วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[FIC] Stay,Still ..Stand : STILL Part 5 #หยางเฟิง




TITLE : Stay,Still ..Stand 'เราที่รักกัน'
Part :STILL
CHAPTER :   5
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG-13
TELL : วางระเบิด





****************************************************************************


ให้ตายเหอะ


สภาพที่จะทำให้ผมเป็นบ้านั่นมันอะไร หลี่อี้เฟิง .. คุณ...
  
หลังจากที่ผมเห็นภาพนั้น คุณคิดว่าจิตใจของผมจะเป็นอย่างไรน่ะหรือ




สลายน่ะสิ




ผมคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด 
 มันเกิดอะไรขึ้นกับอี้เฟิง


ผมเข้าไปห้องของเขา พอเข้าไปแล้ว แทนที่ผมจะเจอความชื่นใจจากที่ได้พบกับคนรัก แต่การพบกันครั้งนี้ เป็นครั้งที่ผมรู้สึกกลับตาลปัตรอย่างกับว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง 


การเจอภาพที่น่าเจ็บใจแบบนั้น  คุณจะให้ผมทำหน้าแบบไหน ตอนพบคุณกันล่ะ? หลี่อี้เฟิง 



รอยจูบทั่วร่าง เรือนร่างขาวเนียนที่ผมเป็นเจ้าของแค่เพียงคนเดียว ไม่ว่าจะจุดไหน ก็มีแค่ผม
ความหวานของคุณที่ผมได้สัมผัสและได้ลองลิ้มชิมรสของเพียงคนเดียว แต่มันอย่างไรกันล่ะ
ตอนนี้ทั้งหมดมันมีคนทับรอย จะใครล่ะ? ฮึ ผมรู้จักคน ๆ นั้นดี



ตอนนี้ผมไม่รู้จะโกรธใครเลยจริง ๆ




“หยางหยาง กลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ!
หลังจากผมได้เจอสภาพของเทพบุตรในหัวใจของผม ผมก็แทบเดินกลับไม่ถูกทาง หัวผมมันตื้อไปหมด แม้เสียงปลายสายจะตวาดให้ผมกลับ แต่มีหรือในตอนนี้ผมนั้นจะเชื่อฟัง ผู้จัดการของผมเขาคงประสาทกินแทบตายแล้วล่ะที่จู่ๆ ผมก็มาดื่มอีกแบบนี้



ผมกลับไปบาร์เจ้าประจำที่เพื่อนผมเป็นเจ้าของ แตะเหล้าซัดเข้าปากนับไม่ถ้วน ทุกแก้วหมดทุกหยด ให้ผมได้มึนเมนและลืมภาพนั้น ภาพที่เสียดแทงหัวใจผม ผมไม่รู้จะทำอย่างไร



“แกดื่มมากไปแล้วหยางหยาง” เพื่อนสนิท เฉินเสียงเตือนผมด้วยความหวังดี แต่ตอนนี้ผมไม่รับรู้อะไรต่อจากนี้แล้ว


ผมอยากเลิกกับอี้เฟิงจริง ๆ


“เจ็บใจ ไม่ไหวแล้วว่ะ”
ผมบอกเพื่อน พลางแตะเหล้าเข้าปาก นี่ดื่มไปกี่แก้วแล้วก็ไม่รู้ ดื่มไป น้ำตาหลางก็ไหลหยด ผ่านแก้มผสมกับเหล้าในแก้วสวย ผมดื่มมันเข้าไปแก้วแล้วแก้วเหล้า พร้อม ๆกับน้ำตาที่ยังหยาดไม่หยุด


“จะเลิกหรือ? “
“อยากเลิก...”


เฉินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนวางขวดใหม่ เป็นเหล้าชั้นดีไว้ให้ผม ก่อนมันจะกลับขึ้นด้านบนของร้านไปพักผ่อนบ้างและปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว


“ดื่มให้หมดขวดนั้น แล้วแกก็กลับซะ เดี๋ยวชั้นโทรให้พี่เขามารับแก แล้วคิดหลังจากสร่างแล้ว ว่าถ้าเลิกกับไม่เลิก แบบไหน แกจะเจ็บหนักจนต้องดื่มเหล้าเป็นหมาบ้ามากกว่ากัน”




ฮึ ผมไม่รู้เลยว่าทางไหนจะเจ็บใจกว่ากัน





หลังจากผมเมาจนแทบไม่มีสติเดินกลับ พี่สาวผู้จัดการก็มารับผมกลับจริง ๆ เธอดุด่าผมว่าไปไหนโดยไม่บอก 

“แกนี่มัน ไหนบอกจะไม่ไปเมาหัวราน้ำแบบนี้แล้วไง!
“ขอโทษครับ”

ผมได้แต่ขอโทษ เธอส่งผ้าขนหนูผืนเล็ก ชุบน้ำเสียชุ่มแล้วส่งให้ ผมนอนปวดหัวอยู่บนเตียง ไปทำงานไม่ไหว กลายเป็นคิวงานในวันนี้ต้องแคนเซิ่ลทั้งหมด ยังเคราะห์ดีที่เจ้าของงานทุกงานเป็นทีมงานที่เราคุ้นเคยกันพอสมควร จึงไม่ได้รับคำติมากเท่าที่คิดไว้ ผมขอโทษด้วยตัวเองกับทุกท่านอีกครั้งก่อนกลับมานอนปวดหัวแบบเดิม บนเตียง พร้อมกับเรื่องเดิมที่ยังคิดวนอยู่ในหัว และภาพนั้นที่ติดตาหลังจากที่ผมไปพบกับอี้เฟิง


หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงไม่สนใจอะไร เข้าไปสัมผัสอี้เฟิงจนเขาลุกไม่ไหว แต่ผมทำไม่ได้แล้ว ทำไม่ลง ตอนนี้เขาไม่ใช่ของของผมคนเดียว


หรือที่จริงเขาไม่ได้เป็นของผมตั้งแต่แรก..นี่เป็นความคิดใหม่ที่ผมคิดแทรกขึ้นมา
ผมอาจจะแค่หนึ่งในตัวเลือกมากมายของหลี่อี้เฟิงคนนั้นก็ได้


“แกจะเลิกกับอี้เฟิงหรือ?”

พี่สาวผู้จัดการของผมถาม “ฉันได้ยินแกพูดละเมอถึงอี้เฟิง ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง อยากเลิก พอพูดจะเลิกก็ร้องไห้ “ พี่สาวพูดตามที่เธอได้ยิน ยิ้มเหยียดแล้วมองผม ผมไม่เข้าใจสายตาของเธอตอนนี้

“ทั้งที่แกพยายามแทบตาย แต่สุดท้าย แกก็ไม่ได้ใจเขามา ได้ลมปากผ่านหูแกมาว่ารัก แค่นั้น ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร”


พี่เขาวางข้าวปลา และยาเอาไว้ให้ผมก่อนที่เธอจะออกจากห้องพักของผมไป แต่พูดไล่หลังทิ้งท้ายไว้

“เป็นฉัน ก็จะเลิก ถ้าสุดท้ายแล้วแกจะต้องเมาเป็นหมาแบบนี้อีก แกคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องของอี้เฟิงหรือไง ที่เขาออกไปกับเฉินเหว่ยถิงน่ะ”

นั่นล่ะ ที่ผมไม่อยากได้ยิน

อี้เฟิงยอมไปกับเขาได้ยังไง แค่นี้จริง ๆที่ผมไม่เข้าใจ และไม่อยากพยายามเข้าใจ ผมว่าอี้เฟิงผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาทำไปทำไม เขาเหงามากอย่างนั้นเลยหรือ

ผมไมได้โมโหด้วยอารมณืรุนแรงแบบเมือ่ก่อนแล้ว ผมโตขึ้นและใจเย็นลงมากกว่าที่ตัวเองคิดเสียอีก ผมกลับมา ถึงแม้จะไปเมามาย แต่กลับมาถึงห้อง ผมก็ทำได้เพียงแค่ตัดพ้ออี้เฟิงและร้องไห้กับตัวเอง

ผมอาจจะไม่ดีพอ ไม่ทำให้อี้เฟิงรู้สึกว่าผมเป็นคนสุดท้ายของเขา
เขาต้องการคนอื่นมากกว่าผมแล้ว...


นั่นล่ะที่ผมคิดได้ มีเพียงเท่านี้จริง ๆ


ผมได้แค่ตัดพ้อ ทั้ง ๆ ที่ใจเจ็บ ทุกครั้งในตอนนี้หากมีใบหน้าที่น่ารักของอี้เฟิงแทรกขึ้นมา คุณเชื่อมั้ยว่าน้ำตาของหยางหยางคนนี้ เอ่อขึ้นมาหน่วงที่ขอบตาทุกครั้งราวกับผมเป็นเด็กขี้แย


ผมคิดว่าผมรักเขามาก แต่อี้เฟิงล่ะ..รู้สึกอย่างไรกัน


ตัดพ้อซ้ำแล้วซ้ำเล่า 


ผมเหนื่อยมากจริง ๆ  แต่นั่นล่ะ ผมก็ยังคิดถึงอี้เฟิงจับใจ







“หืม ?”
 เสียงครืด ๆ จากโทรศัพท์ที่ผมตั้งระบบสั่นเอาไว้ มันดังกระทบเบา ๆ พื้นโต๊ะไม้ที่ผมใช้วางมัน จนมันร่วงหล่นมาบนพื้นข้าง ผมถึงมีกะจิตกะใจไปรับสาย เพราะอีกฝั่งปลายสาย ใจแข็งรอสายผมนานกว่าที่คิด


แต่เมื่อเห็นเบอร์โทรและฃื่อที่บันทึกไว้ โชว์อยู่บนหน้าจอ ผมก็ลังเลที่จะรับสาย แต่ปลายนิ้วของผมก็สัมผัสผิวจอโทรศัพท์และกดรับไปดังที่จิตใต้สำนึกของผมเรียกร้อง


“สวัสดีครับ”



ชื่อผู้โทรเข้าจากอีกฝั่งสาย เป็นชื่อของหลี่อี้เฟิง จากการบันทึกเบอร์โทรของผม


แต่ปลายสาย  เสียงที่ตอบกลับมา มันกลับ..ไม่ใช่เจ้าของเครื่อง


วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[FIC] Stay,Still ..Stand : Stay Part 4 #หยางเฟิง





TITLE : Stay,Still ..Stand 'เราที่รักกัน'
Part :STAY
CHAPTER :   4
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : NC-15
TELL :  แต่งตอนนี้เเล้วหน่วงทีเดียวค่ะ



“ผมจะขอลาหยุด”

พี่สาวผู้จัดการไม่ได้แปลกใจเมื่อผมขอไปแบบนั้น ทั้งที่ตาตางของเราแทบจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว เพราะพี่สาวเขาเห็นบางอย่างที่อยู่บนร่างกายของผม เรือนร่างของผมเอง ที่ให้คนอื่นมายุ่งย่ามนอกจากหยางหยาง

“แบบนั้น..ถ้าฉันปล่อยให้นายไปทำงาน  ฉันคงบ้า ไป กลับไปห้องพัก เห็นหน้าเธอตอนนี้แล้วฉันอยากจะบ้าจริง ๆ”


ผมกลับไปห้องตามที่เธอสั่ง ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่สะทกสะท้านต่อคำดุด่าของเธอไม่ว่าจะอะไร ผมน่ะมันโดนดุจนชิน เพราะเป็นคนดื้อพอตัว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ผมทั้งดื้อ ทั้งดึง ทั้งบ้า

อืม...บ้า ผมว่าตัวเองอาจจะเป็นแบบนั้น ต้องการอะไรมากขนาดนั้น หรือมันอัดอั้นมานาน จนถึงจุดที่เรียกว่า ต้องปลดปล่อยมันออกมาบ้าง พอมีเวลามาทีก็ใส่ไม่ยั้งจนทำให้ตัวเอง..เป็นแบบนี้



“อา...”  หลังจากกลับห้อง ผมก็กลับอาบน้ำหลังไปเผชิญกับมลภาวะของเมืองใหญ่มา กลิ่นควันรถ กลิ่นฝุ่น กลิ่นอาหาร และอีกมากมาย..

อื้ม..แล้วก็กลิ่นกายของคนอื่นที่ผมรู้สึกว่ามันติดมา หลังจากนั้น..ที่ผมเริ่มทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ กลิ่นกายของคนอื่นนอกจากหยางหยาง

“ทั่วตัวเลย..” ผมมองดูเรือนร่างของตัวเอง  ที่คนอื่นทำร่องรอยเอาไว้ ตอนนั้นที่เริ่มกิจกรรมกัน ผมไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าความเห็นแก่ตัวที่อยากเติมเต็มให้ตัวเอง จิตใจที่หมกมุ่นในเรื่องนั้นเสียแล้ว และความอัดอั้นในหลากหลายอารมณ์ที่มากกว่าอารมณ์สวาท  ผมยอมให้รุ่นพี่แตะต้องได้ตามใจ ตรงงไหนก็ได้ที่เขาอยากแตะ ทำอะไรก็ได้ อยากทำให้ผมเจ็บหรือสะท้านตรงไหนก็เชิญ แค่ให้หัวใจของผมไม่มีช่องโหว่เป็นพอ  แล้วเมื่อชายสองคนที่เริ่มมีอารมณ์แบบนั้นมาอยู่ด้วยกัน ใครมันจะไปหยุดได้ เขาเองก็จัดใสผมไม่ยั้งมือเหมือนกัน ปรากฏผลงานของเขาเป็นร่องรอยทั่วตัวจนผมไม่เห็นว่าตรงไหนที่จะไม่มีสีแดงกุหลาบอยู่บนร่างกายตัวเอง และเพื่อให้เห็นชัด ผมเดินไปอีกนิด เพื่อไปส่องกระจกในห้องน้ำ ทีนี้ก็เห็นสีกุหลาบนั้นทั้งตัว ผมไล่ปลายนิ้วมือแตะตัวไปตามสีกุหลาบทีละตำแหน่ง

ไล่ไปเรื่อย ๆ จนหมด รุ่นพี่คนนี้อารมณ์มากมายเหลือเกิน ร่องรอยที่ปรากฏบนร่างของผมไม่น้อย ไม่ใช่เล่นเลย


“อืม..”


มีอารมณ์อยากทำขึ้นมาอีกแล้ว... ผมคิดกับตัวเอง
ช่วงนี้มาง่ายเหลือเกิน ก็อย่างว่า ผมมันจิตหมกมุ่นไปแล้วนี่



และผมก็ไม่อายตัวเอง อยากก็ทำ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายที่เกิดความต้องการโดยง่าย จะ ยืนหน้ากระจกก็ช่างมันเหอะ


มือข้างที่ผมใช้ไล่ตำแหน่งสีกุหลาบที่ปรากฏบนตัวทำโดยรุ่นพี่คนนั้น ผมใช้มือข้างนั้นล่ะ กระทำกิจกรรมอัน หฤหรรษ์ของตัวเองต่อ


“อา...”

มือที่กำเอาส่วนอ่อนไหวของตัวเองไว้รอบ มันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยตามอารมณ์และชันขึ้นตามความต้องการ ยิ่งอยากมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเพิ่มขนาด ผมเริ่มทึ่งกับตัวเองนิดหน่อย แต่แม้แค่คิดเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ลามกนิดหน่อยก็จุดอารมณ์กรุ่นในตัวเองได้แล้ว


ผมโทษหยางหยางแล้วกัน


ยังจำได้ดีเลยล่ะ กับสิ่งที่เชาทำกับผมไว้ ตอนนั้นผมทรมาณแค่ไหน
คุณรู้ไหมว่ามันเหมือนยาเสพติดเลยนะ เรื่องแบบนี้น่ะ
หยางหยางทำให้ผมเสพติด เพราะเขานั่นล่ะ
ให้ผมเป็นเครื่องระบายของเขา แต่เมื่อผมต้องการบ้าง เขาก็ทำให้ผมไม่ได้ ในตอนนั้นผมทรมาณมาก ๆ ก็ต้องจัดการตัวเอง ผมอายที่จะไปให้ใครช่วย ในตอนนั้นผมทั้งเกลียด ทั้งกลัวตัวเอง ร้องไห้หนักแค่ไหน แต่เมื่อได้เจอหยางหยางอีกครั้ง ผมก็ดีใจ มันเติมเต็มแล้ว ทั้งกายทั้งใจ หยางหยางคนนั้นทำให้ผมไม่รู้สึกถึงความว่างเปล่า


และตอนนี้เราก็ถูกแยกกันอีก ด้วยเพราะเหตุผลต่าง ๆ นานาบนโลก ผมเบื่อ แต่ผมแข็งแกร่งขึ้น และไม่อายตัวเองแล้ว
ผมจึงกล้าที่จะให้คนอื่นมาช่วยผม ผมเลือกให้คนอื่นที่ไม่ใช่หยางหยางช่วย ผมพบหยางหยางไม่ได้ เหมือนทุกคนบนโลกจดจ้องเราอยู่เสมอ หากเราพบกันทุกอย่างจะกลับตาลปัตรไปในทางร้ายเสมอ อย่างกับผมทำความผิดอะไรมากมาย



ไม่ใช่ผมไม่เคยพยายาม ไม่ใช่เรานิ่งเฉย เราฝ่ากระแสต่าง ๆ จนได้พบกันก็มี แต่หลังจากที่พบกัน เราก็เหมือนทำผิดมหันต์ไปเสียทุกครั้ง บางครั้งผมถูกดุด่าจนร้องไห้ หยางหยางก็โดยหนักไม่ต่างกัน เราต่างก็มีชื่อเสียง มีความฝันที่ต้องไขว่คว้า และนั่นเป็นกลายเป็นอุปสรรคสำหรับเราสองคน


“อา..อืม... หยางหยาง”


ฮึ สุดท้ายเวลาผมคิดเรื่องลามกขึ้นมา ก็มีแค่หยางหยาง มีแค่เขาที่ผมคิดถึง และคิดถึงเป็นคนแรก


ระหว่างที่คิดไปเรื่อยเปื่อย มือของผมก็รูดรั้งส่วนนั้นของตัวเอง ทำเอาเข่าอ่อนจนต้องเกาะขอบอ่างล้างหน้า ยิ่งรูดรั้งยิ่งพลังสูญ ผมเลยกระโจนให้ตัวเองไปนั่งบนนั้นแทน หลังชนกับกระจก เพราะเริ่มอายใบหน้าแดง ๆ ของตัวเองที่สะท้านบนนั้นแล้วล่ะ


“อื้อ...”
น้ำแรกออกมาแล้ว เลอะเปราะไปหมด คิดว่าคงต้องอาบน้ำใหม่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก ผมยังอยากอยู่


มือที่ยังคาอยู่ที่เดิม ผมรูดมืออีกรอบให้หมดหยาดสุดท้ายของน้ำแรก และกำลังจะเริ่มครั้งที่สอง


“อื้ม..อะ ฮึก” ครั้งที่สองผมพุ่งทะยานขึ้นมากกกว่าเดิม ความต้องการพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เพราะความต้องการที่มีอยู่เดิมแล้ว มันทำให้ผมวาบที่ท้องน้อยเสียวสะท้านมากเป็นเท่าทวี เพิ่งสังเกตท่านั่งของตัวเองที่ถ้าหากอยู่บนเตียงคงเย้ายวนใจไม่น้อย หลังที่หันชนกับกระจกตรงอ่างล้างหน้า หัวพิงกระจกไว้อีกที มันมีพื้นที่ข้างอ่างที่พอสำหรับหนึ่งคนนั่ง กระจกที่กว้างคลอบคลุมพื้นที่ ผมนั่งชันเข่า เรียวขาแยกกว้างพอสมควรที่จะทำอะไร ๆ ได้สะดวก และมือที่ยังไม่หยุดเติมเต็มความต้องการ

“อะ..อ๊ะ... หยาง...หยาง”

ใกล้เข้ามาอีกครั้ง สำหรับครั้งสอง ผมหลับตาปี๋รอให้มันมาถึง



“เอ๊ะ!


ผมอุทานทั้งที่หลับตาอยู่  เพราะความแปลกใหม่ที่ได้สัมผัส  ส่วนนั้นของผมมมีอะไรมาขวางกั้นความต้องการที่กำลังจะสุดทาง คีบเค้นจนผมทรมาณเพราะไม่ได้ปลดปล่อย จึงลืมตาขึ้นเมื่อผมสุดแสนจนโมโห


“..นาย...”



.เมื่อลืมตาขึ้นมา ผมก็ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม อารมณ์ต้องการหายวับไปทันตา แม้จะไม่กี่วินาทีก็ตาม


“อยากขนาดไหน ถึงต้องทำหน้าตาแบบนั้น รอยนี่มันอะไรทำมาถึงมากมายทั่วตัวแบบนี้  เเล้วมือนี่..ฮึ ดูเก่งขึ้นนะ “


คนที่ผมเอ่ยชื่อไปเมื่อครู่..เขานั่นล่ะที่กำลังต่อว่าผมอยู่ตอนนี้


เขาไม่เคยว่าผมแรง ๆ แบบนี้ แววตานั่นก็ไม่ใช่ ไม่... เขาที่พูดจาหวานหูกับผมทุกครั้งแม้จะโมโหผมสุดหัวใจก็ตาม แค่ได้เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงก็พาลน้ำตาไหล ริมฝีปากของผมเบะออกเป็นสัญญาณว่าจะร้องไห้ให้เขาเห็นแล้วนะ แต่คนตรงหน้าที่สกัดกั้นอารมณ์ของผมกลับดูเหมือนไม่แยแสน้ำตาผมเลย

“รังเกียจกันแล้วหรอ..” ผมเอ่ยทะลุก้อนสะอื้นที่จุกตรงลำคอ


มือนั้นที่ยังคาอยู่ที่ส่วนอ่อนไหวของผมเริ่มช่วยขยับ แต่พลังนั้นรุนแรงสร้างความเจ็บให้มากโข แต่ก็ยังไม่เท่าความต้องการที่ถูกจุดมาใหม่ มันมาไว และปลดปล่อยได้ตามต้องการแล้ว ผมหอบอยู่ตรงหน้าเขาหลังจากได้ปล่อยให้ความต้องการนั้นออกไป สายตาคนตรงหน้าผมนิ่งเรียบเฉย ผมไม่พบเขานานแบบนี้ แววตาเขาเป็นแบบนี้แล้วหรือ แววตาที่ส่งให้ผมกลับกลายเป็นแบบนี้แล้วหรือ


“ทำไมมองแบบนั้น ฉันไม่ชอบสายตาแบบนี้ของนายเลย”  ผมพูด

อีกคนไมได้สนใจหันมาทางที่ผมพูด เขากลับไปล้างคราบขาวที่ติดที่มือ หลังจากที่ผมปลดปล่อยใส่มือของเขาไป 


ผมขึ้นกับเลิกคิ้วที่เห็นเขาของของผมออกล้างออก จากที่เคยเห็นเขาแทบกลืนกินทั้งหมดนั้นไปด้วยซ้ำ


“จะกลับแล้ว” เขาบอก หลังจากล้างมือเสร็จเขาหันหลังไม่กลับมามองผมด้วยซ้ำหลังจากที่บอกแบบนั้น ผมไม่รั้งไว้ด้วย ทั้งที่อยากเจอเขามากขนาดนี้ แต่ผมกลับไม่รั้งตัวเขาไว้เลย คน ๆ นั้นหันหลัง ปิดประตูโครมใหญ่กลับไปแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเข้ามาในห้องผมได้ยังไง แต่มาเพื่ออะไรกันล่ะ ? ดูสภาพที่น่าสมเพชของเทพบุตรแห่งชาติงั้นหรือ?


นี่หลี่อี้เฟิง..นี่แกยังกล้าเรียกว่าตัวเองเป็นเทพบุตรอีกหรือ..ฮึ


ผมขยับเข่าเข้ามาใกล้ตัว และกอดไว้ เอาแขนรวบเข่าตัวเองและนั่งซุกใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาทั้งสภาพเปลือยแบบนั้น ฮึ นายเข้ามาถูกจังหวะจริง ๆ มาเห็นฉันตอนน่าสมเพช ทำอะไรน่าอาย


“ฮึก..” หลังจากนั้นผมก็ปล่อยน้ำตาออกมา ปล่อยเสียงร้องไห้โฮเสียงดังชนิดที่ใครเข้ามาคงได้ยินตั้งแต่หน้าประตู ผมช่างมันแล้ว ผมเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ แต่แค่อยากร้องไห้ อยากระบายอะไรซักอย่างที่ตันอยู่ในหัวใจออกมา น้ำตาทั้งหมดนี้ผมได้แต่หวังว่ามันจะทำให้ผมดีขึ้นหลังจากได้เอาอารมณ์ที่อัดอั้นในหัวใจใส่น้ำตาแต่ละหยดและปล่อยให้ไหลรินทิ้งไป



รู้ไหมว่า ถ้าเราสองคนเจอกัน มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าลัดผ่านพวกเรา แค่ปลายนิ้วสัมผัสก็เลยเถิดไปไกล วันนี้เขาแทบไม่ทำอะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ นอกจากมาคว้าส่วนนั้นของผม เหมือนจะแกล้งกัน ช่วยผมเพียงแค่ไม่นาน ก็กลับไปอย่างไม่สนในใยดี ... 
เเละก่อนเขาไป ผมยังจำแววตาสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้  บอกไม่ถูกจริง ๆ นั่นทำให้ผมร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม 

หัวใจแม่งหน่วงชะมัด


ขนาดอยู่ใกล้กันตั้งขนาดนั้นแล้ว ผมแทบคว้าเขามากอดได้ แต่มือไม่ขยับเลย เพราะผมมัวแต่คิดว่าต่อให้อยู่ใกล้ขนาดนี้ ผมก็กอดเขาไว้ไม่ได้ เอื้อมไปไม่ถึงอยู่ดี



 “ฉัน...หยางหยาง..ฉัน..” พูดอะไรไม่ออกเลย..ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์พูดอะไรได้แล้ว  เราที่รักกันแบบไหน ?แบบไหนกัน ? ผมไม่รู้ว่าผมรักเขาไหม ? หรือแค่เสพติดความต้องการจากหยางหยาง ? เสพติดไม่เท่ากับรักหรอกนะอี้เฟิง รู้ไหม ? รักเป็นแบบไหนกันล่ะ ? รักมันก็รวมเรื่องเซ็กซ์ไปด้วยไม่ใช่หรือ ? แต่มันมากไปแล้วไม่ใช่รึไง แค่คิดถึงความอยากก็มาแล้วนี่ นายน่ะ ? งั้นความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไรล่ะ ?



คำถามทุกอย่างวนในหัวผมจนสับสน




นั่นสิ..รักเป็นแบบไหนล่ะ ? ที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผมรักเขา หรือแค่อ่อนไหวกับอารมณ์ที่พาไป  พร้อมคำหวานจากหยางหยางที่ได้ฟัง




นั่นสิ..ผมนี่มันยิ่งกว่าเด็กเสียอีก ไม่รู้จักอะไรเลย แม้แต่ใจตัวเอง






TBC 5




น่าจะ 12 ตอนจบนะ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[FIC] Stay,Still ..Stand : Stay Part 3 #หยางเฟิง


TITLE : Stay,Still ..Stand 'เราที่รักกัน'
Part :STAY
CHAPTER :   3
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG-13 
TELL : สับสนค่ะ คนที่ไม่เคยรักก็มักจะสับสน 






ผมแปลกใจว่า หลังจากวันนั้น ตัวเองผิดปกติไปเล้กน้อย..ตรงที่หัวใจ


ผมไม่ร้องหาอ้อมกอดของหยางหยางอีก ผมคิดถึงหยางหยางน้อยลงกว่าเดิมนิดหน่อย


อาจจะเป็นเพราะผมได้ปลดปล่อย..อืม..เรียกได้ว่าทุกอย่างออกไปจากใจ
และเหมือนจะสรุปเรื่องราวในหัวใจของตัวเอง ระหว่างผมกับเขาได้แล้วว่า



“ควรพอ” นั่นเป็นคำที่ทำให้ผมเจ็บน้อยที่สุด เพื่อที่ผมจะไม่ต้องร้องไห้เพราะคิดถึงเขา โหยหาเขา อยากให้เขามาอยู่ใกล้ ๆ   หยางหยางทำให้ผมทรมาณ แค่ได้ยินชื่อก็ทรมาณแล้ว อยู่ใกล้ ๆ กันคงทรมาณ หากเราสัมผัสกันไมได้ ผมไม่กล้าหวังว่าจะเจอเขาเลย แม้ซักครั้ง เพราะยิ่งเราฝืนมันก็ยิ่งยากที่เราจะได้อยู่กันเพียงแค่สองคน เหนือผู้คนบนโลกใบนี้



มันเหนื่อยก็ควรพอ ผมคิดแบบนั้น


ไม่รู้จะฝืนไปทำให้มันเหนื่อยนะ คุณรู้ไหมว่า ความทรมาณจากคน ๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ผมรู้ดีนะว่าหยางหยางรักผม แต่ตัวผมเอง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรุ้สึกกับหยางหยางแบบไหนกันแน่  รักหรอ เอาจริง ๆ ว่าผมยังยืนยันกับใจตัวเองไมได้เลย แล้วผมจะมีหน้าไปบอกหยางหยางได้อย่างจริงจังได้อย่างไร ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ไม่สิ ผมยังไม่รู้เลยว่าความรักที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร มันทรมาณขนาดนี้เลยหรอความรักน่ะ แบบนั้น ผมไม่ไหวหรอก


ผมไม่ใช่คนทนต่ออะไรมาก คนเห็นแก่ตัว




ผมทรมาณเกินไป หากความรักครั้งนี้ที่ผมกับหยางหยางพยายามอยู่มากเหนื่อยนัก เราก็ควรพอ
แต่ผมยังไม่ได้บอกกับหยางหยางหรอกนะ เขาต้องอาละวาดจนตายกันไปข้าง ผมรู้นิสัยเขาดี เวลาเขาโกรธ เป็นหมาบ้าดี ๆ นี่เอง



“ร้องไห้อีกแล้ว”  ผมพูดกับตัวเอง ผมคิดเรื่องราวทั้งหมด พลางน้ำตาไหลไป


คุณว่าผมเจ็บอยู่รึเปล่า ? เหนื่อยมากไหม? ทรมารณเพียงใด ? แล้วเรื่องรักของผมกับหยางหยางล่ะ ผมรักเขาจริงมั้ย


เขาว่ากันว่า ตัวเองจะตอบตัวเองได้ดีที่สุด แต่น่าเสียดายผมไม่มีคำตอบอะไรให้กับคำถามของตัวเองซักอย่าง


พอแล้ว


ผมหลับตา..นึกถึงทุกอย่างตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมพบกับหยางหยาง เกิดจิ๊ดที่หน้าอกขึ้นมา เลยยกมือมาแตะตรงนั้น มือผมเผลอยำเสื้อตรงนั้นจนยับยู่  เป็นเสื้อที่ต้องไว้ใช้ถ่ายแบบเสียด้วยแต่ช่างมันเหอะ ผมไม่สนใจอะไรแล้ว

ผมแค่เหนื่อยเกินจะทน


พอเจ็บก็ร้องไห้ พอร้องไห้น้ำตาก็เช็คด้วยตัวเอง มนุษย์นี่ช่างเข้มแข็งจริง ๆ
ว่าไป ผมร้องไห้เพราะหยางหยางอีกแล้ว ครั้งที่ 1002 แล้วล่ะมั้ง



“อี้เฟิง เธอโอเคนะ” พี่สาวผู้จัดการทีมผมอีกคน เธอเข้ามาทักทายผมก็เห็นสีหน้าไม่สู้ดี เธอไปตามหัวหน้าใหญ่ของทีมเรามา เธอเห็นหน้าผมก็รู้ทันทีว่าผมกำลังนั่งน้ำตาไหลเพราะเรื่องอะไร


“ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นของเธอแล้วอี้เฟิง รีบล้างหน้าล้างตา แล้วเตรียมตัวทำงาน” เธอว่าแบบนั้น ผมจึงทำตาม นั่นเป็นวิธีเทคแคร์เด็กในแบบของเธอ แทนที่จะมานั่งปลอบ ก็สู้ให้ไปไปทำงาน พบความจริง ดีกว่ามานั่งจมปัญหา แต่ถ้าผมเป็นหนักมาก ๆ เหมือนครั้งก่อนที่ผ่านมา เธอนั่นล่ะก็คือคนที่ปลอบผม แทนร้องไห้แทนผม ผมเสียต่างหากที่จะต้องปลอบเธอ


วันนี้งานของผมเป็นงานถ่ายแบบ คอนเซป สบาย ๆ มีสัมภาษณ์เกี่ยวกับงานอดิเรกที่ชอบทำ ธีมง่าย ๆ ที่ผมถนัด การตอบคำถามก็ไม่ได้กำหนดสคริปส์อะไรมาก ตอบได้ตามใจ เพราะเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ทั่ว ๆ ไปที่ดาราทั่วไปก็ตอบกัน


หลังจากนั้นก็พักกอง ผมจึงได้มีเวลาไปนั่งพักนิดหน่อย ก่อนทำงานชิ้นต่อไป วันนี้มีงานถ่ายแบบทั้งวัน มีแมกกาซีนอีกเล่มที่จ่อคิวรออยู่ อันนี้เป็นธีม DEMON & ANGEL  ซึ่งผมจะต้องเป็นทั้งสองด้าน สวมวิญญาณ ปีศาจน้อยและเทวดาผู้งามสง่าในคนเดียวกัน


“แบบนั้น โอเคเลยครับ คุณอี้เฟิง”


ผมทำตัวสบาย ๆ สื่อความเป็นปีศาจและเทวดาอย่างที่คุณช่างภาพเขาต้องการ แววตาของผมที่ตั้งใจสื่ออกไป ไม่รู้ว่าคุณช่างภาพเขาเก็บภาพไปได้เท่าไหร่ แต่เสียงชัตเตอร์กล้องรู้ว่ารูปที่ได้ไปต้องมากกว่าร้อยเป็นแน่ ผมหันซ้ายขวา โพสต์ท่าให้เขาถ่ายอยู่นาน ก็แอบล้าไปอยุ่เหมือนกัน



“อืม...รูปนี้”




ช่างภาพเขาโหลดรูปเข้าคอมพิวเตอร์ใหญ่แล้ว จึงเป็นช่วงเวลาคัดรุปกัน ผมจึงอยากเห็นตัวเองบ้าง ในธีมที่ไม่เคยถ่ายแบบนี้



รูปนี้...ธีมเทวดาแต่แววตาปีศาจเหลือเกิน ..ผมว่ากับรูปตัวเอง มันสะท้อนอะไรในตัวผมได้มาก  ไอเจ้ารูปถ่ายเนี่ย
“คุณจะถ่ายใหม่มั้ยครับ”
“ผมว่ามันก็โอเค แม้ผมไม่รู้ว่าคุณคิดเรื่องอะไร ตอนโพสท่าถ่ายรูป แต่การตีความธีมนี้ เราก็ตีกันได้หลายแบบ เทวดาปีศาจในคนเดียวกัน หรือ เทวดาปีศาจในเวลาเดียวกัน ก็ย่อมได้ ก็แล้วแต่”



ผมมองตัวเองในรูป แววตาร้ายกาจ แต่ผมอยู่ในชุดเทวดาสีขาว สูทตัวสวยนั่นทำให้ลุคภายนอกของผมดูเป็นเทวดาอย่างที่ว่า แต่แววตามันไม่ใช่


นี่อาจจะเป็นตัวตนของผมจริง ๆ ก็ได้



ความร้ายกาจของหลี่อี้เฟิง ที่แอบซ่อนอยู่ ความเห็นแก่ตัว ไม่สนใจหัวใจใคร


อืม ผมคิดว่าตัวเองก็คงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก หลอกตัวเองเป็นว่าเทวดาอะไรนั่น บ้าบอจริง ๆ







“เฮ้อ “ ผมเดินเลี่ยงจากกลุ่มทำงาน ออกมาพักผ่อนด้านนอก ไม่ว่าอย่างไรผมก็ชอบอยู่คนเดียวจริง ๆ นั่นล่ะ หลังจากเดินออกมา ผมก็กดน้ำที่ตู้กดน้ำอัตโนมัติมาดื่มแก้กระหาย นั่งอยู่ซักพักก็เหมือนมีเพื่อนใหม่ทรุดนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ ผมอย่างเงียบเชียบ




ผมหวังว่าจะเป็นหยางหยาง แต่ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แค่กลิ่นน้ำหอมที่ติดตัวมาก็ไม่ใช่หรอก แต่ผมก็ยังหวัง
ผมนี่มันเห็นแก่ตัวจริง ๆ  ที่จริงผมก็ควรพยายามไปหาเขาบ้าง แต่ผมมันเป็นคนทิฐิสูง และคิดมาตลอดว่า หยางหยางที่เป็นคนขอความรักผม นั่นล่ะต้องพยายามมาหาผมสิ ผมคิดแค่นั้น แม้จะรู้ว่าเห็นแก่ตัวมาก แต่ผมก็เลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่พยายามอะไร นอกจากพยายามรออย่างอดทนให้เขามาหา  มันก็มีเหตุผลนะว่า ถ้าผมดิ้นรนไปหาหยางหยาง ก็มีแต่จะทำให้เขาพังพินาศได้มากเท่านั้น


“นี่...” คนที่ทรุดนั่งข้าง ๆ ผม เขาปลั่งเสียงออกมา พอฟังแล้วก็พอจะรู้ว่า เขาเป็นใคร


เขายังพูดออกมาต่อจากนั้น  และผมก็คล้อยตามเขาง่าย ๆ  เขาเอื้อมมือมาหาผม สวมกอดร่างของผมเสียแน่น และเปลี่ยนเป็นคนฉวยโอกาสยอมให้เขาจับนั่นโน่นนี่ได้ง่าย ๆ ทับที่ทับทางที่หยางหยางเคยสัมผัสแทบทั้งหมด



“ไปต่อมั้ย?..”

ผมมันก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ ผมมันเอาแต่ได้ เอาแต่ใจ อ่อนไหวง่าย เหนื่อยนิดหน่อยก็บ่นไม่เอาแล้ว
แต่ก็นี่ล่ะ ผม หลี่อี้เฟิง


ผมตอบคำถามเขาอีกคน  “อืม”









และหลังจากนั้น ผมก็กลับมาที่ห้อง ผู้จัดการด่าผมเสียแทบตาย แต่โชคดีที่คิวงานผมมันหมดไปแล้ว หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ เหลือเพียงแค่คุยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ผมไม่ต้องอยู่ก็ได้ พี่สาวผู้จัดการของผมเลยไม่ถือสาเอาความอะไร แต่เพียงเธอแค่สงสัย



“รอยอะไรที่คอเธอ อี้เฟิง”



เธอรู้ตารางงานของหยางหยางดี เพราะเธอระวังเด็กปีศาจที่เธอเรียกมาตลอด ผมไม่สบตาและเดินหนี  พี่สาวผู้จัดการไม่ตามความอะไรผมอีก แต่เธอพ่นลมหายใจ และทำท่าทางเหนื่อยใจยิ่งกว่าผม และยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ


“อี้เฟิง เธอไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ เด็กนั่นรู้จะคลั่งแค่ไหน”
“พี่อยู่ข้างเขาแล้วหรือไง”
“ไม่ใช่! แต่เธอรู้มั้ยว่า ถ้าเด็กนั่นหูไว แล้วรู้ว่าเธอเป็นแบบนี้ และเธอยัง! ไปยุ่งกับคนอื่น ให้คนอื่นทำรอยแบบนั้นแทนมัน ฉันไม่อยากจะคิดว่าปีศาจในตัวเด็กคนนั้นจะกลับมาทำลายทำล้างอะไรอีก”

เธอเริ่มหัวเสีย เธอรู้ความร้ายกาจของหยางหยางดี เพราะเคยทำงานด้วยกัน ก่อนหน้านั้น หยางหยางเป็นปีศาจร้ายแบบตัวจริงเสียงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เพราะเขาปรับปรุงตัว เปลี่ยนตัวเองใหม่ สาเหตุหนึ่งเพราะผมด้วย

“นายจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม อี้เฟิง”
“ ผมเป็นอะไร”



เธอพูดกับผม  จ้องตาผมจนผมหลบเลี่ยงสายตาของพี่สาวผู้จัดการไม่ได้  เธอเหมือน..จะกลัว


“เธอเริ่มเป็นปีศาจ เธอจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานไหม “



ผมแสยะยิ้มให้เธอ ที่จริงมันเป็นคำพูดในใจ แต่ผมดันพูดออกมา นั่นทำให้เธออึ้ง

“ผมเป็นมานานแล้ว พี่เองที่ไม่รู้ “


เธอเหมือนไม่เชื่อผม ก็แหงล่ะ เธอมองผมเป็นเทวดาที่น่ารักของเธอมาตลอด


“อย่าเป็นปีศาจไปอีกคน อี้เฟิง”


ผมมองเธอ แล้วก็หันกลับไป ก่อนจะยกมือขยี้รอยที่เห็นได้เด่นชัดตรงซอกคอ อา..คนคนนั้นทำรอยเสียเด่นขนาดนี้



“ผมหลอกพี่ ผมหลอกตัวเอง จริง ๆ ผมเป็นปีศาจ ความจริงมันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ หยางหยางอาจจะไม่ใช่ปีศาจแบบที่พี่คิด พี่ต่างหากที่เลี้ยงปีศาจไว้ใกล้ตัว”


เธออึ้งยิ่งกว่าเดิม  ท่างดูเหมือนไม่เชื่อ
“เธอกำลังคิดทำอะไรอยู่ ฉันไม่รู้หรอกนะ อี้เฟิง แต่รีบเรียกตัวเองคืนมาซะ เด็กที่ฉันเลี้ยงมา ที่เป็นปีศาจมันมีแค่ หยางหยาง เพียงคนเดียว”



แค่นั้น เธอพูดจบแล้วก็ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิด เธออาจจะมองผมไม่ออก หรือจริง ๆ เธอเชื่อจริงๆ ผมมันก็แค่เสแสร้ง


“หลี่อี้เฟิงเอ๊ย”


แค่เรื่องความรัก ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้เลยหรือ ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าตอนนี้ผมควรทำอย่างไร
แต่ที่ปรากฏมาแล้วคือ ผมไปนอนกับคนอื่นที่ไม่ใช่หยางหยาง
นี่ล่ะ ความร้ายกาจของผมที่เริ่มต้น ทั้งที่ผมคบกับหยางหยางอยู่
ผมรอเขาไมได้ ผมต้องการสัมผัสมากมาย แต่หยางหยางที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่สามารถมอบให้ผม


หืม ?  เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมโยนมันไว้ข้างโต๊ะเล็ก ๆ ข้างตัว เลยยื่นมือไปคว้ามันมา


“ครับ พี่เหว่ยถิง”



ผมยิ้มให้โทรศัพท์ พูดเสียงหวานลงหน่อย เพื่อขอบคุณคนที่มอบสิ่งที่ผมต้องการให้
ไอ้รอยที่คอก็ใช่ของเขา
คน ๆ นี้เป็นคนที่หยางหยาง อยากให้ผมห่างจากเขามากที่สุด แต่ผมกลับสนองเขา ที่เพียงแค่พูดเชิญชวนผมแค่ครั้งเดียว


“วันไหนก็นัดมาเลย ผมจัดเวลาได้ ถ้าพี่มาหาผมได้จริง ๆ “


ปลายสายถามผม


“ครับ ผมต้องการพี่”

นั่นล่ะ สิ่งที่ผมตอบเขาไป





..หลังจากวางสาย ผมนั่งนิงไปครู่หนึ่ง และไม่นาน น้ำตาก็ไหลออกมา ไหลตามแรงโน้มถ่วงอาบแก้มทั้งสองข้าง 



สับสบก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่ทำให้ผมยิ่งคิดถึงหยางหยาง มากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก




ผมนี่มันขี้เเยจริง ๆ