วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[SF] vanilla cake :: half piece ----- หยางเฟิง















“นะครับพี่ นะ ๆ ๆ  ผมเป็นรุ่นน้องที่โคตรน่ารักที่สุดในโลกเลยนะเฟิงเกอ แค่เรื่องเดียว แลกกับเค้กวานิลลาที่พี่ชอบกินร้านโปรดของพี่ ผมจะเหมาให้พี่ทุกวัน ให้กินจนพี่อ้วนไปเลย”











อี้เฟิงก็คงจะอ้วนดังคำที่รุ่นน้องคนนัน้ว่า เขาคิดอยู่ว่าไม่น่าจะไปตบปากรับคำอะไรง่าย ๆ แบบนั้นเลย












เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรไปช่วย แต่เพราะอี้เฟิงรักเค้กวานิลามากแท้ ๆ  ของกินบังหน้า หน้ามืดตามัวตอบตกลงเจ้ารุ่นน้องจอมตื้อไม่หยุดไม่หย่อนแบบหยางหยางไปเสียได้ ที่ช่วยก็เพราะเห็นว่าเป็นน้องที่สนิทด้วยหรอกนะ ไม่งั้นไม่ช่วยหรอก (ก็ไม่ใช่เพราะเค้กวานิลาอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่)












หลังจากนั้นมาชีวิตอี้เฟิงก็วุ่นวาย...มากขึ้น..จะเรียกว่านิดหน่อยก็คงยาก

















หยางหยางย้ำว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอี้เฟิงเท่านั้นที่ช่วยได้ เพราะอี้เฟิงกับหยางหยางเป็นรุ่นน้องรุ่นพี่ที่สนิทในคณะเดียวกันที่สนิทกันเป็นพิเศษ  นอกจากจะเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อนแล้ว ยังเป็นพวกนักกิจกรรมของคณะเลยทำให้ได้มีช่วงเวลาอยู่กันบ่อย ๆ เลยสนิทกัน จนบางครั้งใคร ๆ ก็คิดว่าพวกเขาสองคนต้องมีซัมติงอะไรกันแน่











จะไปมีอะไร บ้าบอที่สุด เขากับหยางหยางเป็นพี่น้องที่รักใคร่ พี่น้องร่วมคณะที่ดี ตบเกรียนกันก็ว่าได้ เห็นน้องมันเป็นเด็กเรียนดี ตั้งใจทำงานคณะ แม้จะน่ารำคาญตรงที่มีสาว ๆ หนุ่ม ๆ มารุมจีบรุมตอมไม่ขาดก็เถอะ (ขนาดว่ามีเขาเป็นข่าวลือ แต่ก็ยังมีมารุมอยู่ไม่ขาด จนบางคนกล้ามาขนาดถามเขาว่า เมื่อไหร่จะเลิกกับหยางหยาง ทั้งที่เรายังไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกันซักแปะ) แต่เราก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับข่าวลือบ้าบอแบบนั้น ก็เพราะมันไร้สาระ










ก็จนวันหนึ่ง หยางหยางมีเรื่องหนักใจมาให้อี้เฟิงช่วย











“แกล้งเป็นแฟนผม เรื่องนี้ล่ะเกอ”



อี้เฟิงได้ยินในตอนแรกแทบช็อค ทำไมมันถึงหน้าด้านมาขอแบบนี้ เราสนิทกันจนเห็นไส้เห็นพุง จะให้ไปแกล้งหวานแกล้งเป็นแฟนกระหนุงกระหนิงกันงั้นหรือ







“ไม่เอา จะอ้วก แค่คิดว่าฉันจะต้องไปเป็นแฟนแก ยิ้มให้แกหวานหยดแบบนั้น ก็ขนลุก”
“โหย พี่ก็ทำอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวัน ที่เราเจอกัน แค่นั้นเราก็เป็นข่าวลือแล้วนี่พี่”









ก็จริงของมัน เพราะหยางหยางเป็นถึงเดือนสุดหล่อในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยด้วย พอเริ่มทำตัวเกาะติดใคร หรือสนิทกับใครก็จะมีข่าวลือไปทั่วมหาวิทยาลัยแล้ว หนักสุดก็คืออี้เฟิงเองนั่นล่ะ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่อี้เฟิงกับหยางหยางต้องมีงานที่ต้องร่วมทำด้วยกันบ่อย ทั้งในห้องเรียน ทั้งงานคณะ สารพัด











“จริง ๆ ก็มีหลายคนที่คิดว่าฉันกับแกไม่ใช่แฟนกันอยู่แล้วนะ แบบนั้นใครเขาจะไปเชื่อกัน”
“ก็ทำให้ข่าวลือที่เริ่มซา กลับมาใหม่สิพี่”
“แบบว่า อยากรู้ทำไมแกต้องมาทำอะไรขนาดนี้ ทำไมต้องให้ฉันไปวุ่นวายด้วยเนี่ย”
“ก็ผมโดนคน ๆ หนึ่งตามจีบอยู่น่ะสิครับพี่ แบบว่าเขาเอาจริงเอาจังมากกกก”







อี้เฟิงเอียงคอสงสัยมองรุ่นน้องที่นั่งอ้อนวอนเขาต่อหน้า วันนี้มันมีเค้กวานิลาเจ้าโปรดของอี้เฟิงมาเซ่นไหว้ก่อนเริ่มงานด้วย


“ไว้จะคิดดู”
“โหยพี่ช่วยผมเหอะ”
“อะไรจะคอขาดบาดตายขนาดนั้น”
“จริง ๆนะพี่ พี่ลองดูว่าพรุ่งนี้เขาจะพยายามขนาดไหน ผมจะบอกเลยว่าความพยายามของเขาไม่ธรรมดามาก คือยังไงดีวะ เขาไม่ใช่สเปคผมแต่ตื้อขนาดนั้นก็ทานไม่ไหว ผมพูดแรง ๆ ก็แล้วนะ ก็ใจแข็งเหลือเกิน บอกว่าจะพยายามไปเรื่อย ๆ จนกว่าผมจะชอบเขา”








อี้เฟิงฟังคำอธิบายของหยางหยางไปเรื่อย  ๆ รุ่นน้องใช้สรรพนามแทนเป็นแบบผู้ชายกับบุคคลที่สาม อี้เฟิงไม่แปลกใจหรอกที่เป็นผู้ชายเพราะหยางหยาง รุ่นน้องของเขาคนนี้หล่อในระดับที่ไม่ว่าจะใครหน้าไหนถ้าเกิดหลงมันแล้วจะโงหัวไม่ขึ้นเชียวล่ะ อี้เฟิงที่สนิทกับรุ่นน้องคนนี้ก็เห็นมาหลายคน





แต่ถ้าถามเขา เขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น ใครจะไปรู้ล่ะมุมบ้าบอของไอ้หมอนี่ทำเอาอี้เฟิงหน่าย หลงมันไม่ลงหรอก (เคยเห็นตอนไปทำงานคณะด้วยกัน เมาจนเป็นบ้าเต้นไปทั่วบ้าน แถมยังอ้วกรดไปทุกที่ จนเขาอยากจะถีบไอ้รุ่นน้องไม่รักดีไปไกล ๆ บ้านเขา ไม่น่าชวนมันมาทำงานด้วย)







แต่สุดท้ายอี้เฟิงก็หลวมตัวช่วยยรุ่นน้องอยู่ดี ไม่ใช่เพราะเห็นแก่กินหรอกนะ แต่เค้กวานิลานั่นอร่อยสุด ๆอย่าบอกใครเชียว









VANILLA CAKE











“จริงด้วยว่ะหยางหยาง ตามหยั่งกับแกไปเป็นหนี้บ้านแม่มัน”





อี้เฟิงพูดตามภาพความจริงที่ได้เห็น นิ้วเรียวยาวของหยางหยางชี้ไปยังเป้าหมาย ชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้ หยางหยางเลย เห็นว่าเป็นเดือนของคณะใกล้ ๆ นี่เอง หลงใหลหยางหยางหัวปักหัวปำ ตามจีบรุ่นน้องเขามาเป็นอาทิตย์แล้ว  ตอนแรกหยางหยางก็เหมือนจะทนได้ แต่หลายวันเข้า  ชายหนุ่มคนนี้หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ  ตื้อหนักจนหยางหยางเริ่มกังวล อี้เฟิงในช่วงนี้ที่จำต้องตั้งใจเรียนพักกิจกรรมไว้ จึงไม่ค่อยเจอหยางหยางบ่อยนักก็เพิ่งได้รู้เรื่องกับเขาก็วันนี้





“นั่นล่ะพี่ ผมบอกพี่แล้ว พี่ต้องช่วยผมนะ”
“ยังไงล่ะเนี่ย”
“ให้ผมจัดการเองแล้วกัน แค่พี่ให้ความร่วมมือก็พอ”






ชายหนุ่มคนนั้นเข้ามานั่งตรงข้าง ๆม้านั่งที่ติดกับพวกเขา หยางหยางเสริมว่าพอใกล้เวลาเที่ยง ๆ หมอนี่ก็จะมาหาเขขา ตื้ออยู่ทุกวี่วัน ตอนนี้นายคนนั้นนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด จ้องเขม็งมายังอี้เฟิงแบบกินเลือดกินเนื้อ รู้แน่ว่าเขานี่ล่ะคู่แข่งเรื่องหัวใจตัวฉกาจ อี้เฟิงอยากจะตอบว่าเปล่า โดนบังคับโว้ย แต่รู้สึกสงสารรุ่นน้อง เลยปล่อยให้รุ่นน้องจัดการตามที่ว่าไป





“เห้ยเดี๋ยว!





แต่ไม่รู้จัดการท่าไหน หยางหยางถึงได้รั้งคอเขาไป ใบหน้าเราใกล้กันจนเลี่ยงไม่สบกันไม่ได้ ลมหายใจรดกันรู้สึกหน้าร้อนหน่อย ๆ อี้เฟิงตกใจไม่น้อยแต่ก็อยู่ในบทบาทต่อ




“วันนี้เราไปกินวานิลาเค้กเจ้าเดิมกันนะครับ เฟิงเฟิง”







ห๊ะ ? เฟิงเฟิง หยางหยางมันไปสรรหาสรรพนามเรียกเขาแบบนั้นมาจากไหน  ใบหน้าหวานแปลกใจและแสดงออกมาเลย แบบกลบไม่มิด พออี้เฟิงเลิกตกใจก็พลันไปสบตารุ่นน้องแบบเต็มตา









อะไรจะอินบทขนาดนั้น  








สายตาหยางหยางแบบนี้อี้เฟิงไม่เคยเจอมาก่อน แน่ล่ะ มันทำให้อี้เฟิงรู้สึกหน้าร้อนบ้างเหมือนกัน เขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ตาหวานเชื่อมเร่าร้อนขนาดนี้ใครที่ไหนก็เขินใช่มั้ยล่ะ  ....มั้งนะ เอ้อ..แถมยังใกล้กันขนาดนี้ จมูกจะแตะกันได้อยู่แล้วน่ะ








“เออ “


อี้เฟิงก็ตอบตกลงเรื่องเค้กวานิลาไปตามน้ำ เขาอยากละสายตาจะหยางหยางแต่ก็เหมือนจะถูกสะกดไว้ หยางหยางก็จ้องเขาไม่วางตาเหมือนกัน







ไม่รู้อีกฝั่ง ชายหนุ่มที่ตามจีบหยางหยางคนนั้นจะประสาทเสียตายไปหรือยัง แต่อี้เฟิงประสาทเสียไปก่อนชายหนุ่มคนนั้นไปก่อนแล้ว











อี้เฟิงรู้สึกหน้าร้อน คิดว่าคงโชว์อายไปแล้วเพราะตอนนี้หน้าของเขาคงแดงมากแน่ ๆ เพราะต้องมาแสดงอะไรก็ไม่รู้ต่อหน้าคนอื่น

















 แต่ ...เอ่..ไม่ใช่ว่าเขาหน้าแดงอยู่คนเดียวหรือ ?  ทำไมหยางหยางเองก็เป็นเหมือนกัน ?





















vanilla cake ,half piece -----



วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[FIC] CLOSE TO YOU (SEHUN x LUHAN) :: 1



TITLE :   CLOSE TO YOU 
AUTHOR : แม่แมว
CHAPTER : 1
PAIRING :SEHUN x LUHAN
RATE : PG - 13




*********************************************************************




“ ไม่เอาหน่า แม่ ผมดูแลตัวเองได้หน่า”
“แต่แกเห็นสภาพบ้านมั้ยลู่หาน ที่จริงแม่กับพ่ออยากจะเอาแกพกไปทำงานด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าแกยังเรียนอยู่”









ลู่หานเอ่ยค้านผู้เป็นแม่ แต่ไร้ผล เพราะความวุ่นวายที่เขาสร้างมันช่างก่อความลำบากในกับครอบครัวของเขามากจริง ๆ แม่ของเขาทำงานที่ต้องอยู่ประจำที่ งานก็ยุ่งแทบไม่มีเวลาทำอะไร ส่วนคุณพ่อน่ะหรือ ท่านไปทำงานต่างประเทศ ที่บ้านจึงมีแค่ลู่หานกับคุณแม่ที่ขยันขันแข็งทำงานและดูแลลูกชายที่เธอมักจะบ่นเสมอว่า เป็นลูกชายที่ป่วนจนได้เรื่อง และนี่ก็เป็นอีกครั้ง








“ห๊ะ ? จริงหรอคะคุณนาย... เอ่อ..หนูลู่หานนี่ยังซนไม่เปลี่ยนนะคะ”
“ก็อย่างนั้นล่ะคุณนายโอ ฝากมันไว้ซักพักแล้วกัน โชคดีนะที่บ้านไมได้ไหม้จนต้องทิ้ง แค่เสียหายเป็นบางส่วน ให้ตายสิ ได้เด็กบ้านี่ ไม่รู้จักระวังอะไรเลย แกบอกแม่มาดี ๆ นะว่าแกโกรธอะไรแม่รึเปล่าได้เด็กบ้าเสี่ยวลู่ แกถึงจะเผาบ้านเผาช่องแบบนี้"









คุณนายโอคิดว่าได้ยินไม่ผิด ลู่หาน ที่เป็นลูกชายของเพื่อสนิทที่มาอยู่ใกล้ ๆ บ้านของเธอห่างกันไม่อีกรั้วกั้น เพิ่งทำไฟไหม้บ้านไป แต่ลูกชายจอมซนของเธอก็ไม่ยอมบอก จนต้องถูกคุณแม่ไล่ตีเหมือนไล่จับไปรอบตัวเธออยู่ตอนนี้ เธอชินกับแม่ลูกคู่นี้ เห็นจนชินตา แถมคุณนายบ้านนี้ต้องลำบากดูแลลูกคนเดียว คุณพ่อเขาก็ไปทำงานต่างประเทศแบบนี้ เธอคงลำบากไม่น้อย และถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน







“ยินดีเสมอค่ะ ครั้งก่อนที่บ้านเราโดนขโมยของ  ตำรวจกันพื้นที่ไว้หาหลักฐาน คุณนายยังให้เราไปอยู่ด้วยเป็นอาทิตย์ แค่นี้สบายมาก แต่ถ้าโกรธอะไรป้า บอกป้านะลู่หาน หรือ โกรธอะไรเซฮุน ก็อย่าจุดไฟเผาบ้านป้านะลูก”
“โถ่ คุณป้า ผมไมได้ตั้งใจทำซะหน่อย”







หลังจากฝากฝังลูกชายตัวป่วนของเธอแล้ว คุณนายเพื่อนบ้านคนนี้ก็ถึงเวลาต้องไปทำงาน ซึ่งเลยเวลามามากแล้วเธอขอตัวลา หลังจากส่งกระเป๋าใบสุดท้ายของลูกชายไปไว้ในตัวบ้านของบ้านโอแล้ว ก่อนก้าวขึ้นรถ ผู้เป็นแม่ฟาดเข้าหัวลู่หานพอดีมือจนลูกชายร้องโอยขึ้นมา เอ่ยบอกว่าห้ามทำให้บ้านโอลำบากใจ ก่อนที่เธอจะรีบจากไป เธอบอกว่าวันนี้มีงานด่วนถึงด่วนมาก คุณนายบ้านโอจึงบอกกล่าวยืนยันว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของลู่หาน









แต่ที่เธอเป็นห่วงก็คือ










“อะไรเนี่ยแม่ เอะอะแต่เช้า”










ลู่หานที่แบกกระเป๋าสุดหนักหน่วงของตัวเองที่บรรจุของอะไรมาบ้างเขชาเองก็จำไม่ได้วางไว้ตรงทางเดินใกล้บนัไดบ้านคุณนายโอพอดี ทันที่คนมาใหม่เดินลงมาจากชั้นสอง ลู่หานก็วางกระเป๋าหันไปมาทางที่ได้ยินเสียง






หันไปประจันหน้ากับลูกชายบ้านนี้เข้าพอดี ลู่หานที่ไม่ได้สูงมากขนาดนั้น ติดว่าตัวเล็กด้วยซ้ำที่ยืนอยู่พื้นหน้าบันไดชั้นล่างกับเซฮุนที่เดินมาหยุดที่บันไดขั้นเกือบสุดท้ายพอดี คนหล่อตัวสูงเพิ่งตื่นนอน ดูยังงัวเงียเมาขี้ตาไม่หาย หันไปเจอหน้าตาคุ้น ๆ เจ้าประจำที่เขารู้จัก







“ไอ้ตัวแสบลู่หาน”
“ไอ้พี่เซฮุน”







เรื่องที่คุณนายโอเป็นห่วงก็คือเรื่องนี้นี่ล่ะ บ้านโน้นกับบ้านเธอไม่มีอะไรที่จะบาดหมางหรือไม่ชอบหน้ากันเลย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาก แต่ไม่นับรวมถึงลูกชายตัวแสบของทั้งเธอและคุณนายบ้านลู่









แสบกันทั้งคู่ เรื่องที่ไม่ชอบกันก็ประเด็นวัยรุ่นทั่วไป แกล้งกัน แถมยังไปจีบผู้หญิงคนเดียวกัน สรุปเป้นว่าชวดทั้งคู่เพราะสาวเจ้าไม่ชอบทั้งสองคน แต่ทั้งคู่ก็เกลียดกันเข้าไส้ไปแล้ว เจอกันทีไรเป็นต้องขึ้นไอ้มีประเด็นให้ทะเลาะกันเป็นเด็ก ๆ ประจำ ทั้งสองบ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร







“แม่ ไอ้เด็กนี่มันมาอยู่บ้านเราได้ไงอ่ะ”
“บ้านคุณนายเขามีปัญหาเล็กน้อย เลยมาฝากหนูลู่หานซักพัก หยุดเลยนะเซฮุน อย่าไปแกล้งน้องอีก ลูกก็ไปอาบน้ำแต่งตัว เราต้องไปติวหนังสือกับเพื่อไม่ใช่รึไง”
“รอดตัวไปนะ ไอ้ตัวแสบ วันนี้ฉันติดธุระ ไว้จะมาจัดการ”





เซฮุนส่งสายตาอาฆาตไอ้เล็กตัวเล็กแสบสันต์ เด็กที่เขาเห็นแล้วชวนต่อยตี กวนบาทาเป็นที่สุด ลู่หานตัวเล็กกว่าเขาไม่น้อย เห็นแล้วอยากจะตบกบาลเจ้าเด็กนี่เล่น แต่ติดที่แม่ยืนอยู่ตรงนี้ และเขาต้องรีบไปมหาวิทยาลัย เพราะมีนัดติวหลายวิชากับเพื่อน ๆ และอาจารย์ จึงรีบลงมาหาอะไรใส่ท้องก่อนจัดการตัวเอง แต่ไม่คิดว่าอยู่ ๆก็จะมาเจอคู่ปรับยืนจังกาหน้าตื่นอยู่ในบ้าน 






“เชิญคร๊าบ ไอ้พี่เซฮุน “





ลู่หานส่งยิ้มเย้ยหยันไปอย่างเต็มที่ คุณนายโอไม่เห็นเขาทำหน้าตากวนเท้าแบบนี้ใส่ลูกชาย ก็คิดว่าไม่เป็นไร จึงกวนใส่คนอายุมากกว่าอย่างไม่เกรงกลัว เซฮุนทำท่าจะยกกำปั้นฟาดหัวเขา แต่เขาก็เบี่ยงหลบและคุณนายโอพูดดักไว้ พอรอดตัวคนตัวเล็กก็แลบลิ้นใส่คนอายุมากกว่าไปอีกที เพิ่มความหมั่นไส้ระดับร้อยให้เซฮุนจนแทบจะเอาขนมปังหน้าเนยสดเขวี้ยงใส่หน้าเด็กคนนี้ แต่ลู่หานก็วิ่งไปหลบหลังคุณแม่ของเซฮุนแล้ว







คุณชายนายโอเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็กุมขมับ แล้วแบบนี้บ้านเธอจะเป็นอย่างไร เธอก็รู้สึกสงสารตัวเองจับใจอยู่เหมือนกัน








-          -      CLOSE TO YOU       -










“เห้ย ! นายเข้ามาในห้องฉันได้ไงห๊ะ!
“ก็แม่พี่บอกแอร์ห้องที่ว่างอยู่มันเสีย เลยให้ผม ลู่หานคนนี้มานอนห้องพี่ไงล่ะ ฉะนั้น พี่ย้ายห้องไปซะ ไป๊”







จะมากไปแล้ว ไอ้เด็กนี่






“แม่! ไหงห้องผมเป็นของไอ้ตัวเล็กนี่อ่ะ”
“ก็น้องเขาไม่มีห้องนอน ห้องที่ว่างอยู่ก็แอร์เสีย จะให้น้องมานอนห้องแม่มั้ยล่ะ”
“เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้”







ขืนให้ไอ้ตัวเล็กนี่ไปนอนห้องแม่เขา มีหวังเขาได้กลายเป็นหมาหัวเน่า เพราะปกติ ถึงแม้ว่าลู่หานจะไม่ถูกกันกับเขาแต่บ้านโอนี่ก็โอ๋ลู่หานเยี่ยงลูกในไส้จนเขาหมั่นไส้จับหัวใจ









จะว่าไป ตอนนี้จะทำอย่างไรกับไอ้ตัวเล็กจนป่วนนี่ดี









“นายน่ะ ลุกจากเตียงฉันไปเลย”
“แล้วพี่จะให้ผมนอนพื้นรึไง”
“เออสิวะ ก็นี่มันเตียงฉัน แกเป็นผู้อาศัย นอนพื้นไป๊”
“คุณนายโอฮะ คือว่า”
“โอย เออ ๆ นอนบนเตียงก็ได้ โอ๊ย จะฟ้องแม่ทำม๊าย”





เซฮุนปวดหัวโอดครวญไม่ได้สรรพ ยกมือขยี้ผมจนหัวฟู เขาเพิ่งกลับมาจากการติวหนังสืออันเหน็ดเหนื่อยในรั้วมหาวิทยาลัย ลู่หานเองก็เพิ่งกลับจากโรงเรียน เพราะใส่ชุดนักเรียนจากที่เมื่อเช้ายังเป็นชุดลำลองอยู่ เซฮุนเปิดประตูห้องหวังเพียงว่าจะกระโดลดลงเตียงนอนหลับให้จมเตียงตายไปข้าง แต่ก็เกือบโดนเข่าลู่หานเสยหน้าเอา เพราะคนตัวเล็กกว่านั่งอยู่บนเตียงเขาก่อนแล้ว แถมยังรื้อนั่นนี่ในห้องมาหยิบดูอีก






“นี่นายรื้อของห้องฉันเรอะ”
“ก็แค่หยิบมาดู ไม่ได้จะขโมย อย่างกสิวะ ไอ้พี่เซฮุน”






แม้เขากับลู่หานจะห่างกันแค่สองปี แต่สรรพนามกวนบาทานั่นไม่พ้องหูเซฮุนเลย คนตัวสูงวางกระเป๋าลงที่โต๊ะอ่านหนังสือ คว้าหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดที่อยู่ในมือลู่หานยึดมาไว้กับตัวก่อนเอามันเคาะหัวไอ้ตัวเล็กของเขาตรงหน้าอย่างเต็มรัก จนอีกคนร้องโอยลั่น






“อะไรวะ!
“จะมาอยู่บ้านคนอื่นเนี่ย หัดทำตัวให้มันดี ๆ ให้เจ้าของบ้านเอ็นดูหน่อยได้มั้ยห๊ะ”
“คุณนายโอเอ็นดูก็พอ บ้านนี้พี่เป็นคนออกเงินซื้อรึไง”







โอ๊ย ..มันแสบนักนะ  เซฮุนโอดครวญในใจ เขาไม่เข้าใจว่า ไอ้ใบหน้าหวานเป็นผู้หญิงแต่แววกวนเท้าแบบนี้ คุณแม่ของเขาไปเชื่อไปหลงมันได้ไง เขาเห็นแล้วก็อยากเขกกะโหลกมันสามเวลาหลังอาหารให้หัวยุบไปซักข้าง เผื่อจะซ่าน้อยลง







“เรียกฉันใหม่ซิ”
“ไม่ “
“ไอ้ตัวเล็ก”
“ย่ามาเรียกคนเขาแบบนั้นนะ พี่มันตัวสูงเอง สูงอย่างกับ..”
“หยุดนะโว้ย แกนี่มัน..”








พูดไม่ทันจะจบประโยคกันดีทั้งคู่ ก็กลายเป็นว่าทั้งสองเปิดศึกไล่ล่ากันโดยมีสมรภูมิเป็นห้องของเซฮุน ลู่หานวิ่งเบี่ยงหลบซ้ายทีขวาที ด้วยสเตปการเต้นขั้นเทพที่เป็นถึงทีมเต้นของโรงเรียน แต่อย่างไรก็ไม่สู้เซฮุนที่เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของมหาวิทยาลัยไม่ได้ ตัวเล็กของลู่หานจึงถูกเซฮุนคว้าไว้ได้ แม้จะแค่เสื้อก็ตามเถอะ เซฮุนใช้แรงดึงเอาไว้ไม่ให้ไอ้เด็กกวนประสาทนี่ไปฟ้องแม่เขาอีก แม่เขาดุเขาเพราะลู่หานนี่เป็นรอบที่สิบล้านแล้ว ไม่อยากได้ครั้งที่สิบล้านเอ็ด จึงต้องรั้งไว้และจัดการฟาดมันให้หายโมโหซักสองสามเปรี้ยง จัดการให้คนทำตัวซ่า ๆกับรุ่นพี่สุดหล่อแบบเขาได้รู้สำนึกเสียบ้างที่อุตส่าห์เสียสละห้องครึ่งหนึ่งให้อยู่ด้วย









“คุณแม่ --- อ๊ะ” ลู่หานคิดใช้วิธีเดิมเอาตัวรอด แต่ในที่สุดเซฮุนก็คว้าลู่หานไว้ทั้งตัวและรวบตัวเล็ก ๆ นั่นไว้จนอยู่หมัด จัดการปิดปากลู่หานด้วยมือใหญ่ข้างหนึ่งอีกด้วย ลู่หานอยู่ในวงแขนเซฮุนเรียบร้อย เขาเตรียมลากเด็กนี่มาฟาดสั่งสอน เขากำลังจะคว้าหนังสือหนา ๆ ที่อยู่บนหัวเตียงมาจัดการเป็นอาวุธ ดูโหดร้ายไปหน่อย แต่เมื่อครู่ไอ้เด็กนี่กระทืบเท้าใส่เท้าเขาเต็ม ๆ จนเขาร้องโอยแต่เก็บเสียงไว้






“มาอยู่บ้านคนอื่นก็ต้องทำตัวน่ารักับเจ้าของบ้านรู้มั้ย ไอ้เด็กแสบ”
“อื้ออออ “ ลู่หานแพ้แรงเซฮุนอย่างราบคาบเพราะอีกคนเป็นนักกีฬาร่างกายสมส่วน กล้ามเนื้อเพียบ ผิดกับเขาแม้จะเป็นนักเต้น ออกกำลังกายมากก็จริงแต่นักกีฬาเป็นต่อมากกว่าในหลายเรื่องทีเดียว ไหนจะขนาดตัวที่ก็แพ้เขาอยู่หลายเซนติเมตร แย่ชะมัด เขายิ่งดิ้นเท่าไหร่ เซฮุนยิ่งรัดแน่นเหมือนกับงูไม่มีผิด มือก็ปิดปากเขาไว้จะตะโกนหรือจะกัดก็ไม่ได้ เซฮุนกำลังมองหาอาวุธอยู่เลยยังไม่ปล่อยเขา และเหมือนไอ้รุ่นพี่ข้างบ้านจะหาได้แล้วจึงปล่อยมือออกจากใบหน้า เลิกปิดปากเขาซักที แต่เมื่อคว้าหนังสือซักเล่มได้ก็เอามาตีหัวลู่หานโป๊กใหญ่จนน้ำตาเล็ด








“เจ็บนะเว้ย “
“เออ ! ก็ตั้งใจทำให้เจ็บโว้ย”










เซฮุนเถียงต่อ ไม่แน่ใจว่าคุณแม่ของเซฮุนจะได้ยินมั้ย แต่ไม่มีวี่แววว่าท่านจะมาห้ามทัพแต่อย่างใด เซฮุนจึงจัดการเจ้าตัวแสบในวงแขนต่อ แต่เพราะพันธนาการไว้แค่มือเดียว อีกคนเริ่มหาทางดิ้นรนได้ ลู่หานกระทืบเท้าเซฮุนอีกที แต่ครั้งนี้เซฮุนทรงตัวไม่ทัน







“เห้ย!
"เห้ย!"








เหมือนจะโชคดีที่เหมือนมีอะไรรองรับ เซฮุนหลับตาปี๋เพราะคิดว่าต้องหัวฟาดพื้นตายกันไปทั้งคู่แน่ แต่พอลืมตา








เจ้าเด็กแสบอยู่ใต้ร่างเขาแล้ว










จังหวะล้มเมื่อครู่ พอไม่ทันระวังและกำลังวุ่นวาย ลู่หานก็จะหนีแต่เซฮุนก็จะรั้ง เถียงกันอยู่พัก พอเข้าจังหวะกระทืบเท้า เมื่อไร้การทรงตัว จังหวะการหมุนตัวของลู่หานดันไปรองรับเซฮุนเมื่อเขาล้มลงมา แต่โชคดีที่ลู่หานล้มไปก่อนบนเตียง และเซฮุนเพียงล้มทับมาซ้ำลู่หานอีกที













ลู่หานร้องโอ๊ยลั่น เพราะครั้งนี้เจ็บแบบไม่ใช่น้อย เพราะเซฮุนทั้งตัว น้ำหนักตั้งเท่าไหร่ และลืมตาขึ้นมาก็เจอใบหน้าของคู่อริใกล้ ๆ แบบนี้















แต่ลู่หานไม่ยักกะโวยให้เขาลุกตั้งแต่วินาทีแรกที่รุ้ว่าอีกคนทับอยู่บนร่างตัวเอง
















มันอยู่ในอารามตกใจและอึ้งอยู่น่ะ
ที่จริงก็ทั้งคู่เลย















เพราะไม่ได้ใกล้กันแบบนี้มาก่อน พอได้ใกล้เข้าหน่อยก็สังเกตกันและกันไม่เลิก










“โอ๊ย ไอ้พี่เซฮุน หนักโว้ย ลุกไป”
“ไม่อยากจะนอนทับบนตัวแกเหมือนกันล่ะวะ”









พอพูดแบบนั้นจบเซฮุนก็ลุกไปตามที่ว่า แล้วก็รีบเดินออกนอกห้องไปเลย แทนที่จะออกปากไล่ผู้อาศัยแบบลู่หานเมื่อครู่ ทิ้งคนอายุน้อยกว่าที่นั่งงงงวงอยู่บนเตียง พอหลังจากเซฮุนลุกจากตัวลู่หาน เขาก็นั่งจุ้มปุกตรงเตียงของเซฮุน แต่เซฮุนที่งุ่นง่านเอง ออกจากห้องไปทั้งที่ลู่หานเหมือนอยากจะพูดอะไรกับเจ้าของห้อง







อย่างน้อยก็ขอตั้งสติ











“เจ้าเด็กนั่นตาสวยชะมัด”













END CLOSE TO YOU 1 ----------------------------------------------------

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[Fic] THISMAN :: HiddeN - CHAPTER : FOREVER



TITLE :  THISMAN :: HiddeN
CHAPTER : FOREVER
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG - 13





***********************************************************************










คุณคิดว่าเราจะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ความรู้สึกของเราแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนหรือ ?


ตลอดกาล










พอได้ฟังประโยคนั้นจากปากอี้เฟิงแล้ว ก็ทำเอาผมเจ็บปวดที่หัวใจ เหมือนมีใครเอาอะไรตอกที่ใจซ้ำ ๆ ย้ำเป็นพันครั้งที่จริงก็คือหลี่อี้เฟิงคนนั้นที่ทำแบบนั้นกับผม








ตอนนี้ผมเหมือนกำลังถูกเขาลงโทษอยู่  กลายเป็นซาตานผู้ถูกจองจำ ด้วยความรักที่ผมมอบให้เขา







ที่จริงคำว่าตลอดกาลนั่น อาจจะหมายถึงความรักที่ผมจะต้องมีเพื่อเขาตลอดไป รวมถึงหัวใจของผมด้วย







ในขณะที่ผมถามประโยคนั้นกับอี้เฟิงออกไป ผมเหมือนคนบ้าคนหนึ่ง ด้วยความมุทะลุเป็นนิสัยเดิมติดตัว ที่ทำงานที่บังเอิญใกล้กันโดยไม่แจ้งกล่าว ต่างฝ่ายต่างยุ่งจนไมได้ระวังกัน  ผมได้มาอยู่ใกล้แม้ไม่เต็มปากว่าใกล้ตาแต่ผมยังวิ่งฝ่าคำสั่ง คำดุของเหล่าบรรดาผู้จัดการออกมา  คลุมหัวด้วยฮู้ดตัวเก่งที่ผมซื้อมาใส่คู่กันกับเขา แม้เขาจะไม่คิดหยิบมันมาใส่ ผมสวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าและกันฝุ่นละอองจากบรรยากาศที่ค่อนข้างแย่นิดหน่อยของเมืองหลวง


และยิ่งฝนตกหนักแบบนี้ ผมยิ่งเหน็บหนาว





“คุณคิดว่าเราจะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ความรู้สึกของเราแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนหรือ ? “


“ตลอดกาล “




เพียงแค่ประโยคสั้นที่เมื่อได้ฟังแล้ว อี้เฟิงพูดประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงปกติ ช้า ๆ และชัดถ้อยคำ เหมือนย้ำให้ผมเข้าใจถึงความเป็นไปไม่ได้ในความรักของเรา และไม่มีวัน ไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจ แม้คนใกล้ตัวเองอาจจะต้องกังขาถึงความรักของเราด้วยเหมือนกัน 







มันเป็นเหมือนคำสาปที่อาจจะเกิดจากที่ผมเคยทำอะไรกับอี้เฟิงไว้มากมาย รอยแผลนั่นที่ผมตีตราในใจอี้เฟิง มันร้ายแรงเสียจนไม่มีวันหายดีเป็นปกติได้ และเขาคงจดจำไปตราบนานเท่านาน







อาจจะเท่า ๆ กับคำว่าตลอดไป ที่เขาพูดมา









ก็อาจจะตอบแทนกันได้ด้วยวิธีนี้  ผมรักเขาไปแล้ว ยิ่งมากวันความรู้สึกยิ่งทวีคูณ ผมทำอะไรไม่ได้แล้ว







แค่คิดถึงใบหน้าของอี้เฟิง ผมก็ฝันดีทุกวัน ได้รับการติดต่อจากเขา เราได้พูดคุยกันทางโลกออนไลน์ แค่นั้นผมก็มีความสุขมากจริง ๆ และผมทำได้แค่นี้








 .. ซาตานที่ตกหลุมรักเทพบุตร เป็นความรักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ คนที่แตกต่างกันมาก และแทบจะไม่มีวันโคจรมาเจอกันได้รักกัน  นี่ก็เหมือนคำสาปแล้วใช่ไหม








ช่างมันเถอะ ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  ผมแค่รักหลี่อี้เฟิง









แค่นั้นก็พอ....






“ผมรักคุณ”







ผมพูดประโยคนี้ในขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ หน้าตึกสูงระฟ้าซึ่งเป็นที่ทำงานที่สุดท้ายของอี้เฟิงวันนี้ ที่บังเอิญให้เรามาใกล้กัน  สายตาผมทอดมองไป  หลี่อี้เฟิงยืนอยู่ที่หลังประตูกระจกใสในร่มอาคาร








ดีแล้วที่เขาไม่โดนฝน  เขาเป็นคนป่วยง่าย  







เห็นแววตาของอี้เฟิงเหมือนกัน มองมาทางผม  เขารู้แน่นอนว่าคนที่ยืนนิ่งทื่อ อยู่กลางในหน้าตึก คือผม มีแค่ผมคนเดียวที่ชอบทำอะไรบ้า ๆ จนเขาเหนื่อยใจ






ผมแค่อยากเห็นหน้าอี้เฟิงด้วยตาคู่นี้แค่นั้น 






และผมก็กำลังจะกลับไป...









แต่ก่อนไปก่อนหน้านี้ ผมก็โชว์ความอ่อนแอให้คนที่ผมรักเห็นเสียก่อนแล้ว







ผมร้องไห้แข่งกับท้องฟ้า









THISMAN –HIDDEN- :: FOREVER ::








"หยางหยาง นายมาได้ยังไง"
"ผมแค่อยากเห็นหน้าคุณ"
"แล้วก็วิ่งฝ่าฝนมาเนี่ยนะ?!"
"อี้เฟิง.. คุณตอบผมซักคำถามได้มั้ย"
..."อืม"
 .คุณคิดว่าเราจะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ความรู้สึกของเราแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนหรือ ? “




........
.....
...
..
.









“ตลอดกาล "








แม้อยากจะกัดปากตัวเองให้ห้อเลือด แต่อี้เฟิงเลือกพูดตามความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่







ทำไมจะมองไม่เห็นกันว่านั่นเป็น ไอหมาบ้าที่ชอบทำอะไรบ้า  ๆ จนคาดไม่ถึงและทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย










ประโยคนั้นผมเองก็ย้ำในใจอยู่บ่อยครั้ง ความรักที่จะต้องเป็นความลับ  มันไม่มีทางที่จะเปิดเผยให้ใครรู้ได้ แม้แต่คนรอบข้างยังมองเราอย่างสงสัย  แต่เราสองคนจะต้องใช้ภาพลักษณ์เพื่อมีชีวิตอยู่ในสังคมในประเทศนี้







ผมและเขาก็เหมือนโดนคำสาป








ผมรู้ดีว่าหยางหยางรักผมมากแค่ไหน  แน่นอน ความรักของผมที่มีต่อหยางหยางมันเพิ่งเริ่มต้น  ไม่เท่าที่หยางหยางมอบให้ด้วยซ้ำ แต่ผมกำลังพยายาม







ผมกำลังหลงรักเขา







หยางหยางชอบอะไรให้ประหลาดใจ แต่นั่นก็ทำให้ประทับใจ ปนละเหี่ยใจในบางครั้ง เขาอายน้อยกว่าและประสบการณ์บางอย่างเขายังด้อยนัก แต่ไม่นับความรักของเขาต่อผมที่มากมายจนทำให้รู้สึกทึ่ง






ผมอยากรู้ว่าเขาจะรักผมมากขนาดไหน  คำว่า ตลอดกาล  จึงหลุดปากไป แต่ก็เหมือนจะถูกต้องอยู่แล้ว สำหรับการตอบคำถามของหยางหยาง ที่ได้ถามผมมาเมื่อก่อนหน้า








ก่อนหน้านั้นครู่ใหญ่ หยางหยางยกโทรศัพท์โทรหาผม ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลาที่ถูกควรเท่าไหร่ที่เราจะได้คุยกัน เรามักจะโทรหากันหากสามารถทำได้ แต่ต้องหลังเสร็จงานทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีโอกาส เราก็จะใช้โลกออนไลน์เป็นสื่อ เราถูกจับตาจากคนรอบข้างมากมาย  จึงทำอะไรไม่ได้มาก







อย่าว่าแค่จะพบหน้ากันเลย ได้แค่ในฝันด้วยซ้ำไป







แต่เขาก็ทำอะไรบ้า ๆ อย่างที่ผมคาด หมอนั่นวิ่งมายืนหน้าตึกที่ผมทำงาน ผมที่เพิ่มเข้ามาในตึกนี้ ได้ครู่เดียว เพราะเพิ่งจะมาถึง เขารู้ว่าผมกำลังมา เขาจึงวิ่งข้ามฟากจากตึกสูงอีกฝั่งที่เขากำลังถ่ายแบบ ตรงมาหาผม ทั้งที่ฝนตกหนักมากไปไหนมาไหนลำบาก ต่อให้มีเสื้อฝนหรือร่มก็จะต้องเปียกไปทั่วตัว







แต่ไม่นาน เขาก็มายืนตรงหน้าผมแล้ว 






หยางหยางหอบเล็กน้อยจากการวิ่งมา เมื่อผ่อนคลาย เขาทอดมองตรงมาที่ผม และยิ้มให้ ผมไม่เห็นว่าริมฝีปากที่ผมนึกชื่นชมของเขายกยิ้มอย่างไร แต่ตาคมกริบของหยางหยางยิ้มอยู่







แต่เขาร้องไห้ด้วย






ตอนแรกผมคิดว่าเป็นหยาดฝนที่กระเซ็นโดนใบหน้าเขา..แต่มองไปก็ไม่ใช่...เพราะอะไร?  ได้เจอหน้าผมอย่างนั้นหรือ  เพียงไม่กี่ครั้งนับตั้งแต่วันที่เราได้ตกลงปลงใจกัน  น้ำตาของหยางหยางดูเป็นของต้องห้ามห้ามหลี่อี้เฟิงคนนี้มากมาย  ผมพยายามคิดว่านั่นเป็นหยาดฝนที่สาดกระเซ็นโดนใบหน้าหล่อเหลาของเขา







เพราะถ้าไม่คิดแบบนั้น มันจะทำให้ผมยิ่งอยากวิ่งเข้าไปกอดเขามากขึ้น





 ผมมันเป็นเทพบุตรที่ช่างขี้ขลาดตาขาว แม้ว่าเขาจะสมควรได้รับการลงโทษ ..ให้เจ็บปวดบ้าง แต่ผมก็รักเขาบ้างเเล้ว นั่นก็ทำให้ผมพลอยเจ็บไปพร้อม ๆ กับซาตานผู้นั้นด้วย




อ่อนแอกันเหลือเกิน ทั้งคู่เลย









เพราะที่ที่อยู่มีผู้คนมากมาย ผมไม่สามารถก้าวขาออกไปได้  ฟังดูเห็นแก่ตัว ไม่มีข้อแก้ตัวด้วย แต่หากว่าผมก็คิดเผื่อหยางหยาง หากผมวิ่งออกไป แฟนคลับที่อยุ่ห่างออกไปจากตึกบางคนต้องรู้แน่ว่า ผมกำลังทำบ้าอะไรที่จู่ ๆ ก็วิ่งออกไปกอดคน ๆ หนึ่งท่ามกลางฝนกระหน่ำเช่นนั้น นักข่าว ปาปารัซซี่มากมาย






ผมกลัว









กลัวหลายอย่าง กลัวทั้งเรื่องของตัวเอง กลัวทั้งเรื่องระหว่างเรา ยิ่งอยากเปิดเผย ยิ่งทำร้ายสายสัมพันธ์ของเราทั้งคู่











ตลอดกาล นั่นล่ะเหมาะสมแล้ว








เราจะต้องซ่อนความรักของเราเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ต้องอารมณ์ความรู้สึกมากมาย แม้อยากจะกอดเขาแค่ไหนก็ตาม













หยางหยางเดินจากไปแล้ว ก่อนเขาไปก็ทิ้งทวนประโยคซ้ำเดิมที่บอกรักผมทุกครั้ง ครั้งนี้เขามาเพื่อแค่อยากเห็นหน้าผมจริง ๆ








ดวงตาที่โผล่พ้นหน้ากากอนามัยและฮู้ดที่คลุมอยู่
ผมเห็นเขาร้องไห้ ระยะของเราไมได้ไกลกันขนาดที่มองตากันไม่ได้เลย










ดวงตาของเขา ใบหน้าของเขา ไออุ่นจากเขา
ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึงมัน แค่เพราะหักห้ามใจเอาไว้










“หยางหยาง นายห้ามป่วยนะ”











ผมอวยพรเขาผ่านน้ำเสียงอันสั่นเครือทั้งที่พยายามเก็บความรู้สึกแล้ว ผ่านสายโทรศัพท์ที่เรายังไม่ได้วางสายกันไปเลยตั้งแต่เราพบหน้ากันเมื่อก่อนหน้านี้  พอกดวางสายไปในที่สุด ผมก็หันหลังและเดินออกจากจุดนั้นไป











ผมอยากร้องไห้ท่ามกลางสายฝนเป็นเพื่อนหยางหยางบ้าง













******************************END ***************************