TITLE : Stay,Still ..Stand 'เราที่รักกัน'
Part :STAY
CHAPTER : 3
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG-13
RATE : PG-13
TELL : สับสนค่ะ คนที่ไม่เคยรักก็มักจะสับสน
ผมแปลกใจว่า หลังจากวันนั้น ตัวเองผิดปกติไปเล้กน้อย..ตรงที่หัวใจ
ผมไม่ร้องหาอ้อมกอดของหยางหยางอีก
ผมคิดถึงหยางหยางน้อยลงกว่าเดิมนิดหน่อย
อาจจะเป็นเพราะผมได้ปลดปล่อย..อืม..เรียกได้ว่าทุกอย่างออกไปจากใจ
และเหมือนจะสรุปเรื่องราวในหัวใจของตัวเอง ระหว่างผมกับเขาได้แล้วว่า
“ควรพอ” นั่นเป็นคำที่ทำให้ผมเจ็บน้อยที่สุด
เพื่อที่ผมจะไม่ต้องร้องไห้เพราะคิดถึงเขา โหยหาเขา อยากให้เขามาอยู่ใกล้ ๆ หยางหยางทำให้ผมทรมาณ
แค่ได้ยินชื่อก็ทรมาณแล้ว อยู่ใกล้ ๆ กันคงทรมาณ หากเราสัมผัสกันไมได้ ผมไม่กล้าหวังว่าจะเจอเขาเลย
แม้ซักครั้ง เพราะยิ่งเราฝืนมันก็ยิ่งยากที่เราจะได้อยู่กันเพียงแค่สองคน
เหนือผู้คนบนโลกใบนี้
มันเหนื่อยก็ควรพอ ผมคิดแบบนั้น
ไม่รู้จะฝืนไปทำให้มันเหนื่อยนะ คุณรู้ไหมว่า ความทรมาณจากคน ๆ หนึ่ง
ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ผมรู้ดีนะว่าหยางหยางรักผม แต่ตัวผมเอง
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรุ้สึกกับหยางหยางแบบไหนกันแน่ รักหรอ เอาจริง ๆ
ว่าผมยังยืนยันกับใจตัวเองไมได้เลย
แล้วผมจะมีหน้าไปบอกหยางหยางได้อย่างจริงจังได้อย่างไร ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ไม่สิ
ผมยังไม่รู้เลยว่าความรักที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร มันทรมาณขนาดนี้เลยหรอความรักน่ะ
แบบนั้น ผมไม่ไหวหรอก
ผมไม่ใช่คนทนต่ออะไรมาก คนเห็นแก่ตัว
ผมทรมาณเกินไป
หากความรักครั้งนี้ที่ผมกับหยางหยางพยายามอยู่มากเหนื่อยนัก เราก็ควรพอ
แต่ผมยังไม่ได้บอกกับหยางหยางหรอกนะ เขาต้องอาละวาดจนตายกันไปข้าง
ผมรู้นิสัยเขาดี เวลาเขาโกรธ เป็นหมาบ้าดี ๆ นี่เอง
“ร้องไห้อีกแล้ว”
ผมพูดกับตัวเอง ผมคิดเรื่องราวทั้งหมด พลางน้ำตาไหลไป
คุณว่าผมเจ็บอยู่รึเปล่า ? เหนื่อยมากไหม? ทรมารณเพียงใด ?
แล้วเรื่องรักของผมกับหยางหยางล่ะ ผมรักเขาจริงมั้ย
เขาว่ากันว่า ตัวเองจะตอบตัวเองได้ดีที่สุด
แต่น่าเสียดายผมไม่มีคำตอบอะไรให้กับคำถามของตัวเองซักอย่าง
พอแล้ว
ผมหลับตา..นึกถึงทุกอย่างตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมพบกับหยางหยาง
เกิดจิ๊ดที่หน้าอกขึ้นมา เลยยกมือมาแตะตรงนั้น
มือผมเผลอยำเสื้อตรงนั้นจนยับยู่ เป็นเสื้อที่ต้องไว้ใช้ถ่ายแบบเสียด้วยแต่ช่างมันเหอะ
ผมไม่สนใจอะไรแล้ว
ผมแค่เหนื่อยเกินจะทน
พอเจ็บก็ร้องไห้ พอร้องไห้น้ำตาก็เช็คด้วยตัวเอง
มนุษย์นี่ช่างเข้มแข็งจริง ๆ
ว่าไป ผมร้องไห้เพราะหยางหยางอีกแล้ว ครั้งที่ 1002 แล้วล่ะมั้ง
“อี้เฟิง เธอโอเคนะ” พี่สาวผู้จัดการทีมผมอีกคน
เธอเข้ามาทักทายผมก็เห็นสีหน้าไม่สู้ดี เธอไปตามหัวหน้าใหญ่ของทีมเรามา
เธอเห็นหน้าผมก็รู้ทันทีว่าผมกำลังนั่งน้ำตาไหลเพราะเรื่องอะไร
“ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นของเธอแล้วอี้เฟิง รีบล้างหน้าล้างตา
แล้วเตรียมตัวทำงาน” เธอว่าแบบนั้น ผมจึงทำตาม นั่นเป็นวิธีเทคแคร์เด็กในแบบของเธอ
แทนที่จะมานั่งปลอบ ก็สู้ให้ไปไปทำงาน พบความจริง ดีกว่ามานั่งจมปัญหา
แต่ถ้าผมเป็นหนักมาก ๆ เหมือนครั้งก่อนที่ผ่านมา เธอนั่นล่ะก็คือคนที่ปลอบผม
แทนร้องไห้แทนผม ผมเสียต่างหากที่จะต้องปลอบเธอ
วันนี้งานของผมเป็นงานถ่ายแบบ คอนเซป สบาย ๆ
มีสัมภาษณ์เกี่ยวกับงานอดิเรกที่ชอบทำ ธีมง่าย ๆ ที่ผมถนัด
การตอบคำถามก็ไม่ได้กำหนดสคริปส์อะไรมาก ตอบได้ตามใจ เพราะเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ทั่ว
ๆ ไปที่ดาราทั่วไปก็ตอบกัน
หลังจากนั้นก็พักกอง ผมจึงได้มีเวลาไปนั่งพักนิดหน่อย
ก่อนทำงานชิ้นต่อไป วันนี้มีงานถ่ายแบบทั้งวัน มีแมกกาซีนอีกเล่มที่จ่อคิวรออยู่
อันนี้เป็นธีม DEMON & ANGEL ซึ่งผมจะต้องเป็นทั้งสองด้าน สวมวิญญาณ
ปีศาจน้อยและเทวดาผู้งามสง่าในคนเดียวกัน
“แบบนั้น โอเคเลยครับ คุณอี้เฟิง”
ผมทำตัวสบาย ๆ สื่อความเป็นปีศาจและเทวดาอย่างที่คุณช่างภาพเขาต้องการ
แววตาของผมที่ตั้งใจสื่ออกไป ไม่รู้ว่าคุณช่างภาพเขาเก็บภาพไปได้เท่าไหร่
แต่เสียงชัตเตอร์กล้องรู้ว่ารูปที่ได้ไปต้องมากกว่าร้อยเป็นแน่ ผมหันซ้ายขวา
โพสต์ท่าให้เขาถ่ายอยู่นาน ก็แอบล้าไปอยุ่เหมือนกัน
“อืม...รูปนี้”
ช่างภาพเขาโหลดรูปเข้าคอมพิวเตอร์ใหญ่แล้ว จึงเป็นช่วงเวลาคัดรุปกัน
ผมจึงอยากเห็นตัวเองบ้าง ในธีมที่ไม่เคยถ่ายแบบนี้
รูปนี้...ธีมเทวดาแต่แววตาปีศาจเหลือเกิน ..ผมว่ากับรูปตัวเอง
มันสะท้อนอะไรในตัวผมได้มาก
ไอเจ้ารูปถ่ายเนี่ย
“คุณจะถ่ายใหม่มั้ยครับ”
“ผมว่ามันก็โอเค แม้ผมไม่รู้ว่าคุณคิดเรื่องอะไร ตอนโพสท่าถ่ายรูป
แต่การตีความธีมนี้ เราก็ตีกันได้หลายแบบ เทวดาปีศาจในคนเดียวกัน หรือ
เทวดาปีศาจในเวลาเดียวกัน ก็ย่อมได้ ก็แล้วแต่”
ผมมองตัวเองในรูป แววตาร้ายกาจ แต่ผมอยู่ในชุดเทวดาสีขาว
สูทตัวสวยนั่นทำให้ลุคภายนอกของผมดูเป็นเทวดาอย่างที่ว่า แต่แววตามันไม่ใช่
นี่อาจจะเป็นตัวตนของผมจริง ๆ ก็ได้
ความร้ายกาจของหลี่อี้เฟิง ที่แอบซ่อนอยู่ ความเห็นแก่ตัว
ไม่สนใจหัวใจใคร
อืม ผมคิดว่าตัวเองก็คงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก
หลอกตัวเองเป็นว่าเทวดาอะไรนั่น บ้าบอจริง ๆ
“เฮ้อ “ ผมเดินเลี่ยงจากกลุ่มทำงาน ออกมาพักผ่อนด้านนอก
ไม่ว่าอย่างไรผมก็ชอบอยู่คนเดียวจริง ๆ นั่นล่ะ หลังจากเดินออกมา
ผมก็กดน้ำที่ตู้กดน้ำอัตโนมัติมาดื่มแก้กระหาย
นั่งอยู่ซักพักก็เหมือนมีเพื่อนใหม่ทรุดนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ ผมอย่างเงียบเชียบ
ผมหวังว่าจะเป็นหยางหยาง แต่ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
แค่กลิ่นน้ำหอมที่ติดตัวมาก็ไม่ใช่หรอก แต่ผมก็ยังหวัง
ผมนี่มันเห็นแก่ตัวจริง ๆ ที่จริงผมก็ควรพยายามไปหาเขาบ้าง
แต่ผมมันเป็นคนทิฐิสูง และคิดมาตลอดว่า หยางหยางที่เป็นคนขอความรักผม
นั่นล่ะต้องพยายามมาหาผมสิ ผมคิดแค่นั้น แม้จะรู้ว่าเห็นแก่ตัวมาก แต่ผมก็เลือกที่จะนิ่งเฉย
ไม่พยายามอะไร นอกจากพยายามรออย่างอดทนให้เขามาหา
มันก็มีเหตุผลนะว่า ถ้าผมดิ้นรนไปหาหยางหยาง
ก็มีแต่จะทำให้เขาพังพินาศได้มากเท่านั้น
“นี่...” คนที่ทรุดนั่งข้าง ๆ ผม เขาปลั่งเสียงออกมา
พอฟังแล้วก็พอจะรู้ว่า เขาเป็นใคร
เขายังพูดออกมาต่อจากนั้น
และผมก็คล้อยตามเขาง่าย ๆ
เขาเอื้อมมือมาหาผม สวมกอดร่างของผมเสียแน่น
และเปลี่ยนเป็นคนฉวยโอกาสยอมให้เขาจับนั่นโน่นนี่ได้ง่าย ๆ
ทับที่ทับทางที่หยางหยางเคยสัมผัสแทบทั้งหมด
“ไปต่อมั้ย?..”
ผมมันก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ ผมมันเอาแต่ได้ เอาแต่ใจ อ่อนไหวง่าย
เหนื่อยนิดหน่อยก็บ่นไม่เอาแล้ว
แต่ก็นี่ล่ะ ผม หลี่อี้เฟิง
ผมตอบคำถามเขาอีกคน “อืม”
และหลังจากนั้น ผมก็กลับมาที่ห้อง ผู้จัดการด่าผมเสียแทบตาย
แต่โชคดีที่คิวงานผมมันหมดไปแล้ว หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ เหลือเพียงแค่คุยเรื่องเงิน
ๆ ทอง ๆ ที่ผมไม่ต้องอยู่ก็ได้ พี่สาวผู้จัดการของผมเลยไม่ถือสาเอาความอะไร
แต่เพียงเธอแค่สงสัย
“รอยอะไรที่คอเธอ อี้เฟิง”
เธอรู้ตารางงานของหยางหยางดี เพราะเธอระวังเด็กปีศาจที่เธอเรียกมาตลอด
ผมไม่สบตาและเดินหนี
พี่สาวผู้จัดการไม่ตามความอะไรผมอีก แต่เธอพ่นลมหายใจ
และทำท่าทางเหนื่อยใจยิ่งกว่าผม และยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“อี้เฟิง เธอไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ เด็กนั่นรู้จะคลั่งแค่ไหน”
“พี่อยู่ข้างเขาแล้วหรือไง”
“ไม่ใช่! แต่เธอรู้มั้ยว่า ถ้าเด็กนั่นหูไว แล้วรู้ว่าเธอเป็นแบบนี้ และเธอยัง!
ไปยุ่งกับคนอื่น ให้คนอื่นทำรอยแบบนั้นแทนมัน
ฉันไม่อยากจะคิดว่าปีศาจในตัวเด็กคนนั้นจะกลับมาทำลายทำล้างอะไรอีก”
เธอเริ่มหัวเสีย เธอรู้ความร้ายกาจของหยางหยางดี เพราะเคยทำงานด้วยกัน
ก่อนหน้านั้น หยางหยางเป็นปีศาจร้ายแบบตัวจริงเสียงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้เพราะเขาปรับปรุงตัว เปลี่ยนตัวเองใหม่ สาเหตุหนึ่งเพราะผมด้วย
“นายจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม อี้เฟิง”
“ ผมเป็นอะไร”
เธอพูดกับผม
จ้องตาผมจนผมหลบเลี่ยงสายตาของพี่สาวผู้จัดการไม่ได้ เธอเหมือน..จะกลัว
“เธอเริ่มเป็นปีศาจ เธอจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานไหม “
ผมแสยะยิ้มให้เธอ ที่จริงมันเป็นคำพูดในใจ แต่ผมดันพูดออกมา
นั่นทำให้เธออึ้ง
“ผมเป็นมานานแล้ว พี่เองที่ไม่รู้ “
เธอเหมือนไม่เชื่อผม ก็แหงล่ะ เธอมองผมเป็นเทวดาที่น่ารักของเธอมาตลอด
“อย่าเป็นปีศาจไปอีกคน อี้เฟิง”
ผมมองเธอ แล้วก็หันกลับไป
ก่อนจะยกมือขยี้รอยที่เห็นได้เด่นชัดตรงซอกคอ อา..คนคนนั้นทำรอยเสียเด่นขนาดนี้
“ผมหลอกพี่ ผมหลอกตัวเอง จริง ๆ ผมเป็นปีศาจ
ความจริงมันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ หยางหยางอาจจะไม่ใช่ปีศาจแบบที่พี่คิด
พี่ต่างหากที่เลี้ยงปีศาจไว้ใกล้ตัว”
เธออึ้งยิ่งกว่าเดิม
ท่างดูเหมือนไม่เชื่อ
“เธอกำลังคิดทำอะไรอยู่ ฉันไม่รู้หรอกนะ อี้เฟิง
แต่รีบเรียกตัวเองคืนมาซะ เด็กที่ฉันเลี้ยงมา ที่เป็นปีศาจมันมีแค่ หยางหยาง
เพียงคนเดียว”
แค่นั้น เธอพูดจบแล้วก็ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิด เธออาจจะมองผมไม่ออก
หรือจริง ๆ เธอเชื่อจริงๆ ผมมันก็แค่เสแสร้ง
“หลี่อี้เฟิงเอ๊ย”
แค่เรื่องความรัก ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้เลยหรือ ผมไม่รู้เลยจริง ๆ
ว่าตอนนี้ผมควรทำอย่างไร
แต่ที่ปรากฏมาแล้วคือ ผมไปนอนกับคนอื่นที่ไม่ใช่หยางหยาง
นี่ล่ะ ความร้ายกาจของผมที่เริ่มต้น ทั้งที่ผมคบกับหยางหยางอยู่
ผมรอเขาไมได้ ผมต้องการสัมผัสมากมาย แต่หยางหยางที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้
ไม่สามารถมอบให้ผม
หืม ? เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น
ผมโยนมันไว้ข้างโต๊ะเล็ก ๆ ข้างตัว เลยยื่นมือไปคว้ามันมา
“ครับ พี่เหว่ยถิง”
ผมยิ้มให้โทรศัพท์ พูดเสียงหวานลงหน่อย
เพื่อขอบคุณคนที่มอบสิ่งที่ผมต้องการให้
ไอ้รอยที่คอก็ใช่ของเขา
คน ๆ นี้เป็นคนที่หยางหยาง อยากให้ผมห่างจากเขามากที่สุด
แต่ผมกลับสนองเขา ที่เพียงแค่พูดเชิญชวนผมแค่ครั้งเดียว
“วันไหนก็นัดมาเลย ผมจัดเวลาได้ ถ้าพี่มาหาผมได้จริง ๆ “
ปลายสายถามผม
“ครับ ผมต้องการพี่”
นั่นล่ะ สิ่งที่ผมตอบเขาไป
..หลังจากวางสาย ผมนั่งนิงไปครู่หนึ่ง และไม่นาน น้ำตาก็ไหลออกมา
ไหลตามแรงโน้มถ่วงอาบแก้มทั้งสองข้าง
สับสบก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่ทำให้ผมยิ่งคิดถึงหยางหยาง
มากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ผมนี่มันขี้เเยจริง ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น