความจริงแล้ว หากไม่ติดกับอะไรบางอย่างเสียก่อน จึงนำ ความ'เกือบเป็นไปได้' นั้นมามโนเป็นฟิคชั่นเรื่องนี้ ของ หยางเฟิง และตอนนี้ฮามากค่ะ 5555555555555


*************************************************************








“สวัสดีครับ เฟิงเกอ”
“เออ สวัสดี”










สุดท้ายหยางหยางก็คิดได้แค่คำง่ายที่สุด แต่ความตื่นเต้นในอารมณ์ความรู้สึกยังมีอยู่มาก เวลาที่เขารอคอยจะได้แกล้งรุ่นพี่จอมหยิ่ง หลี่อี้เฟิงคนนี้ล่ะ ยิ่งเอาแต่ใจ ยิ่งตีหน้างอน ยิ่งหยิ่งมากแค่ไหน ก็น่าหมั่นไส้จนน่าแกล้งไปหมด รุ่นน้องหน้าตาหมาป่าบังรอยยิ้มสะใจไม่ค่อยมิดเท่าไหร่จนผู้จัดการสาวต้องแอบหยิกแขนเตือนว่าให้สงบสติความบ้าบอช่างแกล้งตามประสาคนเลือกกรุ๊ปเอบีไว้หน่อย เพราะเมื่อครู่ ไอ้แค่คำว่าสวัสดีต่อรุ่นพี่ของหยางหยางก็เปี่ยมด้วยความกวนเบื้องล่างไว้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์แน่นอน จนรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้าหยางหยางคิ้วกระตุก แต่ก็เผยยิ้มการค้าออกมาให้เห็นคุกกรุ่นใช้ได้เลยสำหรับแววตาที่ส่งมาหาหยางหยางตอนนี้





“เอาเรื่องกันทั้งคู่เลย จะไปรอดมั้ยเนี่ย”






ผู้จัดการสาวของอี้เฟิงที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น เพราะยืนใกล้ ๆ อี้เฟิงก็ระอาไอ้เด็กหน้าหล่อแต่กวนใจเก่งแบบหยางหยางไม่น้อย จึงบ่นให้ได้ยิน เผื่อไอ้เด็กเมื่อวานซืนหยางหยางจะลดความแสบลงได้บ้าง เพราะอี้เฟิงแทบจะกางเล็บข่วนหน้าอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ยังสงวนท่าที เพราะมีทีมงานอยู่ใกล้ ๆ เต็มไปหมด นึกไปถึงในกองถ่ายละครที่เคยร่วมงานกัน  เขาก็มัวแต่กวนใจอี้เฟิง แกล้งจนทะเลาะกันจนมีเรื่อง อี้เฟิงก็เลยออกอาวุธต่อยเข้าที่หน้าหล่อ ๆ ไปเปรี้ยงหนึ่งจนเป็นรอยมาจนถึงทุกวันนี้ ใบหน้าของหยางหยางจึงต้องมีการปกปิดด้วยเครื่องสำอางค์ยี่ห้อดังเป็นพิเศษเฉพาะรอยที่อี้เฟิงฝากรักเอาไว้







วันนี้เป็นวันแรกที่คู่ของหยางหยางและหลี่อี้เฟิง สองหนุ่มหล่อแห่งศตวรรษ หนุ่มเฟรชมีตห่งแผ่นดินใหญ่ที่โด่งดังในขณะนี้จะได้ร่วมกัน หลังจากที่ห่างกันไปไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากซีรีส์จากนิยายดังเรื่องนั้น 









แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะกังวลเรื่องที่ทั้งคู่จะถูกจับเป็นคู่จิ้นแต่ผลประโยชน์ที่มากมายมหาศาลล่อตาล่อใจผู้บริหารมากกว่าเป็นไหน ๆ เรื่องนั้นในตอนนี้จึงกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว เพราะทุกวันนี้ ค่ายไหนช่องไหนก็เล่นประเด็นคู่จิ้นชายชาย หรือชายหญิง หรือจะอะไรก็แล้วแต่ เล่นกันมากมายจนเป็นเรื่องธรรมดาในวงการ ให้สาว ๆ กิ๊วก๊าวใจ แฟน ๆ ของคู่จิ้นได้กริ๊ดกร๊าด แน่นอนว่า หยางหยางและหลี่อี้เฟิง มีฐานแฟนคลับจากละครเรื่องเก่าอยู่แล้ว แม้แฟนคลับของแตละคนจะมีประเด็นสาดใส่กันบ้าง แต่โดปรดิวเซอร์รายการและผู้บริหารเองก็มั่นใจว่า รายการสั้น ๆ นี้จะเรียกเรตติ้งของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี จะลบจะบวก แต่พื้นที่สื่อในโลกออนไลน์และสื่อจีนจะต้องเป็นของสองคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และคู่อื่น ๆ ก็คงสู้ไม่ได้ เพราะสองคนนี้เป้นถึงเทพบุตรแห่งชาติ และหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงผู้งดงามแห่งปีกันเลยทีเดียว








อันนี้เป็นผลมาจากการวิเคราะห์ของทีมงานเขา  ที่ทั้งอี้เฟิงและหยางหยางรับทราบ เมื่อได้เข้ามาในห้องประชุมของทีม คุยประเด็นสั้น ๆ ก่อนจะบินกันไปประเทศไทย  ห้องประชุมนี้ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่าย ประเด็นสรุปก็ง่ายๆ สั้น ๆ ไม่ต้องมากความ อี้เฟิงตั้งใจฟัง หยางหยางก็เปิดดูสมุดรายละเอียดที่วางอยู่ตรงหน้าอ่านอย่างพินิจพิจารณา ทั้งคู่มีคำถามมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่พูด เพราะสุดท้ายก็ต้องจบคำตอบสุดท้ายด้วยเรื่องผลประโยชน์ ฝั่งบริษทัต้นสังกัดของอี้เฟิงกำลังขาดทุน เพราะผลประกอบการก่อนหน้า บริษัทต้นสังกัดของหยางหยางกำลังเปิดใหม่กำลังถีบตัวเอง อะไรคว้าไว้ได้ตอนนี้จะหยิ่งไม่เอาก็ลำบาก สุดท้ายจากที่เกลียดกันก็ต้องหันมาจับมือร่วมทุนกันอีก แม้ในห้องประชุมทุกคนจะยิ้มแย้ม แต่สายตาฟาดฟันกันอย่างไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนลิ้นกับฟันแบบหยางหยางและอี้เฟิงจะดูเบาลงไปเลย







“เอาเป็นว่า สรุปเท่านี้นะครับ เบื้องต้น ทั้งสองเอเจนซี ส่งคนไปดูแลทั้งคุณหยางหยางและคุณอี้เฟิงได้ แต่แค่คนเดียว และห้ามแทรกแซงในรายการ เพราะอย่างไร ประเทสไทยก็มีแฟนของสองคน ถ้าเขารู้จะเป็นที่โจกษ์จันกันไปอีก ทีมงานเราเป็นทีมงานโปรมือดี เราจะดูแลไอดอลของพวกคุณอย่างดีเลยทีเดียว”







“ส่วนพวกคุณสองคน พวกเราจะมีทีมงานตามไปกับพวกคุณสามคน คือหัวหน้าผู้ควบคุมภาคสนาม และตากล้องประจำตัวคุณสองคน เพียงเท่านั้นครับ อีกสองวัน ผู้จัดการของพวกคุณถึงจะตามไปได้ เราจะส่งคุณไกลสุดคือ สนามบินปักกิ่ง”








สองคนรับฟัง พร้อมยิ้มติดมุมปากทั้งคู่ อี้เฟิงคิ้วกระตุกเล็กน้อย ปกติรายการพันนี้ อี้เฟิงก็ไม่เคยได้เข้าไปยุ่งย่ามอยู่แล้ว หลังจากที่เคยเล่นเรียลลิตี้เมื่อตอนก่อนเข้าวงการ เพราะเขารู้ว่ารายการแบบนี้มันลำบากเป็นบ้า ทำอะไรตามใจไมได้เลย พอได้รู้ว่าต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก ทั้งความไม่สบอารมณ์ ทั้งกลัวความลำบากเบื้องหน้า ไหนจะต้องไปเจอไอบ้ากวนประสาทอย่างรุ่นน้องร่วมบริษัทก็ยิ่งปวดหัวจิ๊ด ตากลมโตเสมองไปข้างขวาที่หยางหยางนั่งอยู่ ฝั่งนั้นก็ตั้งท่าตั้งใจฟังทีมงานเต็มที่  เห็นแล้วหมั่นไส้ขึ้นสิบระดับ







เจ็ดวันเท่านั้น ให้มันผ่านไปเร็ว ๆ ทนเอาไว้ เพื่ออนาคนที่ดีนะอี้เฟิง














คนเขาอยากไปด้วยตายล่ะ อยู่ด้วยคงมีแต่ปวดประสาท คนเอาแต่ใจพันนี้








หยางหยางคิดในหัวพลางเสไปมองอีกฝ่าย หลังจากที่อี้เฟิงหันมามองเขาก่อนและเสกลับไปตั้งใจฟังทีมงานบอกเล่ารายละเอียดอย่างเดิมแล้ว รุ่นน้องคนหล่อมองรุ่นพี่ที่แสร้งทำตัวเป็นอยากร่วมงานกับเขาใจจะขาด แต่เห็นอยู่ว่าคิ้วกระตุก หยางหยางก็ยิ้มได้ใจ เจ็ดวันต่อไปนี้ เขาจะแกล้งอี้เฟิงจนอีกฝ่ายจงเกลียดจงชังไปตลอดชาติ  ถึงจะว่าไปแล้ว เขาก็ไม่ได้เกลียดรุ่นพี่คนนี้นักหรอก แต่เพราะความเอาแต่ใจ ความหยิ่งและเขาเสแสร้งแกล้งทำเก่งนัก เห็นแล้วก็อยากกระชากยิ้มการค้าของรุ่นพี่ออกมาให้โลกเห็นจริง ๆ ว่าตัวจริงของหลี่อี้เฟิงไมได้เป็นอย่างที่เห็น แต่รุ่นพี่คนนี้ไม่หลุดง่าย ๆ ในรายการนี้  หยางหยางคนนี้อาจจะทำให้ทุกคนเห็นได้บ้างว่า รุ่นพี่คนนี้ก็แสบพอกันกับเขาน่ะล่ะ แต่แค่ไม่เปิดเผยแบบที่เขาทำ







“เอาล่ะ เราจะไปส่งคุณสองคน ขอให้โชคดีกับทริปประเทศไทยครั้งนี้นะครับ คุณหยางหยาง คุณหลี่อี้เฟิง”









-STEP TOGETHER-










“นายนั่งให้มันดี ๆ หน่อยได้มั้ย จะถ่างแขนเบียดฉันหาอะไร “
“ก็พี่อ้วนเองนี่หว่า ผมนั่งปกติ”
“นี่นายว่าฉัน อยากมีกันตั้งแต่เริ่มทริปหรือยังไง”
“เปล่านะครับ แต่พี่เองนั่นล่ะที่เริ่มมองผมด้วยสายตาหมั่นไส้แบบนั้น ผมเป็นรุ่นน้องพี่นะ”
“รุ่นน้องกวนประสาทแบบนี้ ไม่อยากยุ่งด้วยโว้ย”
“แต่เดี๋ยวเราจะต้องอยู่กันไปแบบนี้อีกตั้งเจ็ดวันเลยนะครับ รุ่นพี่ หลี่-อี้-เฟิง”






พูดกันในระยะปกติอยู่ดี ๆ พอประโยคสุดท้าย เจ้ารุ่นน้องตัวแสบหยางหยางก็ดันทะลึ่งยื่นใบหน้าหล่อเหลานั้นเข้ามาใกล้อี้เฟิง  ในระยะนี้อี้เฟิงสามารถยกมือตบกบาลได้อย่างถนัดมือทีเดียว ถ้าไม่ติดว่าคุณแอร์โฮสเตสที่อยู่ริมทางเดินมองเขาสองคนเป็นตาเดียวตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เพราะเถียงกันไปมาฟาดฝีปากกันจนเสียงเริ่มดังไปทั่วบริเวณชั้นที่นั่งธุรกิจ เขาไม่ได้ตั้งใจจะเถียงแต่เด็กบ้านี่ทำหน้าตากวนประสาท บวกกับเขาไม่สบอารมณืด้วยหลายเหตุผลอยู่แล้วยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้คุกกรุ่นง่ายดายเหมือนฟืนสุมไฟในอกอี้เฟิง เขาอยากจะระเบิดอารมณืใส่ไอ้เด็กรุ่นน้องปีนเกลียวนี่ซักที ก็ติดที่ว่าภาพลักษณ์ของหลี่อี้เฟิงคนนี้ในวงการดีเหลือเกินจนไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ยิ้มการค้าจึงถูกส่งไปเป็นเชิงขอโทษให้ทีมแอร์โฮสเตสที่ยืนใกล้ๆ พร้อมสัญญาทางสายตาว่าจะไม่ทำเสียงดังอีก







“หุบปากซักที เจ้าบ้า ฉันจะไม่เถียงกับนายแล้ว”
“ครับ ๆ ผมก็ไม่อยากเถียงกับพี่หรอก คนอะไรเอาแต่ทำตัวให้คนอื่นหมั่นไส้”
“นี่อยากตายจริง ๆ ใช่มั้ย “
“โอเค ไม่แกล้งแล้วก็ได้ เชิญนั่งกินที่ตามสบายครับคุณเทพบุตรแห่งชาติผู้เอาแต่ใจไ
“เอ๊ะ! นี่นาย”





หยางหยางพูดจบก็ส่งยิ้มที่กวนเบื้องหลังที่สุดในโลกมาให้อี้เฟิงและชิงแกล้งหลับไปก่อนทำให้อี้เฟิงโวยวายอะไรไม่ได้อีกและเขาก็เหมือนถูกเตือนด้วยสายตาอีกรอบจากแอร์โฮสเตสสาวสวยตรงนั้น จึงต้องเงียบปาก เขาอยากหาอะไรฟาดปากร้าย ๆ ของหยางหยางจริง ๆ  ผู้ชายอะไรสรรหาสารพัดคำกระแหนะกระแหนชาวบ้านมาพูดให้คนอื่นโกรธโมโหได้ขนาดนี้  ผู้จัดการของเจ้าบ้านี่ไม่ปวดหัวบ้างหรือไงที่มีเด็กบบ้าบอแบบนี้อยู่ในความดูแล


“ไอบ้าเอ๊ย”






ประโยคนี้ถูกส่งให้หยางหยางที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เบา ๆ อี้เฟิงก็จำต้องหลับไปอีกคน เพราะไม่มีอะไรทำ ขืนนั่งโมโหกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียวก็จะหาว่าเป็นบ้าเสียเปล่า ๆ  อี้เฟิงเอนตัวลงนอนบ้าง พร้อมจับหูฟังที่เปิดเพลงเบา ๆ ไว้ใส่หู ไม่นานอี้เฟิงก็เข้าสู่นิทราไปบ้างแม้ยังติดอารมณ์ขุ่น ๆ จากหยางหยางที่ฟาดฝีปากกันเมื่อครู่นี้








“คนเอาแต่ใจ”


หยางหยางที่แกล้งหลับก็ลืมตาขึ้นมา เมื่อรู้ว่าคนข้าง ๆ ที่เขาเถียงด้วยหลับไปแล้วจริง ๆ ประโยคสั้น ๆที่หยางหยางแกล้งพูดใส่หูอีกคนรู้ว่ารุ่นพี่เขาไม่ได้ยิน แต่อยากพูดใส่ รู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก  เขาลดระยะก้มลงไปใกล้ ๆ ใบหน้าของรุ่นพี่หูเขาได้ยืนเพลงที่เปิดคลอเบา ๆในหูฟังเป็นเพลงของรุ่นพี่ที่ร้องประกอบหนังของตัวเองเอาไว้ หยางหยางเบาปากหมั่นไส้พอเป็นพิธีแล้วก็ผลักออกไป  เพลงเขาก็เพราะดี แต่หมั่นไส้ใครจะทำไม  แววตาคมกริบชำเลืองมองร่างนิ่งสนิทที่เข้าสู่นิทรา


 หลี่อี้เฟิงหลับไปแบบนี้ก็ดูไม่มีพิษภัยดี แต่ทำไมพอลืมตาเปิดปาก ถึงได้ร้ายนักก็ไม่รู้ จ้องจะหาเรื่องกับเขาตลอดเวลา ก็อาจจะเป็นเพราะหยางหยางคนนี้หล่อกว่าและกำลังเทียบชั้นในวงการกับรุ่นพี่อยู่ ก็ช่วยไม่ได้ ความหล่อมันมีมาตั้งแต่เกิด ยากจะเข้าใจ ใบหน้ารูปหล่อยกยิ้มพอใจ พึงพอใจกับความหล่อของตัวเอง ทีนี้พอเริ่มสบายใจที่คิดอะไรแบบนี้ได้แล้วบ้าง หยางหยางก็เข้าสู่นิทราบ้างเช่นกัน







- STEP TOGETHER -








“มิชชั่นแรกสำหรับวันแรกในประเทศไทย ขอให้โชคดีนะครับ”







อี้เฟิงยื่นมือมารับซองสำหรับภารกิจแรกของวันนี้ เมื่อเหยียบแผ่นดินประเทศไทย เขาเคยมาที่นี่สามสี่ครั้ง ทั้งแบบส่วนตัวและงาน วันนี้ไม่มีแฟนคลับมารอรับ เพราะมาแบบกะทันหันและค่อนข้างเป็นส่วนตัวเพราะการถ่ายทำรายการที่ยังคงจะต้องปิดเป็นความลับ แม้จะมีคนจำพวกเขาได้บ้างแต่ก็ถูกทีมงานยกมือห้ามถ่ายรูปและช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น 





“อะไรกันวะเนี่ย”






อี้เฟิงทันอ่านจบประโยคพอดี หยางหยางก็แย่งกระดาษที่บอกภารกิจแรกวันนี้ไปจากมืออี้เฟิง พอทวนอ่านก็บ่นเป็นประโยคนั้นออกมา หยางหยางยังไม่เคยมาที่นี่ก็คงรู้บ้างว่าที่นี่การจราจรวุ่นวายหยั่งกะอะไรดี   อี้เฟิงโชคดีที่ศึกษามาบ้างแต่เจ้าเด็กหยางหยางจอมขี้เกียจคงจะไม่


“แบบนี้เราก็จะต้องไปกันเอง โดยใช้เงินที่ทีมงานให้มาใช่มั้ย”
“เออสิวะ”


อี้เฟิงตอบหยางหยางไป รุ่นน้องมองอย่างไม่อยากเชื่อแต่ก็จำใจ ทีมงานบอกแล้วว่า เจ็ดวันต่อไปนี้ให้ใช้เงินในซองที่ให้อย่างประหยัดจนถึงวันกลับประเทศบ้านเกิด เทียบเป็นเงินหยวนก็ช่างน้อยนิดเหลือเกินแต่ทีมงานบอกว่า แค่นี้ในประเทศไทยหากรู้จักใช้จะเหลือเก็บนะ (ผู้ที่เคยใช้ชีวิตในไทยเพื่อนของทีมงานเขาบอกมาว่าอย่างนั้น) หยางหยางก้มนับเงินในซองคูณ ๆ บวก ๆ แล้วก็พอไปไหวแต่ถ้าเป็นเขาคนเดียวน่ะคงไม่เป็นไร แต่นี่พ่วงรุ่นพี่กินจุมาด้วยน่ะสิ จำได้ว่าตอนที่ถ่ายละครด้วยกัน หลี่อี้เฟิงคนนี้กินจุอย่างกะพายุลง คนอะไรตัวก็ไม่ได้อ้วนมาก(แม้เขาจะแซวรุ่นพี่เขาไปแล้วว่าอ้วนจนคับที่นั่งก็ตาม)  กินเยอะมากกว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างเขาเสียอีก




“ไม่ต้องมามองฉัน แล้วจะยืนอยู่ตรงนี้จนค่ำมืดเลยรึเปล่า ไปรับกระเป๋าสิ”
“ครับ ๆ “



หยางหยางรับคำและเดินตามรุ่นพี่ที่องค์ลงเสียแล้ว เขามองตามหลังไปอย่างเหนื่อยหน่าย จะต้องมารับอารมณ์เหมือนผู้หญิงวัยทองของหลี่อี้เฟิงไปอีกตั้งเจ็ดวัน แค่คิดก็ปวดหัว แต่ก็เป็นงาน เพื่ออนาคต และตอนนี้ก็ดันหลวมตัวบินมาถึงที่แล้ว ก็ช่วยไมได้







“เอาง่าย ๆ ก็คือปล่อยเกาะให้เรางมหาที่พักกันเองสินะ”
“ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะครับ...”



อี้เฟิงบ่นกระปอดกระแปดเมื่อทวนอ่านภารกิจอีกครั้งและมองเงินที่มีอยู่ในซอง ช่างน้อยนิดเหลือเกิน แต่ก็คงพอสำหรับการอยู่อย่างสมถะในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เจ๋งที่สุดอย่างกรุงเทพเช่นนี้ หลังจากรับกระเป๋ามา ทั้งสองคนก็มายืนจังก้ากันที่ทางออกอยู่ซักพัก มีคนจำพวกเขาได้ แต่ทั้งคู่ก็ปกปิดด้วยกันใส่แว่นตาสายตา ใส่เหมือนกันทั้งคู่ อย่างน้อยก็ปิดบังให้คนลังเลจำกันไมได้บ้าง มีคนเข้ามาทักว่าใช่พวกเขามั้ย แต่โชคดีที่ทีมงานหนึ่งคน ที่ถูกปล่อยไว้เหมือนกันกับพวกเขาเพราะจำต้องเป็นตากล้องจำเป็นคอยติดตามภารกิจแรกของทั้งคู่ห้ามทัพแฟนคลับพวกนั้นไว้ เพราะเป็นการทำงานที่ยังไม่สามารถเผยแพร่ออกสื่อได้  และโชคดีอีกต่อคือ แฟนคลับทางจีนก็ไม่ได้บินตามมาเท่าที่คิดไว้ เพราะการอยู่ยาวเป็นอาทิตย์และเป็นไฟล์ทบินกะทันหันและเป็นความลับ จึงไม่มีใครรู้กันมากนัก ทีมงานทั้งที่ไทยและที่จีนจึงโล่งใจเมื่อสถานการณืในเรื่องนี้ไม่เป็นภาระให้พวกเขามานัก





“นายเอาอะไรมาเยอะแยะวะเนี่ย”
“ก็ของของผมไง เสื้อผ้า ของแต่งตัวอื่น ๆ ว่าแต่เฟิงเกอเถอะครับ กระเป๋าเดียวนี่ อยู่ได้แน่นะ ถ้าเสื้อผ้าพี่หมด ผมไม่ให้ยืมหรอก”
“ก็เรื่องของแกสิวะ ไม่คิดจะยืมของของใครเหมือนกันโว้ย”





“พวกคุณสองคนหยุดทะเลาะกันซักครู่แล้วเริ่มงานกันได้แล้วครับ เดี๋ยวจะเลยเวลาไปนาน”


ทีมงานเห็นสองคนที่ฟาดปากกันมาตั้งแต่บนเครื่องชักเริ่มระอา คิดว่าเป็นจริงดังที่ข่าวลือกันในวงการ เจอกันเป็นไม่ได้ เหมือนลิ้นกับฟัน หมากับแมว ทะเลาะกันได้ทุกสามนาที จนทีมงานทุกคนแม้กระทั่งทีมผู้จัดการของทั้งคู่ก็เหนื่อยใจ สงสัยเหลือเกินว่าทำไมผู้บริหารกับโปรดิวเซอร์ถึงเอาคนหนุ่มชวนตีสองคนมาอยู่ด้วยกัน งานจะพังไม่พังก็ขึ้นอยู่กับสองคนนี้ด้วย ทีมงานคนนี้ถอนหายใจให้ดาราหนุ่มสองคนเห็นจนทั้งคู่รู้สึกละอายกันขึ้นมาบ้างจึงตั้งใจทำงานกัน






“โอโห..คนเยอะเป็นบ้า”
“ถูกสุดก็ต้องรถไฟฟ้าล่ะครับ จะให้ทำไงล่ะ”
“ก็ไมได้...เอ่อ.. ไม่ได้ว่าอะไร ถูกดี เออดีจะได้มีเงินเหลือกินเยอะ ๆ “





พอจะหันไปต่อปากกับหยางหยาง อี้เฟิงที่อารมณ์ขึ้นจนลืมตัวไปหน่อย ก็หันไปเจอกล้องที่ส่องหน้าเขาสองคนอยู่ก่อน รายการอัดไปแล้ว  ต้องสงวนท่าทีซักนิด  อี้เฟิงจึงเก็บอารมณ์ขุ่น ๆ ไว้ในแล้วส่งยิ้มการค้าออกมาอีกเช่นเคย หยางหยางเห็นคนเป็นรุ่นพี่ทำเช่นนั้นก็หมั่นไส้แกมสะใจ ตอนนี้เถียงไม่ได้ อี้เฟิงคนนี้เอาแต่ใจและขี้โมโหอยู่แล้ว ถ้าเจอกล้องส่องหน้าแบบนี้ก็ต้องกลับเป็นเทพบุตรของทุกคน  พอคิดแบบนี้หยางหยางก็รู้ว่าเขามีช่องทางจะแหย่แมวเล่นมากมาย






“โอ๊ะ”


อี้เฟิงร้องอุทานขึ้นมา เมื่อโดนผู้โดยสารที่เพิ่งขึ้นรถไฟฟ้าเข้ามาในตัวโบกี้กระแทกจนตัวเซไปอีกข้าง ยิ่งเมื่อรถไฟฟ้าออกตัว อี้เฟิงก็เซไปอีกทาง เหมือนถูกโยนไป ๆ มา ๆ เขาไม่ได้เกาะเสาหรือห่วงบนรถไฟฟ้า เพราะผู้โดยสารเยอะจนเดินไปไหนไมได้จนต้องยืนตรงกลาง เซไปเซมา ส่วนหยางหยางและตากล้องอยู่ตรงมุมรถไฟฟ้า พวกเขาโดนเบียดเสียดไป อีกทาง ตากล้องที่อัดรายการได้แค่ไม่กี่นาทีก็ต้องเก็บกล้อง เพราะคนในขบวนรถมากเกินกว่าจะถ่ายได้และดูเสียมารยาทไปหน่อย อี้เฟิงคิดว่ารายการแค่ครึ่งชั่วโมง สำหรับภารกิจแรกวันนี้ คงเก็บอะไรได้ไม่มาก เพราะวันแรก อะไร ๆ ก็วุ่นวายแบบนี้ล่ะ





“เฟิงเกอ”

อี้เฟิงได้ยินเสียงหยางหยางเรียกจากอีกฝั่ง รุ่นน้องยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่กี่ก้าวแต่โดนผู้โดยสารคนอื่นบังจึงเห็นแค่เสี้ยวหน้า อีกคนตีหน้าเครียดนิดหน่อย อี้เฟิงไม่เข้าใจนัก รุ่นน้องบุ้ยปากไปอีกทางว่า มีปาปารัซซี่ตามมาจากจีน พวกเขายังไม่รู้ว่าพวกเราทั้งหมดมาถ่ายรายการ หากถูกเก็บรูปไปจะลำบาก

“แล้ว ?”


อี้เฟิงหันไปตามทางที่หยางหยางบอก เขาเห็นปาปารัซซี่คนนั้นแล้ว คุ้นหน้าคุ่นตากันดี แต่ทำไงได้ ก็ถอยไปจากตรงที่ยืนไม่ได้ ผู้โดยสารรอบตัว ตากลมโตมองซ้ายมองขวาจนสุดแล้วก็ไม่มีทางออก แต่อยู่ ๆ ก็มีมือดีมืดหนึ่งคว้ามืออี้เฟิงที่ว่างจากการหิ้วกระเป๋าเดินทางดึงเขาออกมาจากกลุ่มคนแทรกไปตามช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างผู้โดยสารที่ยืนแออัด และอี้เฟิงก็มาถึงตัวหยางหยาง พบว่ารุ่นน้องคว้ามือเขาอยู่



“อะไร ?”
“ไปยืนตรงนั้น”
“ห๊ะ ?”
“ทำไมสกิลการใช้ฃีวิตพี่ต่ำจังวะ คืองี้ นอกจากพี่จะโดนปาปาคนนั้นตามอยู่แล้ว พี่จะถูกคนโรคจิตที่ยืนอยู่หลังพี่ทำอะไรต่อมิอะไรอยู่แล้ว นี่ไม่รู้ใช่มั้ย”


หยางหยางสาธยายอย่างเหลือทน เขาเห็นรุ่นพี่ยืนบ้องแบ๊วไม่รู้ฟ้าดินอะไรเลยอยู่ในกลุ่มคน เห็นคนแปลก ๆ คนหนึ่งจ้องอี้เฟิงอย่างเอาเป็นเอาตาย  พูดตามตรงคือ รุ่นพี่คนนี้หน้าตาหวานจนมีคนบอกว่า น่ารักอยู่เนือง ๆ และคนแปลก ๆ คนนั้นที่ยืนอยู่หลังอี้เฟิงก็คงจะถูกใจ โลกใบนี้ก็มีคนแปลก ๆแบบนี้อยู่เยอะ แต่รุ่นพี่แสนใสซื่อคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไร  เพราะปกติหยางหยางก็เห็นเขาอยู่กับทีมงานตลอด มีคนดูแลไม่เว้นแม้กระทั่งตอนเข้าห้องน้ำ (เวลาอยู่ข้างนอกหรือทำงาน)  คิดว่าหากไปไหนคนเดียว ก็น่าจะลำบากพอตัว เพราะนอกจากไม่ชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว ก็ยังเป็นจุดสนใจไม่น้อย ก็เพราะบ้องแบ๊วของพี่เขานั่นล่ะ




ชักเป็นห่วงตัวเองที่จะต้องมาเป็นคนดูแลรุ่นพี่คนนี้ซักแล้ว





“นายว่าอะไรนะ?”
“เออ ก็ตามนั้นแล้วพี่ก็ยืน ยืนตรงนี้ “





พูดจบ หยางหยางก็ดันตัวอี้เฟิงเข้ามุมรถไฟฟ้าไป แถมเอากระเป๋าสองใบของเขากันไว้อีกที ทีมงานก็ยืนบังอี้เฟิงไว้ให้อีกชั้น  แม้หยางหยางจะหล่อเหลาจนต้องเหลียวหลังมองแต่อี้เฟิงกับเขาออร่าต่างกัน ไม่ได้นึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรตรงนี้ แต่หงุดหงิดที่หลี่อี้เฟิงคนนี้แม้เป็นคนดังแต่ไม่ค่อยระแวดระวังอะไรเลย ก็เพราะอยู่กับคนอื่นจนเคยตัว



“นายหงุดหงิดอะไร”
“พี่”
“ฉัน ?”
“รู้จักระวังตัวเองซะหน่อยได้มั้ย มาทริปแบบนี้พี่จะไม่เป็นภาระผม”






ทีมงานมองรุ่นน้องอย่างตกใจแต่เก็บอาการ พอได้ยินแบบนี้ อี้เฟิงก็เม้มปาก เก็บคำไม่พูดอะไร สะบัดหน้าหนีไปอีกทาง มองทะลุกระจกรถไฟฟ้าออกไปมองวิวนอกรถที่มันไม่มีอะไรเลยแต่ก็จดจ้องอยู่นั่น ส่วนรุ่นน้องที่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา แม้จะมีแววตาสำนึกผิดนิดหน่อยแต่ก็คิดว่าตั้งใจพูดไปแล้วจะไม่คืนคำ





ทิฐิเยอะทั้งคู่ ทีมงานผู้นี้ส่ายหน้า และเมื่อครู่ที่ตั้งใจว่าจะอัดอะไรเก็บไว้ ก็ยัดกล้องเข้ากรุตามเดิม








-STEP TOGETHER-







“ลงสถานนีนี้แล้วต้องต่อแท็กซี่ไป เอ่ ถ้าเป็นตุ๊กตุ๊กจะแพงหรือถูกกว่านะ ?”




หยางหยางพูดขึ้นเมื่อลองคำนวณเงินที่มีและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตอนนี้พวกเขาลงจากรถไฟฟ้าในสถานีที่ใกล้ที่พักที่ทีมงานจัดไว้ให้ เป็นที่ที่ใกล้ที่สุดแล้ว อาจจะต้องหารถเพื่อพาพวกเขาเข้าไปให้ถึง แต่ดูท่าทางจะไม่ไกล เมื่อดูจากแผนที่ หยางหยางชำนาญเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไปทริปกับรายการก่อนหน้า ที่นั่นยุโรปลำบากกว่า ยากกว่าก็จริงแต่การจราจรกับผังเมืองประเทศไทยนี่ปวดหัวไม่น้อยเลย





“เฟิงเกอ พี่ว่าไง”
“จะไปยังไงก็ไปเหอะ”






โดนงอนซะแล้วเนี่ย...หยางหยางคิดแต่ที่เขาพูดเมื่อครู่นี้มันเป็นความจริง เขาไม่อยากให้ใครอีกคนเป้นภาระและเขาก็ไม่อยากเป็นภาระรุ่นพี่ จึงอยากดูแลตัวเองเหมือนที่เคยทำ ไม่ใช่อยากปีนเกลียวหรือทำให้รุ่นพี่เสียความมั่นใจแต่มาอยู่ในเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก (นอกจากแฟนคลับน่ะนะ) และไม่ใช่บ้านเกิดก็อยากให้ระวังมากกว่านี้ อีกคนก็เคยมาที่นี่แล้วเชียวแต่ไม่ระวังเลย






“ครับ งั้นไปตุ๊กตุ๊ก”




หยางหยางเรียกตุ๊กตุ๊กรับจ้างมาหนึ่งคัน โชคดีที่ตุ๊กตุ๊กเป็นคนรอบรู้ เขาพูดภาษาจีนได้ดีแม้จะต้องพูดช้า ๆ ชัด ๆ ให้เสียเวลาแต่ราคาถูกกว่าระยะทางที่คำนวณกับค่าแท็กซี่อย่างน่าพอใจ อี้เฟิงแปลกใจที่หยางหยางหาข้อมูลมาดีไม่น้อย ผิดกับเขาที่จะกังวลเรื่องความเป็นอยู่ การกิน ชีวิตประจำวันแต่ดันลืมเรื่องเดินทางที่เป้นเรื่องสำคัญเช่นกัน โชคดีที่หยางหยางคิดถึงเรื่องนั้นไว้ จำได้ว่าเด็กคนนี้เคยเป้นเนวิเกเตอร์ในรายการเรียลลิตี้ที่เคยไปร่วม ถูกชมยกใหญ่ เขาเบาใจเรื่องนี้ไปแต่ก็เสียเซลฟ์ไม่น้อยที่ถูกรุ่นน้องดุต่อหน้าทีมงานแบบนั้น





แต่ก็จริง เขาไม่ระวังเองล่ะ





หลังจากที่หยางหยางคว้ามือให้เขาไปยืนที่มุมรถไฟฟ้าแล้ว คนแปลก ๆที่หยางหยางว่าคนนั้นก็ยังคงจ้องมาทางอี้เฟิงไม่ลดละแต่อารมณ์เสียนิดหน่อยที่หยางหยางลากอี้เฟิงให้ห่างคนแปลก ๆนั้นไป จนไม่สามารถทำอะไรแปลก ๆ ได้ จนพวกเขาลงจากรถไฟฟ้า และรีบเดินให้ไว จึงสลัดคนแปลก ๆ นั่นหลุด หยางหยางยังคงหงุดหงิดอยู่  เขาเองก็หงุดหงิดเหมือนกันที่จะต้องมาถูกรุ่นน้องดุ แถมเป็นเรื่องที่เขาสะเพร่า ก็จริงอยู่ที่เขาไม่ระวังแต่คนมันเยอะมากขนาดนั้นจะขยับไปไหนได้ ใครจะไปรู้ว่าใครจะบ้าจะดี  จะมาหงุดหงิดเขาก็ไม่ถูก  เขาเองก็ไม่เคยถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวมาตั้งแต่สมัยเดบิวท์แล้ว ไปไหนก็มีทีมงานผู้จัดการไปด้วยตลอด คราวนี้มีแค่ทีมงานที่ไม่คุ่นเคยและหยางหยางเท่านั้น จะทำตัวไม่ถูกก็ไม่แปลกไม่ใช่รึไง





เขาก็มีข้อแย้งได้เหมือนกัน ให้ถึงช่วงทอคของรายการก่อนเถอะ จะบอกออกอากาศ เรียกคะแนนสงสารเลยเชียว





“เฟิงเกอ นั่งตุ๊กตุ๊กได้ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“นายคำนวณแล้วว่ามันดี ก็ตามนั้นไปเถอะ”
“พี่เลิกปั้นปึ่งกับผมแบบนี้ซักที”
“เปล่า อยากทำอะไรก็ทำ ยังไงฉันมันก็พวกสกิลการใช้ชิวิตต่ำอยู่แล้วนี่”




โดนงอนหนักมาก...หยางหยางย้ำความคิดนี้ซ้ำสอง เขาถอนหายใจครู่หนึ่งก่อนแบกกระเป๋าขึ้นตุ๊กตุ๊กไป ทีมงานนั่งหันหลังชนกับพี่คนขับ ส่วนของกับหลี่อี้เฟิงนั่งข้างกัน กระเป๋าหนัก ๆ ถูกวางตรงที่ว่างตรงหน้า นั่งกันลำบากหน่อย แต่ต่อรองราคากันจนคนขับโมโหก็ได้ราคาไม่เลว หยางหยางจึงตกลง  บอกให้ทั้งคู่ทนความคับแคบเสียหน่อย จนกว่าจะถึงที่พัก







“เอ่อ พี่คนขับ ซักครู่นะครับ”






ทีมงานเห็นหยางหยางเอ่ยทักคนขับที่กำลังจะออกรถ เมื่อทุกอย่างเข้าที่  เขาวิ่งตรงไปยังร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่ริมทางใกล้ ๆ ตรงนั้น  เมื่อวิ่งตามไปถ่ายเก็บไว้ หยางหยางซื้ออมยิ้มลูกกลม ๆ มาสามไม้  แต่ไม่ได้มาถึงมือเขา หยางหยางวิ่งกลับไปที่รถทันที และเมื่อทีมงานผู้นี้วิ่งตามหลังไปเก็บภาพ






ก็พบว่าอมยิ้มสามไม้นั้นอยู่ในมือหลี่อี้เฟิงแล้ว คนให้ก็นั่งหันหน้าออกด้านนอก แสร้งชมวิวไป คนได้อมยิ้มก็ยิ้มตามของที่อยู่ในมือ บ่นกระปอดกระแปดว่าใช้เงินไม่ปรึกษาเลย แต่ก็บ่นไปก็ยิ้มไป ทีมงานผู้นี้เก็บภาพไว้เท่านี้  คิดอะไรออกก็ขอแบ่งอมยิ้มจากอี้เฟิงบ้าง แต่เขาไม่ให้ บอกว่า ให้ไปขอหยางหยางเอาเอง หมอนั่นแค่ฝากถือ






ทีมงานผู้นี้ได้ยินแบบนั้นก็จุดยิ้มขึ้นมา  คิดว่ามาตามถ่ายคู่นี้คิดว่าจะหินกว่าที่คิด ดีที่ไม่ขอย้ายไปอีกประเทศ แบบนี้เขาอาจจะได้อะไรดี ๆ กลับไปเล่าให้โปรดิวเซอร์กับทีมงานคนอื่นฟังก็ได้








-STEP TOGETHER-










เมื่อวนกันอยู่นาน เพราะหยางหยางสับสนกับตรอกซอกซอยของกรุงเทพ แต่ก็มาถึงที่พักทีที่มงานเตรียมไว้ให้จนได้ ภารกิจแรก ภารกิจเล็ก ๆ ของวันแรกในประเทศไทยจบสิ้น ถือว่าเป็นแค่น้ำจิ้มแต่เล่นเอาอี้เฟิงแทบอ้วกออกมา เพราะคนขับตุ๊กตุ๊กก็ขับได้น่ากลัวเหลือเกิน หยางหยางและทีมงานผู้นี้ก็เวียนหัวไปตาม ๆ กัน แต่ก็เก็บภาพวิวข้างทางมาได้พร้อมกับภาพของทั้งคู่ที่แม้ไมได้คุยอะไรกัน แ ต่ก็ไม่ได้เถียงกันเป็นวรรคเวรแบบที่ทำกันอยู่บ่อย ๆ








“ดีใจที่พวกคุณมาถึงที่พักกันอย่างครบถ้วนและครบสามสิบสองครับ วันนี้วันแรกก็ไม่มีภารกิจอะไรมากไปกว่านี้แล้ว... และเราก็ขอแนะนำเพิ่มเติม พวกคุณมีตัวช่วยด้วยนะ”







หยางหยางและอี้เฟิงงงกันอยู่ครู่หนึ่ง (ทีมงานผู้นี้ก็ถ่ายไปในระหว่างที่สองคนกำลังส่งสายตางง ๆ มองทีมงานอีกสองคนและหันมามองกันเอง)  ตัวช่วยที่ว่าก็คือ คุณป้าคนหนึ่งที่อยู่บ้านตรงกันข้ามกับที่พักของพวกเขา คุณป้าเป็นเจ้าของบ้านพักหลังนี้ แม้ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองมากนักแต่ก็ไมได้เดินทางลำบากมาก ของกินมีรายรอบ เซเว่นก็มี แม้จะมาหมาตรงกลางซอยให้กลัวบ้างแต่ไมไดเปลี่ยวขนาดนั้น บ้านพักแม้เป็นแค่บ้านสองชั้นธรรมดาดูไม่ได้โดดเด่นแต่มีบริเวณอยู่บ้าง ให้พอได้เดินชมบริเวณโดยรอบ






“คุณป้าพูดภาษาจีนได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง แต่คุณป้าจะช่วยคุณได้แค่สามครั้งในตลอดทริปนี้เท่านั้น และเมื่อคุณขอตัวช่วย เงินของคุณก็จะถูกริบคืนไปด้วย”







เมื่อฟังเงื่อนไขก็เล่นเอาไม่อยากมีตัวช่วย แต่ก็อาจจะดีก็ได้ ทั้งสองคนคิดว่า หากวันไหนต้องการขึ้นมาจริง  ๆ คุณป้าอาจจะเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของชีวิต








“วันนี้พวกคุณเหนื่อยกับการเดินทางมามากแล้ว พวกเราพักที่คอนโดให้เช่าตรงปากซอยของซอยนี้ มีอะไรที่ร้ายแรงให้แจ้งด่วนนะครับ และทีมงานผู้นี้จะคอยอยู่กับคุณด้วย ที่บ้านคุณป้า หลังจากที่ถ่ายรายการจบในพาร์ทกลางคืนแล้ว และเพื่อเป้นการต้อนรับ คุณป้าเตรียมอาหารเย็นไว้ให้พวกคุณแล้วด้วย สุกี้หม้อนั้นเป็นของพวกคุณนะครับ”








หลังจากได้ยินคำว่าสุกี้ ดาราหนุ่มทั้งสองคนก็กระโจนไปที่โต๊ะอาหารทันที โดยไม่สนใจว่าทีมงานผู้นี้จะถ่ายทำอยู่หรือไม่ พวกเขาโคตรหิว เพราะการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อย คุณป้าตัวช่วยหัวเราะกับความร่าเริงของหนุ่ม ๆ ทีมงานที่เหลือลากลับไปที่พักของตน  เหลือเพียงทีมงานประจำหนึ่งคนที่อยู่ถ่ายช่วงสวามปามของทั้งคู่









-         STEP TOGETHER-






หลังจากที่เข้าร่วมวงสุกี้ด้วย  พวกเขาถ่ายทำพาร์ทกลางคืนกัน  ช่วงกันพาชมที่พัก ทั้งคู่พากันเดินสำรวจบ้านพักและของกันจนเสร็จและคงเลยไปจนถึงเวลาเข้านอน





“ตรงนี้ก็เป็นห้องครัว กับโซนนั่งเล่น บ้านไม่ใหญ่มากแต่ดูสะดวกสบายดีครับ”
“ผมว่าแบบนี้ก็ดี ทำความสะอาดง่ายด้วย”
“งั้นเวรแรกนายทำ เริ่มเช้านี้เลย”
“โหย เฟิงเกอ มาถึงก็จะให้ทำงานเลยเรอะ”





เป็นบทสนทนาหน้ากล้องหยอกเอินกันให้ขำ ๆ แต่แววตาไฟลุกกันทั้งคู่  ทีมงานผู้นี้ถ่ายทำตอนที่หยางหยางและอี้เฟิงลากกระเป๋าไปเก็บ และจัดข้าวของของตนเอง  บ้านนี้มีตู้เสื้อแค่ใบเดียว ทั้งคู่จึงต้องแบ่งฝั่งกันใช้ ห้องนอนมีหนึ่งห้องแต่เตียงใหญ่คิงส์ไซต์เรื่องที่นอนก็ไม่มีปัญหา อยูที่ว่าจะนอนด้วยกันโดยไม่เตะตกเตียงกันได้มั้ย หยางหยางจัดข้าวของเสร็จไวกว่า จึงกระโดดลงเตียงก่อนที่อี้เฟิงจะทันด่าด้วยซ้ำ





“ไปอาบน้ำก่อนเลย”
“ผมง่วงแล้วอ่ะ”
“หยางหยาง”
“อย่าดุสิพี่ ผมไปก็ได้”




เกือบจะไฟลุกอีกครั้ง แต่โชคดีที่หยางหยางยอมลงไปแต่โดยดีและคว้าอุปกรณ์อาบน้ำไปจัดการตัวเอง  แววตาคมกริบหันไปสังเกต รุ่นพี่ดุเขาออกมา แต่ยังคงยืนหันหลังให้ แต่ที่มือข้างหนึ่งถือห่อเปล่า ๆ ที่ห่ออมยิ้มที่เขาซื้อมาประเคนให้เมื่อก่อนหน้านี้ ที่ยอมลงก็เพราะยอมกินอมยิ้มที่ให้ไปหรอกนะ













“หยางหยาง...”
“ครับ พี่ ?”
“เอ่อ.. คืองี้นะ”






หลังจากคนพี่ไปอาบน้ำอยู่นาน กลับมาหัวเปียกโชกเหมือนยังไม่เช็ดผมให้แห้งเลยด้วยซ้ำ เสื้อผ้าก็รีบใส่ เขายังใส่แขนเสื้อไม่สุดดีเลยด้วยซ้ำ  






ทีมงานผู้นี้อยู่กับหยางหยางในห้องยังไม่กลับ เห็นความผิดปกติบนสีหน้าอี้เฟิงจึงถาม ทีมงานยิ้มนิดหน่อย พอถามไปเทพบุตรของทุกคนก็ตอบกลับมา







“ไม่ได้ยินเสียงอะไรกันหรอ ?”




“เอาละ...”






หยางหยางอุทานขึ้นมา  หลังจากนั้นอี้เฟิงก็สาธยายออกกล้องกันไปเลยว่า ตอนอาบน้ำได้ยินเสียงแปลก ๆ แบบไม่น่าจะใช่เสียงจากคนในบ้านด้วย แต่อธิบายไม่ถูกว่าเสียงอะไร ทีมงานถ่ายไปก็ขนลุกไป เทพบุตรแห่งชาติเล่าต่อว่าก่อนหน้านี้มาไทยก็เจออะไรแปลก ๆ ทำนองนี้ไปทุกครั้ง






“เฟิงเกอ อย่ามาอำกันนะ”
“เปล่าโว้ย ไม่งั้นฉันจะวิ่งหน้าถอดสีมาเรอะ”






แม้จะเคยถ่ายซีรีส์ผี ๆ มาก็ไม่ใช่ว่าภูมิต้านทานจะสูง ทั้งคู่กลัวผีกันเป้นงานประจำ ทีมงานผู้นี้ก็ใช่ว่าจะกลัวน้อยไปกว่ากัน สามคนก็นั่งเครียด ทีมงานยกกล้องถ่ายต่อไป ทั้งสองคนก็พูดต่อ






“เอาไงล่ะเฟิงเกอ”
“เอาไง ? ก็นอนดิ่วะ ไม่อยากเจออ่ะ คราวก่อนโดนอำยังเข็ดไม่หาย”





แต่ทีมงานผู้นี้เสนอว่า ให้เดินสำรวจรอบ ๆ บ้านก่อน เผื่อจะเป็นเสียงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อะไรแปลก ๆ อย่างที่คิด หยางหยางกับอี้เฟิงอยากจะฟาดหัวทีมงานคนนี้ซักที มันไม่มีในสคริปสไม่ใช่หรอวะ สำรวจหาผีเนี่ย แต่กล้องยังตั้งอัดไว้ ก็จำเป็นต้องไป






“ห้องนั่งเล่นไม่มีอะไร เดินไปต่ห้องครัวกันเลยนะ”
“นายนำไปก่อนเลยหยางหยาง”
“พี่สิ พี่ได้ยินก่อนผมนะ”
“อย่าเถียงได้มั้ย เดินไป เร็ว จะได้เข้านอน”






รุ่นน้องถูกผลักหลังเข้าไป และเมื่อสำรวจกันครบทั้งบ้าน มันไม่มีอะไรแปลก ๆ อย่างที่ว่า  เหลือแค่ห้องน้ำ ทั้งสามคนใจกล้า เปิดประตูโครมเข้าไป






“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”






-STEP TOGETHER-












“โอย หัวฉัน”






เมื่อคืนนี้เป็นคืนที่โหดร้ายไม่เบา






หลังจากที่ตะโกนกันลั่นบ้าน เพราะจู่ ๆ ก็ไฟดับทั้งบ้าน หยางหยางตกใจเตลิดจนถูกกล้องฟาดหัวเอา อี้เฟิงก็วิ่งหนีกลับห้องนอนไปเขาไม่เข้าใจว่ารุ่นพี่วิ่งกลับไปถูกได้อย่างไร จนทุกคนได้สติและไฟเริ่มติดมาบ้างบางส่วน คุณป้าที่เข้าบ้านไปก่อน รีบรุดมาหา เพราะกลัวมีเรื่อง สรุปก็ดังตามที่คิด ทั้งหยางหยางและอี้เฟิง รวมทั้งทีมงานผู้นี้ ถูกรับน้องกัน







“น่าจะเป็นน้องสาวป้าที่ตายในบ้านนี้กันน่ะจ้า ไม่เป็นไรนะ เธอเป็นคนขี้เล่นแบบนี้ล่ะ “





พูดจบคุณป้าก็เดินกลับบ้านไป .. พวกเขายืนอึ้งที่คุณป้าพูดเรื่องแบบนี้ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ โหดร้ายสำหรับพวกเขาเหลือเกิน พอไฟฟ้าติดครบทั้งบ้าน คุณทีมงานผู้นี้ให้ทั้งคู่พูดทิ้งทวนคืนนี้กันสั้น ๆ






“ไม่มีอะไรจะพูด ให้ผมกลับเร็ว ๆ ที” หยางหยางพูดก่อน เมื่อจบคุณทีมงานผู้นี้หันกล้องส่องไปที่อี้เฟิง
“ผมเหนื่อยมาก ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน”






และจบการสัมภาษณ์สั้น ๆ คุณทีมงานก็ชิ่งกลับบ้านคุณป้าไป ...ทิ้งให้สองหนุ่มดาราผู้โด่งดังแห่งประเทศจีนยืนคว้างในบ้านที่มีสาวน้อยขี้เล่นที่มองไม่เห็นอยู่ด้วย







เมื่อคืนทั้งหยางหยางและอี้เฟิงตกลงกันว่าจะไม่ปิดไฟนอน แต่พอมาคิดอีกที ถ้านอนไปแล้วไฟตกหรืออะไรมากกว่านั้นก็น่ากลัว สรุปพวกเขาปิดไฟ และนอนกัน กระสับกระส่ายกันพอสมควร มีสวดมนต์กันบ้าง (ตามที่เปิดได้จากเว็บไซต์) พวกเขาสองคนสมานฉันท์กันชั่วคราว และเพราะความเหน็ดเหนื่อยจึงหลับกันไปจนเช้า












และเช้านี้









เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา  หยางหยางเปิดมือถือขึ้นดู และได้รับการแจ้งผ่านเมสเสจส่วนตัวจากทีมงานจะเริ่มงานกันสาย ๆ เนื่องจากพบเหตุการณ์ไม่คาดฝันกันเมื่อคืนนี้ หยางหยางอ่านข้อความจบก็เอนตัวลงนอนอีกครั้งและ







“ตื่นสายกว่าเราอีกนะเนี่ย”






พอบ่นจบ หยางหยางก็ขอหันไปแกล้งคุณเทพบุตรข้าง ๆ ตัวหน่อย แน่นอนมีแค่เตียงเดียวก็ต้องนอนด้วยกันอยุ่แล้ว แถมเจออะไรไม่คาดฝัน ยิ่งมีพวกยิ่งดีใหญ่ เขาเองก็ไม่ด้ถือ รุ่นพี่ก็ไม่ติดใจอะไร จะนอนข้างกันก็ไม่เป็นไร








แต่ตอนนี้หยางหยางรู้สึกเป็นอะไร ขึ้นมา..นิดหน่อย







เขาหันมาหา คิดว่าจะแกล้งคนหลับให้หนำใจแต่กลับแกล้งไม่ลง







คนหน้าตาน่ารักที่กำลังหลังพริ้ม ทั้งจมูกรั้น ริมฝีปากที่เผยอขึ้นนิดหน่อย หยางหยางเผลอคิดอะไรบ้า ๆ บอ ๆ กับริมฝีปากนั้น ไล่มาเห็นท่านอน รุ่นพี่ขดตัวเองใต้ผ้าห่มโผล่พ้นเพียงแค่หน้าตาของเขา ผมยุ่ง ๆ นั่นอีก และดูเหมือนรุ่นพี่จะนอนดิ้นไม่ใช่เล่น เพราะหัวเขาไมได้อยู่บนหมอน





อีกอย่างคือ หยางหยางในตอนนี้อยู่ใกล้หลี่อี้เฟิงในระดับประชิด แบบไม่กล้าขยับตัว เพราะกลัวอีกคนตื่น ทั้งที่ก่อนหน้านี้อยากจะแกล้งพี่เขาจนตื่นแท้ ๆ






รุ่นน้องคนหล่อพินิจใบหน้ารุ่นพี่เมื่อยามหลับอีกครั้ง และเผลอจุดยิ้มขึ้นมา  มือที่ยกขึ้นมาอย่างเผลอตัว เกลี่ยผมตรงหน้าผากที่ปรกอยู่ออกไป รุ่นพี่ขยับตัวเมื่อถูกรบกวนและหันไปอีกทาง หลับต่ออย่างสบายใจ







หยางหยางหมดอารมณ์จะแกล้ง จึงลุกจากเตียงนอนขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ พลางคิดในใจว่า หกวันที่เหลือถ้าต้องตื่นมาเจอแมวน้อยขี้เซาแบบนี้ทุกเช้าก็ไม่เลว








"โชคดีนะที่ไม่มีกล้องถ่าย ไม่งั้นเห็นเรายิ้มใส่แบบนี้ คนหลับได้ใจแย่"





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น