“นะครับพี่ นะ ๆ ๆ ผมเป็นรุ่นน้องที่โคตรน่ารักที่สุดในโลกเลยนะเฟิงเกอ
แค่เรื่องเดียว แลกกับเค้กวานิลลาที่พี่ชอบกินร้านโปรดของพี่ ผมจะเหมาให้พี่ทุกวัน
ให้กินจนพี่อ้วนไปเลย”
อี้เฟิงก็คงจะอ้วนดังคำที่รุ่นน้องคนนัน้ว่า
เขาคิดอยู่ว่าไม่น่าจะไปตบปากรับคำอะไรง่าย ๆ แบบนั้นเลย
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรไปช่วย แต่เพราะอี้เฟิงรักเค้กวานิลามากแท้
ๆ ของกินบังหน้า หน้ามืดตามัวตอบตกลงเจ้ารุ่นน้องจอมตื้อไม่หยุดไม่หย่อนแบบหยางหยางไปเสียได้
ที่ช่วยก็เพราะเห็นว่าเป็นน้องที่สนิทด้วยหรอกนะ ไม่งั้นไม่ช่วยหรอก
(ก็ไม่ใช่เพราะเค้กวานิลาอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่)
หลังจากนั้นมาชีวิตอี้เฟิงก็วุ่นวาย...มากขึ้น..จะเรียกว่านิดหน่อยก็คงยาก
หยางหยางย้ำว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอี้เฟิงเท่านั้นที่ช่วยได้
เพราะอี้เฟิงกับหยางหยางเป็นรุ่นน้องรุ่นพี่ที่สนิทในคณะเดียวกันที่สนิทกันเป็นพิเศษ
นอกจากจะเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อนแล้ว
ยังเป็นพวกนักกิจกรรมของคณะเลยทำให้ได้มีช่วงเวลาอยู่กันบ่อย ๆ เลยสนิทกัน
จนบางครั้งใคร ๆ ก็คิดว่าพวกเขาสองคนต้องมีซัมติงอะไรกันแน่
จะไปมีอะไร บ้าบอที่สุด เขากับหยางหยางเป็นพี่น้องที่รักใคร่ พี่น้องร่วมคณะที่ดี ตบเกรียนกันก็ว่าได้ เห็นน้องมันเป็นเด็กเรียนดี ตั้งใจทำงานคณะ
แม้จะน่ารำคาญตรงที่มีสาว ๆ หนุ่ม ๆ มารุมจีบรุมตอมไม่ขาดก็เถอะ
(ขนาดว่ามีเขาเป็นข่าวลือ แต่ก็ยังมีมารุมอยู่ไม่ขาด จนบางคนกล้ามาขนาดถามเขาว่า
เมื่อไหร่จะเลิกกับหยางหยาง ทั้งที่เรายังไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกันซักแปะ)
แต่เราก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับข่าวลือบ้าบอแบบนั้น ก็เพราะมันไร้สาระ
ก็จนวันหนึ่ง หยางหยางมีเรื่องหนักใจมาให้อี้เฟิงช่วย
“แกล้งเป็นแฟนผม เรื่องนี้ล่ะเกอ”
อี้เฟิงได้ยินในตอนแรกแทบช็อค ทำไมมันถึงหน้าด้านมาขอแบบนี้
เราสนิทกันจนเห็นไส้เห็นพุง
จะให้ไปแกล้งหวานแกล้งเป็นแฟนกระหนุงกระหนิงกันงั้นหรือ
“ไม่เอา จะอ้วก แค่คิดว่าฉันจะต้องไปเป็นแฟนแก
ยิ้มให้แกหวานหยดแบบนั้น ก็ขนลุก”
“โหย พี่ก็ทำอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวัน ที่เราเจอกัน
แค่นั้นเราก็เป็นข่าวลือแล้วนี่พี่”
ก็จริงของมัน เพราะหยางหยางเป็นถึงเดือนสุดหล่อในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยด้วย
พอเริ่มทำตัวเกาะติดใคร หรือสนิทกับใครก็จะมีข่าวลือไปทั่วมหาวิทยาลัยแล้ว
หนักสุดก็คืออี้เฟิงเองนั่นล่ะ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่อี้เฟิงกับหยางหยางต้องมีงานที่ต้องร่วมทำด้วยกันบ่อย
ทั้งในห้องเรียน ทั้งงานคณะ สารพัด
“จริง ๆ ก็มีหลายคนที่คิดว่าฉันกับแกไม่ใช่แฟนกันอยู่แล้วนะ
แบบนั้นใครเขาจะไปเชื่อกัน”
“ก็ทำให้ข่าวลือที่เริ่มซา กลับมาใหม่สิพี่”
“แบบว่า อยากรู้ทำไมแกต้องมาทำอะไรขนาดนี้
ทำไมต้องให้ฉันไปวุ่นวายด้วยเนี่ย”
“ก็ผมโดนคน ๆ หนึ่งตามจีบอยู่น่ะสิครับพี่
แบบว่าเขาเอาจริงเอาจังมากกกก”
อี้เฟิงเอียงคอสงสัยมองรุ่นน้องที่นั่งอ้อนวอนเขาต่อหน้า
วันนี้มันมีเค้กวานิลาเจ้าโปรดของอี้เฟิงมาเซ่นไหว้ก่อนเริ่มงานด้วย
“ไว้จะคิดดู”
“โหยพี่ช่วยผมเหอะ”
“อะไรจะคอขาดบาดตายขนาดนั้น”
“จริง ๆนะพี่ พี่ลองดูว่าพรุ่งนี้เขาจะพยายามขนาดไหน ผมจะบอกเลยว่าความพยายามของเขาไม่ธรรมดามาก
คือยังไงดีวะ เขาไม่ใช่สเปคผมแต่ตื้อขนาดนั้นก็ทานไม่ไหว ผมพูดแรง ๆ ก็แล้วนะ
ก็ใจแข็งเหลือเกิน บอกว่าจะพยายามไปเรื่อย ๆ จนกว่าผมจะชอบเขา”
อี้เฟิงฟังคำอธิบายของหยางหยางไปเรื่อย ๆ
รุ่นน้องใช้สรรพนามแทนเป็นแบบผู้ชายกับบุคคลที่สาม
อี้เฟิงไม่แปลกใจหรอกที่เป็นผู้ชายเพราะหยางหยาง
รุ่นน้องของเขาคนนี้หล่อในระดับที่ไม่ว่าจะใครหน้าไหนถ้าเกิดหลงมันแล้วจะโงหัวไม่ขึ้นเชียวล่ะ
อี้เฟิงที่สนิทกับรุ่นน้องคนนี้ก็เห็นมาหลายคน
แต่ถ้าถามเขา เขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น ใครจะไปรู้ล่ะมุมบ้าบอของไอ้หมอนี่ทำเอาอี้เฟิงหน่าย
หลงมันไม่ลงหรอก (เคยเห็นตอนไปทำงานคณะด้วยกัน เมาจนเป็นบ้าเต้นไปทั่วบ้าน
แถมยังอ้วกรดไปทุกที่ จนเขาอยากจะถีบไอ้รุ่นน้องไม่รักดีไปไกล ๆ บ้านเขา
ไม่น่าชวนมันมาทำงานด้วย)
แต่สุดท้ายอี้เฟิงก็หลวมตัวช่วยยรุ่นน้องอยู่ดี ไม่ใช่เพราะเห็นแก่กินหรอกนะ
แต่เค้กวานิลานั่นอร่อยสุด ๆอย่าบอกใครเชียว
VANILLA CAKE
“จริงด้วยว่ะหยางหยาง ตามหยั่งกับแกไปเป็นหนี้บ้านแม่มัน”
อี้เฟิงพูดตามภาพความจริงที่ได้เห็น
นิ้วเรียวยาวของหยางหยางชี้ไปยังเป้าหมาย ชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้ หยางหยางเลย
เห็นว่าเป็นเดือนของคณะใกล้ ๆ นี่เอง หลงใหลหยางหยางหัวปักหัวปำ ตามจีบรุ่นน้องเขามาเป็นอาทิตย์แล้ว
ตอนแรกหยางหยางก็เหมือนจะทนได้
แต่หลายวันเข้า
ชายหนุ่มคนนี้หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ
ตื้อหนักจนหยางหยางเริ่มกังวล อี้เฟิงในช่วงนี้ที่จำต้องตั้งใจเรียนพักกิจกรรมไว้
จึงไม่ค่อยเจอหยางหยางบ่อยนักก็เพิ่งได้รู้เรื่องกับเขาก็วันนี้
“นั่นล่ะพี่ ผมบอกพี่แล้ว พี่ต้องช่วยผมนะ”
“ยังไงล่ะเนี่ย”
“ให้ผมจัดการเองแล้วกัน แค่พี่ให้ความร่วมมือก็พอ”
ชายหนุ่มคนนั้นเข้ามานั่งตรงข้าง ๆม้านั่งที่ติดกับพวกเขา
หยางหยางเสริมว่าพอใกล้เวลาเที่ยง ๆ หมอนี่ก็จะมาหาเขขา ตื้ออยู่ทุกวี่วัน
ตอนนี้นายคนนั้นนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด จ้องเขม็งมายังอี้เฟิงแบบกินเลือดกินเนื้อ
รู้แน่ว่าเขานี่ล่ะคู่แข่งเรื่องหัวใจตัวฉกาจ อี้เฟิงอยากจะตอบว่าเปล่า
โดนบังคับโว้ย แต่รู้สึกสงสารรุ่นน้อง เลยปล่อยให้รุ่นน้องจัดการตามที่ว่าไป
“เห้ยเดี๋ยว!”
แต่ไม่รู้จัดการท่าไหน หยางหยางถึงได้รั้งคอเขาไป
ใบหน้าเราใกล้กันจนเลี่ยงไม่สบกันไม่ได้ ลมหายใจรดกันรู้สึกหน้าร้อนหน่อย ๆ
อี้เฟิงตกใจไม่น้อยแต่ก็อยู่ในบทบาทต่อ
“วันนี้เราไปกินวานิลาเค้กเจ้าเดิมกันนะครับ เฟิงเฟิง”
ห๊ะ ? เฟิงเฟิง
หยางหยางมันไปสรรหาสรรพนามเรียกเขาแบบนั้นมาจากไหน ใบหน้าหวานแปลกใจและแสดงออกมาเลย แบบกลบไม่มิด
พออี้เฟิงเลิกตกใจก็พลันไปสบตารุ่นน้องแบบเต็มตา
อะไรจะอินบทขนาดนั้น
สายตาหยางหยางแบบนี้อี้เฟิงไม่เคยเจอมาก่อน แน่ล่ะ มันทำให้อี้เฟิงรู้สึกหน้าร้อนบ้างเหมือนกัน
เขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ตาหวานเชื่อมเร่าร้อนขนาดนี้ใครที่ไหนก็เขินใช่มั้ยล่ะ ....มั้งนะ เอ้อ..แถมยังใกล้กันขนาดนี้
จมูกจะแตะกันได้อยู่แล้วน่ะ
“เออ “
อี้เฟิงก็ตอบตกลงเรื่องเค้กวานิลาไปตามน้ำ เขาอยากละสายตาจะหยางหยางแต่ก็เหมือนจะถูกสะกดไว้
หยางหยางก็จ้องเขาไม่วางตาเหมือนกัน
ไม่รู้อีกฝั่ง ชายหนุ่มที่ตามจีบหยางหยางคนนั้นจะประสาทเสียตายไปหรือยัง
แต่อี้เฟิงประสาทเสียไปก่อนชายหนุ่มคนนั้นไปก่อนแล้ว
อี้เฟิงรู้สึกหน้าร้อน
คิดว่าคงโชว์อายไปแล้วเพราะตอนนี้หน้าของเขาคงแดงมากแน่ ๆ
เพราะต้องมาแสดงอะไรก็ไม่รู้ต่อหน้าคนอื่น
แต่ ...เอ่..ไม่ใช่ว่าเขาหน้าแดงอยู่คนเดียวหรือ
? ทำไมหยางหยางเองก็เป็นเหมือนกัน ?