TITLE : กิจการหลังบ้าน
Order No. : 5
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG
RATE : PG
ปล . ปมมา ..มาเรื่อย ๆ
***********************************************************************
“ปัวปัว!”
คุณผู้กองหยางหยางคงคิดว่าเห็นประสาทหลอน
หรือคิดถึงน้องจนเป็นบ้า เกิดภาพหลอน ไม่ ไม่ใช่ ยัยตัวร้ายของผม
น้องสาวที่น่ารักของผม ยืนอยู่ตรงทางเดินตรงนั้นไม่ไกลจากผม
มือของผมรีบผลักกอดผู้กองหยางโดยทันที
หมวดเฉินเองก็ตกใจที่ผมอุทานเป็นชื่อของปัวปัวเสียลั่น
แต่เตี่ยเหมือนจะยังไม่ได้ยิน
ผมเดินตรงไปยังทิศทางที่ผมเห็นปัวปัว
ให้ตาย เธอจริง ๆ วิญญาณเลือนราง แต่ผมก็ยังเห็นได้ ด้วยตา
ตาของผมเองที่ไม่เคยเห็นสิ่งลี้ลับแบบนี้มาก่อน
ตอนนี้เหมือนประสาททุกโสตเปิดรับเรื่องทั้งหมด เรื่องหลังความตาย สัมผัสของผมที่มีเพียงน้อยนิด
จากนี้มันได้เปลี่ยนไป
ตอนนี้ผมมองเห็นวิญญาณ
รับรู้กลิ่น สัมผัสได้ เหมือนกับผมได้รับพลังใหม่มา
“ที่เฟิงเกอเห็นก็น่าจะเป็นเพราะปัวปัวเป็นแบบนี้ล่ะนะ”
ปัวปัวพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินช้า
ๆ อย่างอึ้งและตกตะลึงไปหาเธอที่อยู่ตรงทีเดิมไม่ไปไหน เธอรอให้ผมเข้าไปหา
ผมเดินเข้าไปพบใบหน้าน้องสาวที่รักที่หน้าตาละหม้ายคล้ายผมแบบทุกส่วน
ผมอยากกอดเธอในใจขาด เธอบอกว่า เรื่องสัมผัสวิญญาณเราทำได้ เพราะเรามีพลังพิเศษ
แต่เธอบอกผมว่าอย่าจะดีกว่า ไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น
การสัมผัสวิญญาณแต่ละครั้งใช้พลังกายมากมาย
เพราะวิญญาณไม่มีร่างเนื้อแบบมนุษย์แล้ว
ผู้เป็นมนุษย์ที่มีพลังพิเศษจำเป็นจำต้องใช้พลังที่มีในร่างบวกกับวิชาที่ฝึกมา
ซึ่งผมไม่ได้ฝึกอะไรมากมายขนาดนั้น
พวกปราบมารหรือพวกที่มีวิชาแบบเดียวกับเรา เลี่ยงได้ก็จะไม่สัมผัสวิญญาณโดยตรงแบบที่เราทำกับมนุษย์ทั่วไปด้วยกัน
“เฟิงเกอ
มองเห็นปัวปัวชัดขนาดไหน”
“ก็ลาง ๆ
ยังไม่เห็นเต็มตา เทียบได้ก็ 50 % “
“คิดว่าต่อไปเฟิงเกอน่าจะมองเห็นวิญญาณชัดกว่านี้
อยากให้เฟิงเกอระวัง”
“เข้าใจแล้ว”
ปัวปัวพูดแต่สาระสำคัญที่ให้ผมเข้าใจทันที
และไม่เยิ่นเย้อ การพูดคุยกับมนุษย์แบบนี้
วิญญาณที่บอบช้ำแบบเธอก็ต้องใช้พลังในการสื่อสารติดต่อกับผู้คนอีกโลกหนึ่งเหมือนกัน
วิญญาณกับมนุษย์อยู่คนละมิติ คนละภพ แต่เราจูนกันได้ เพราะเรามีพลังพิเศษหนึ่ง
หรือฝั่งวิญญาณมีธุระอะไรกับเรา นั่นคือสอง เหตุผลอื่น ๆ ก็ก็ตามแต่กรณี หรือสถานการณ์กันไป ผมหันไปทางผู้กอง คิดมากเหมือนกันวาเขาจะตกใจ
แต่เปล่าเลย เขาดูเหมือนจะเข้าใจอะไรทุกอย่างได้ง่ายดายขึ้นแล้ว
เขาเพียงแค่ถอยไปนั่งไกลจากเราหน่อย เหมือนปล่อยให้เราสองคนพี่น้องคุยกับ
หมวดเฉินก็ด้วย แต่พวกเขายังมองมาทางพวกเราตลอดเวลา เหมือนช่วยระวัง แม้
พวกเขาจะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม
“ปัวปัว...”
ผมทอดมองน้องสาวอย่างหมดหัวใจ
ผมอยากกอดเธอ แม้จะต้องห้ามใจหนักหนาก็ยังอยากทำอยู่ ปัวปัวยิ้มสวยหวานให้ผม
และโบกมือน่ารักตามสไตล์ที่เธอทำประจำ
และผมก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากให้เธอเห็นจนยัยตัวร้ายนี่ต้องเก็บไปล้อผมอีกนานแน่ ๆ
“เฟิงเกอไม่ต้องร้องไห้
ปัวปัวไม่เป็นไร ที่เป็นอะไรน่ะ เตี่ย
เพราะปัวปัวเองที่มั่นใจในฝีมือตัวเอง คิดว่าใน ที่นั่น ไม่มีอะไร
..แล้วเป็นยังไงล่ะ ก็อย่างที่เห็น”
“ก็เธอเก่งจริง
ๆ ปัวปัว พี่ช่วยอะไรเธอไม่เลยแท้ ๆ “
“เพราะพี่เป็นคนที่เราต้องปกป้องดูแลต่างหาก
เฟิงเกอ เราไม่ให้พี่เข้าไปยุ่งกับของมืดมนแบบนั้นหรอก อย่างน้อย พี่ซักคนก็ยังดี”
ปัวปัวพูดจาแปลกหูไปหน่อย
แต่ก็คงปลอบใจเพราะความอ่อนด้อยของผม เพราะถ้าผมเข้าไปยุ่ง
ความอ่อนด้อยนี้ก็จะทำให้งานบ้านเราลำบากขึ้น ปัวปัวถอนหายใจออกมา แต่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม
“เอาจริง ๆ
นะเฟิงเกอ ปัวปัว มั่นใจว่าปัวปัวจัดการได้ แต่จู่ ๆ
เจ้าพวกนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นมาทันตาเห็น ปัวปัวตีพวกนั้นให้พ่ายไป แตกไปหลายครั้ง
พวกมันก็ยังรวบรวมพลังทุกเศษเสี้ยวมาสู้กับปัวปัว
ขนาดเตี่ยที่เป็นผู้ถ่ายพลังส่งต่อมาให้ ยังกระอักไปด้วย สะเทือนไปด้วยเลย
จนนั่นล่ะ ปัวปัวพลาดท่า พวกมันเรียกพวกมากันครบองค์ ฉันก็เลยโดนพวกนั้นกระชากร่าง
สงสารเตี่ยแทบขาดใจเลยล่ะ...”
ผมฟังเรื่องราวอันน่าสลดและขนลุก
คำว่า กระชากร่าง ดูเหมือนธรรมดา แต่นั่นหมายถึงว่า วิญญาณพวกนั้น
ที่เราเสียท่าพวกมันแล้ว กำลังแย่งร่างของเราเพื่อครอบครอง
ไม่ว่าจะดวงวิญญาณดวงไหน ถ้ายังไม่ไปจากโลกก็ต้องการมีร่างเนื้อเพื่อดำรงอยู่
พวกนั้นมีช่องเพื่อจะครอบครองร่างที่มีพลังชีวิตมากอย่างร่างของปัวปัว
มีหรือจะปล่อยไป การกระชากร่างนี้ ทำเอาวิญญาณของปัวปัวหลุดไปจริง ๆ จนเตี่ยจะต้องวิ่งเข้าไปฉกร่างของปัวปัวที่ถูกกระชากอย่างรุนแรงออกมา
ร่างนั้นผ่านการเข้าออกของดวงวิญญาณบ้าบอหลายร้อยดวง ร่างร้อนแทบละลาย
ป่นเป็นเนื้อก้อนเดียว ใบหน้าบูดเบี้ยว ปัวปัวบ่นว่า
ความน่ารักของเธอต้องหายไปกับเจ้าพวกบ้านั่น ผมก็โกรธเหมือนกัน
แต่เธอพูดเหมือนติดตลก เพราะไม่อยากให้ผมคิดมาก
“ปัวปัว
เราจะพาเธอกลับเข้าร่าง รอหน่อยนะ”
“เฟิงเกอก็ไม่ต้องคิดมาก
ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริง ๆ พี่ต้องรู้เอาไว้นะ ตอนนี้คนที่อันตรายที่สุด
ไม่ใช่ฉันแล้ว แต่เป็นเฟิงเกอ”
ปัวปัวบอกความรู้เพิ่มเติมให้ผมอีกอย่าง
“ตอนนี้พี่เป็นคนทีมีพลังมากที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในบ้านหลี่แล้ว”
ผมงงกับคำตอบของปัวปัว
ที่บอกมา ใบหน้าของเธอที่แม้เลือนรางดูจริงจังและขึงขัง เธอเสมองไปด้านหลัง
คุณผู้กองหยางที่มองมาทางผม แน่นอนเขาไม่เห็นปัวปัว และหมวดเฉินที่อยู่ใกล้ ๆ
ก็อยู่ด้วย หลังจากนั้นปัวปัวก็จุดยิ้มและเอ่ยต่อไป
“แต่ที่ปัวปัวดีใจก็เพราะพี่มีอัศวินมือดีอยู่
เลยหายห่วงไปเปราะหนึ่ง”
“ทำไมล่ะ
เขาช่วยพี่เรื่องทางนั้นไมได้”
“แต่ปัวปัวรู้สึกว่า
เขาคนนั้นที่กอดพี่โชว์ฉันเมื่อครู่ ...ยังไงดี ...น่าจะมีอะไรต่อกันมาก่อน
เฟิงเกอกับเขา อัศวินของพี่น่ะ”
ปัวปัวทอดมองใบยังผู้กองหยางหยาง
เขาก็ยังคงมองมาทางผม แต่เมื่อผมหันไปหาเขา เขาก็เสมองไปทางอื่น เอาจริง ๆ
ผมก็ยังสงสัยในทุกอย่างที่เขากระทำกับผม ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาถึงผม
ก็คิดอย่างที่ปัวปัวคิดเหมือนกันว่า เราน่าจะมีอะไรต่อกันมาก่อน...
“แต่บ้านเราไม่ได้รับอนุญาตให้ระลึกเรื่องเก่าก่อน
ทำนายอนาคตไม่ได้ด้วย ปัจจุบันเท่านั้นที่จะบอก แต่ฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่ปล่อยให้พี่เป็นอันตราย”
ปัวปัวแน่ใจแบบนั้น
เธอยิ้มกว้างมากกว่าเดิมนิดหน่อย และดูเหนือยกว่าเดิมด้วย อย่างที่ผมกล่าวไป
เธอต้องใช้พลังในการสื่อสารกับมนุษย์แบบเรา ต่อให้แม้ผมกับเธอจะมีสายสัมพันธ์พิเศษ
แต่ตอนนี้เราอยู่คนละภพกัน และญาณของผมก็เพิ่งเริ่มเปิดรับ เธอจึงต้องพยายามมาก ๆ
เพื่อสื่อสารกับผม..และ
“เฟิงเฟิง
ปัวปัวอยู่กับลูกหรอ”
..ผมไม่เข้าใจคำถามของเตี่ย
ที่ไม่เข้าใจคำถามง่าย
ๆ นั้นก็เพราะเตี่ยเป็นผู้มีญาณรับรู้สื่อวิญญาณและทุกอย่างที่อยู่หลังความตายทางการมองเห็นดีที่สุดในบ้าน
จะนับว่าในวงการยุทธจักรนี้ เตี่ยมีญาณด้านนนี้เจ๋งที่สุดก็ว่าได้
แต่ตอนนี้เตี่ยกลับถามหาปัวปัว
ที่เป็นวิญญาณที่เตี่ยมองเห็นได้เพียงแค่กระพริบตาและเธอยืนอยู่ตรงหน้าผม
“ว่าไงเฟิงเฟิง”
“ใช่เตี่ย
ปัวปัว..อยู่ตรงหน้าผม”
นี่คือสิ่งที่ปัวปัวบอกผมหรือเปล่านะ
“เฟิงเกอ
ตอนนี้เตี่ยใช้พลังทั้งหมด
ทุ่มไปกับการรักษาร่างและดุแลร่างเนื้อของปัวปัวและตอนที่เราต่อสู้กับพวกนั้นในป่า
เตี่ยเสียกับรับรู้ทางการมองเห็นไปแล้ว เพื่อแลกกับพลังที่ขอหลังบ้านมา ตอนนี้น่ะ
ถ้าไม่นับพลังที่ดูแลปัวปัว เตี่ยก็แทบจะเป็นคนธรรมดาแล้ว”
ยิ่งฟังผมยิ่งงง สับสนและอึ้งระคนประหลาดใจ
เข้าใจว่าเตี่ยในช่วยหลัง
ๆ พลังถดถอยไปเพราะสุขภาพที่ไม่ดี และเนื่องด้วยการครองพลังหนักหน่วงเป็นเวลานาน
และซ้ำยังใช้มันอย่างหักโหมทุกครั้ง และครั้งนี้ก็หนักหนาจนทำให้เราต้องแลกพลังจากหลังบ้านที่เป็นแหล่งขุมพลังของบ้านหลี่มา
การแลกพลังคืออะไร
?
ผมไม่รู้แน่ว่าหลังบ้านมีอะไร
เพราะผมอ่อนด้อยเรื่องพลังที่สุดในบ้าน ฝีมือไม่เอาไหน
การเข้าไปในพื้นที่หลังบ้านจึงเป็นการเข้าไปโดยเข้าได้เพียงแค่ส่วนต้นของ’หลังบ้าน’
เท่านั้น
หลังบ้านของบ้านหลี่เป้นตัวเรือนไม้หลังขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก
มีสามชั้น ในสุดเป็นที่ที่ผมเข้าไม่ได้ ปัวปัวเข้าได้แค่ชั้นสอง
ส่วนเตี่ยกับปู่ที่ตายไปแล้ว เข้าได้ถึงในสุด เป็นแหล่งขุมพลังความลับที่จะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อเรามีพลังและฝีมือมากพอ และถูกรับเลือกเท่านั้น ในนั้นมีพลังมากมายไหลวนอยู่
ดีไม่ดีก็เป็นพลังบ้านเรา ผมทำใจไว้ก่อนหน้าว่า
อย่างน้อยก็คงจะไม่ใช่พลังจากเทพอะไรทำนองนั้น
เพราะบางทีที่เราในบ้านหลี่บางคนใช้พลัง เราก็เหมือนปีศาจกลับชาติมาเกิด...
การแลกพลังคือ
หากเรามีช่วงเวลายากลำบาก ต้องการพลังอย่างมากมายเพื่อต่อสู้กับอะไร
หรือต่อกรกับสิ่งที่เราไม่อาจชนะได้ การแลกพลังเป็นตัวเลือกที่โคตรแย่ที่สุดที่บ้านหลี่จะใช้
เพราะเราจะต้องแกลกับอะไรที่เข้าท่า และอีกฝั่งที่อยู่ใน ‘หลังบ้าน’
รับฟัง ซึ่งเตี่ยใช้ตัวเลือกโครตแย่นั่น และที่ปัวปัวหมายถึงก็คือ เตี่ยแลกกับการมองเห็นของเตี่ย
ตอนนี้เตี่ยตาบอด.. บอดทั้งทางญาณสัมผัส และการมองเห็นธรรมดา
“ถ้าปัวปัวอยู่ตรงนั้น
บอกน้องว่า ...เตี่ยขอโทษ”
คำของผุ้เป็นพ่อกล้ำกลืนพูดออกมา
อีกฝ่ายที่เป็นน้องสาวของผม เธอยิ้มกดมุมปากกลั้นสะอื้นแต่น้ำตาไหลออกมาล่วงหน้า
เธอส่ายหน้าพร่ำบอกทั้งน้ำตาว่า ไม่เป็นไร เธอสบายมาก
เตี่ยฟังคำที่ผมถ่ายทอดมาจากน้องก็ยิ่งถอนหายใจหนัก แต่ตอนนี้เตี่ยต้องห้ามร้องไห้
เพราะมีผู้หมวดและผู้กองนั่งมองเราสามคนอยู่ด้วยย
“ เตี่ยจะพาน้องกลับมา ให้รอ และให้ดูแลตัวเองดี ๆ “
วิญญาณของปัวปัวเดินเข้ามาและยืนอยู่ในระดับเดียวกับผม
เธอคุกเข่าและคำนับเตี่ยอย่างช้า ๆ และยืนขึ้นเหมือนเดิม ผมมองภาพทุกอย่างในตอนนี้
มันบีบรัดหัวใจ บ้านเรากำลังโดนมรสุมร้าย อะไรเช่นนี้
“หลังจากนี้ที่แกจะต้องเป็นเจ้าบ้านหลี่แทนเตี่ยแล้ว แกจะต้องเข้มแข็ง
แต่เตี่ยดีใจที่แกมีผู้กองหยางหยางดูแล ให้อยู่ใกล้เขา อยู่ใกล้เขาเอาไว้
พาเขามาอยู่บ้านก็ได้ แต่ให้อยู่ส่วนหน้าของบ้าน ห้ามเข้าหลังบ้านเด็ดขาด
และแกเองต้องระวัง เพราะหลังจากนี้ ชีวิตแกจะอันตรายเพิ่มขึ้นจนแกคาดไม่ถึง “
เตี่ยที่แม้จะตาบอดไปแล้ว
แต่สัมผัสด้านอื่นไมได้ลดถอยไปเลย
เตี่ยเดินย่ำไปในโรงพยาบาลอย่างกับยังมีตามองเห็นได้ เตี่ยเดินตรงมาทางผม
และโน้มคอมากระซิบ
“และอีกอย่าง เราโดนลอบโจมตีแล้ว
เฟิงเฟิง ให้ระวัง มันจะมีอีกเป็นครั้งต่อไป
ในป่านั่นมีอาคมอย่างอื่นซ่อนอยู่ด้วย”
ใครกัน ?
แต่เหมือนเตี่ยจะบอกผมไม่ได้ แสดงว่าผีทั้งหลายในป่านั่นไม่ใช่พวกเดียวที่โจมตี
มีอย่างอื่นที่เราทั้งหมดสามคน บ้านหลี่ไม่เคยรู้ ว่ามันมีอยู่
กับดัก อย่างนั้นหรือ ?
“เตี่ยจะต้องพาน้องกลับหลังบ้าน
และจะออกไปไหนไม่ได้อีกต่อไป เตี่ยจะต้องตรึงพลัง และรักษาร่างน้อง
พร้อมทั้งกำจัดไอ้เวรตะไลที่อยุ่ในร่างปัวปัวออกไปด้วย
เศษเสี้ยววิญญาณห่ารากพวกนั้นกัดกิน ฝังตัว เป็นปรสิต ในร่างปัวปัวจนบิดเบี้ยว มาเกาะแกะ เข้า ๆออก ๆ
ร่างอย่างกับบ้านมัน เตี่ยจะต้องทำให้ร่างน้องสะอาดที่สุด ถึงจะพาน้องเข้าร่างได้
และบอกน้องว่าให้ดูแลร่างวิญญาณดี ๆ เพราะอ่อนกำลังไป
น้องก็จะเข้าร่างไม่ได้เหมือนกัน ในช่วงแปดสิบสามวัน อย่าให้ปัวปัวไปซ่าที่ไหนล่ะ”
เตี่ยพูดติดตลก
เหมือนเตี่ยรู้ว่าเธอจะอยู่แถวนี้ ญาณเตี่ยเสื่อมถอยน่าดู เพราะผมรู้ว่าเตี่ยแทบสัมผัสอะไรไม่ได้เลย หากไมไ่ด้อยู่ใกล้ๆ วิญญาณหรืออะไรทำนองนี้ ทั้งหมดทุกอย่างกลับตาลปัตรกลายมาเป้นผม ตอนนี้ผมสัมผัสอะไร ๆ
ได้แล้ว ด้วยตัวเองจากที่เมื่อก่อนจะต้องให้ปัวปัวคอยบอก แต่เหตุการณ์เป็นแบบนี้
ผมยอมเป็นไอ้ง่อยเหมือนเดิมดีกว่า
ผมต้องดูแลคนในบ้านหลี่ ..แน่นอน ผมทำได้ นั่นเป็นสิ่งที่ผมยืนยันกับตัวเองตอนนี้
“แล้วก็อีกอย่าหนึ่ง
“
ปัวปัวเอ่ยกับผม
พอปัวปัวเอ่ย ผมก็พูดประโยคนี้กับเตี่ยให้รู้พร้อมกันด้วย แต่เราพูดให้เบา
ได้ยินกันแค่นี้
“ผู้กองหยางหยาง
พาคนอื่นมาด้วย จำที่ปัวปัวบอกได้มั้ยเฟิงเกอ”
จำได้ว่าตอนเจอผู้กองหยางหยาง
ไม่นาน เราสองคนทั้งปัวปัวด้วยรู้สึกแปลก ๆ อืม เหมือนเขามีอะไรตามมา
แต่ไม่ใช่อะไรไม่ดี คิดว่าเหมือนปัวปัวจะรู้แล้ว และ...ผมเองก็รู้แล้วเหมือนกัน
ญาณผมพัฒนาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว
มองเห็นชัดขึ้น สัมผัสทางบรรยากาศได้ไวกว่าเดิมหลายเท่า
ได้กลิ่นแยกแยะผีคนได้แล้ว
คิดว่าพลังการต่อสู้ก็น่าจะเพิ่มขึ้น แต่ต้องฝึกวิชาเพิ่ม
และพลังการเยียวยาก็น่าจะสูงขึ้นด้วย
ทั้งหมดนี้ปัวปัวกระซิบบอกว่า
เพราะกรรมสิทธิ์ทั้งหมดนี้โอนมาจากปัวปัว เราเป็นแฝดกัน
หากใครอีกคนสูญสิ้นร่างเนื้อ ความสามารถจะถูกถ่ายทอดไปหาอีกคนทันที
เพราะเราสองคนก็คือร่างเดียวกันแต่แยกออกมาเดินดินสองร่างดวงวิญญาณของเราสองคนที่จริงเป็นดวงเดียวแค่แยกร่างกัน
.อา...และญาณอันสมบูรณ์จากปัวปัวที่ถ่ายทอดมาสู่ผม
ทำให้ผมพบว่า ผู้กองหยางหยาง
เขามีสองคน...มีร่างสองภพหรือ ?
เพราะอีกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น...และอีกคน
ไม่สิ อีกร่างวิญญาณหรือ..จะว่าไป ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว ร่างวิญญาณตรงหน้าผม
เขาสูงกว่าผู้กองหยางหยางนิดหน่อย แววตาใจดีกว่า ไม่ดุดันแบบผู้กองและดูอบอุ่น
และเป็นคนที่แม้ไม่ยิ้มก็เหมือนมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ไม่เหมือนผู้กองหยางที่ตีหน้าเครียด
ผมเดินเข้าไปใกล้เขานิดหน่อย
เพราะหลังจากที่ปัวปัวเกริ่นเรื่องของเขาผู้นี้
เขาก็ปรากฏตัวออกมาให้ผมเห็นทีละนิด จนเต็มตา เขาเหมือนผู้กองหยางหยางมาก
แต่ไม่ทั้งหมด 80 % เห็นจะได้
“ที่จริงก็ไม่เชิงพาคนอื่นมา
แต่เขาติดตามผู้กองหยางหยางมาตั้งแต่เขาตายไปแต่เป็นวิญญาณที่ดี
และสะสมการบำเพ็ญบารมีเอาไว้หลังจากตายไปนิดหน่อย ตอนนี้เขาเป็นวิญญาณที่อยู่เคียงข้างคุณผู้กองหยางหยาง
คือปัวปัวก็งงเหมือนกัน แต่คุณรั่วไป๋ เป็นคนที่ดูแลผู้กองหยางหยางในบางที
เขาเป็นพี่ชายของคุณผู้กองหยางหยางที่เสียไปนานแล้ว”
คุณรั่วไป๋คนนั้นก้าวออกมา
“บ้านหยางของเรา
ไม่มีศาสตร์อะไรแบบที่บ้านคุณมีหรอกครับ
แต่เพราะผมกับน้องชายเรามีสายสัมพันธ์คล้าย ๆ อย่างที่คุณกับน้องมี
เราก็เลยปกป้องซึ่งกันและกัน “
ปัวปัวเสริมอีกนิดหน่อยว่าเขาช่วยดึงวิญญาณปัวปัวออกมา
ก่อนที่จะถูกพวกวิญญาณร้ายทำร้าย และตามประสาวิญญาณที่สัมผัสกันได้
เขาดึงมือปัวปัว ที่เป็นร่างวิญญาณที่กระเด็นออกจากร่างตัวหลังจากการต่อสู้ เตี่ยปกป้องร่าง แต่คุณรั่วไป๋นี่ช่วยดึงวิญญาณปัวปัววิ่งหนีไปไกล
คือโลกอีกภพของวิญญาณก็เหมือนกับมนุษย์
แต่เราก็แค่ไม่รู้เท่านั้นว่าวิญญาณเขาทำอะไร
ตอนนี้ก็มีวิญญาณอย่างคุณรั่วไป๋กับปัวปัวมาเล่าให้ฟัง
เตี่ยก็ได้ยินเรื่องทั้งหมด บอกว่าเตี่ยไม่ทันเห็นวิญญาณผู้ชายวิ่งพาวิญญาณปัวปัวไป
เพราะตอนนี้แลกพลังไปแล้ว มองไม่เห็นอะไร
(แต่เตี่ยก็เดินเหินเหมือนคนปกติที่มีตามองเห็น ให้ตายเถอะ!)
ตอนนี้เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา หลังจากนี้เราก็มีงานหนัก เริ่มจากสืบหากับดักนั้น
ซึ่งมันจะต้องมาจากอะไรซักอย่างที่คุณฝู สารวัตรแห่งกรมตำรวจต้องรู้แน่ ๆ
ผมต้องเริ่มงานจากตรงนั้น
มีช่วงหนึ่งที่ผมหันหน้าไปมองผู้กองหยางหยาง
ผมมองดูเขาครู่หนึ่ง เขาเหมือนรู้สึกอะไรได้.... ก็อาจจะเพราะอยู่กับคนอย่างพวกเรา
คุณรั่วไป๋เดินตรงไปทางเขา
นั่งคุกเข่าตรงหน้าน้องชาย ..ดูคุณรั่วไป๋แก่กว่า เมื่ออยู่ใกล้
ๆ ให้ได้เทียบ จริง ๆแล้วเขาสองคนไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนผมกับปัวปัวที่เหมือนกันจนแยกยาก หากแต่งตัวแบบเดียวกัน
มือคุณรั่วไป๋ลูบที่กลุ่มผมของผู้กองหยางหยาง
แน่นอนว่าภาพตรงหน้าคือวิญญาณร่างหนึ่งที่พยายามอย่างมากในการสัมผัสมนุษย์แต่มนุษย์ผู้นี้นอกจากไม่มีญาณสัมผัสแล้วก็ไม่รับรู้อะไรด้วย
แถมวิญญาณยังไม่มีพลังมากพอที่จะแสดงตัวให้คน ตรงหน้ารู้ตัวว่าเขามีอยู่
จึงกลายเป็นภาพชวนน้ำตาไหล
ผมคิดว่าผู้กองหยางหยางรู้สึกถึงบรรยากาศบางอย่างได้ และเขาเหมือนกำลังจะร้องไห้ คุณรั่วไป๋ ก็เช่นกัน
********************************** TBC กิจการหลังบ้าน ORDER 6***************************
มีต่อมั้ยคะชอบมากอยากอ่านต่อ💕💕💕
ตอบลบ