วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[SFic] แค่คิดถึง ::ตุลย์ ภากร x อิน สาริน ( #Tul_pakorn x #inpitar)



[SFic] : แค่คิดถึง
Paring : ตุลย์ ภากร x อิน สาริน (Tul_pakorn x Inn Sarin)

แค่อยากเขียน
แค่มโนของเราเองด้วยค่ะ
แค่ฟีลเตอร์ของเราคนเดียว
แค่เราชอบคู่นี้มากแค่นั้นเอง ฮือ
แค่เราคือ #ทีมตุลย์อิน

(ไม่ชอบวาย อย่ากดมาเน้)





***************************************


ที่จริงผมกับอินน่ะ


“ไม่มีอะไร ก็พี่น้องเล่นกัน คู่จิ้นไงพี่ เนอะอิน”
“อื้อ ใช่ครับ เนอะพี่ตุลย์เนอะ”

วันก่อนเราสองคนที่ได้ออกงานออกสื่อด้วยกัน  เป็นอีเว้นท์เดียวกันที่ได้ออก เป็นหนึ่งไม่กี่งานที่เราจะได้เจอกัน เราเจอคำถามคล้ายเดิมแบบที่เราจะเจอพี่ๆ สื่อ และทีมงานเขาถาม หรือแซวบ้างตามโอกาส


“เราสองคนเป็นอะไรกัน ?”


โดนถามบ่อยครับ  และคำตอบของผมและอินก็เป็นไปตามไดอาล็อกที่คิดไว้และตกลงกับพี่ผู้จัดการของเรา ๆ แล้วว่ามันโอเค เราสามารถตอบแบบนี้ได้

แต่รู้ไหม ผมไม่ได้อยากตอบแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว



“ผมจะไปเรียนที่เกาหลีเทอมนึงนะพี่ตุลย์”


เจ้าตัวแสบของผม รุ่นน้องที่กวนใจผมที่สุด
หรือจะให้เรียกกันตรง ๆ ไปเลยว่า คนที่ผมคิดถึงบ่อยที่สุดรองจากครอบครัว

อิน สาริน หรืออินพิต้าของทุกคน


เจ้านี่มันมีคนรายรอบ ล้อมตัวมัน อินเป็นเด็กเฟรนลี่ ร่าเริงและสดใส มาพร้อมรอยยิ้มที่ใคร ๆ ก็บอกว่าน่ารักและหวานสมกับที่มีบางคนบอกว่าเจ้านี่ยิ้มหวานจริง ๆ

เจ้าอินบอกผมว่า มันกำลังจะไปเรียนไปแลกเปลี่ยนที่เกาหลี มันก็เหมือนที่ผมเคยไปตอนสมัยเรียน เดี๋ยวก็กลับมา ไม่กี่เดือนเอง


แต่ไม่กี่เดือนนั่น ผมจะไม่เห็นหน้ากวน ๆ ของอินมัน ไม่ได้ยินเสียงใส ๆ ที่ไม่ต้องผ่านเครื่องมืออิเล้กทรอนิกส์ ไม่ได้พบรอยยิ้มหวานสดใสนั่นด้วยสายตาตัวเอง ถ้าอินไปผมก็ทำได้เพียงแค่มองอินมันผ่านจอโทรศัพท์เท่านั้น


มันไปทำหน้าที่ของมัน จะห้ามได้อย่างไรกันล่ะ เรื่องเรียนเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ผมเป็นห่วงมัน
และอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมเอง
คือ ผมต้องคิดถึงอินมากแน่ ๆ

หลังจากที่อินบอกเรื่องไปเรียนที่เกาหลีนี่ ผมก็เงียบไปครู่หนึ่ง อินบอกผมผ่านโทรศัพท์เพราะเราแทบไม่มีช่วงเวลาได้พบกันเลย จังหวะเราไม่ค่อยตรงกัน จะมาตรงกันก็ไอ้ตอนที่



“พี่ตุลย์..”


ผมต้องมาส่งอินมันไปเกาหลีเสียแล้ว


“เอ้า ให้” วันไปส่งอิน ผมไม่ค่อยได้คุยกับอินหรอก อินมีทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง แฟนคลับมากมาย มารอส่งมันด้วยความรักและห่วงใย ผมทำได้แค่เพียงรอก่อน ให้ของไปแล้วตะกี้ ฝากพี่ผู้จัดการไว้ ผมหันไปโน่นนี่ มองไปรอบ ๆ ตัวเองมีแฟนคลับอินเรียกผม ถามว่า

“มาส่งอินหรอ~~~~~
ถามด้วยน้ำเสียงล้อกันเห็น ๆ ผมอยากจะเขกกะโหลกเจ้าเด็กบางคน แต่ทั้งหมดนี่ก็ทำให้ผมยิ้มนะ ที่ล้อลี่เพราะเก่งเอกมโน โทจินตนาการ หรือเห็นว่าแววตาของผมถึงเจ้าอินมันมีความหมายอะไรซ่อนอยู่กันแน่



หลังจากที่ทักทายเพื่อน ถ่ายรูปกันจนหนำใจ มีชฃ่วงที่ผมได้ไปถ่ายรูปกับมันด้วยนะ
อินเรียกผมไป

"พี่ มาเซลฟี่"

อินโอบไหล่ผมด้วยความพยายามและความสูงที่มีแต่ก็ไม่รอบเทาไหร่
อินตัวหอมดีว่ะวันนี้

ผมที่เกือบเบนหน้าตัวเองเอาจมูกไปจรดที่แก้มที่น่าจะนิ่มมากของอินอยู่เเล้วแต่ก็ห้ามใจทัน 
เป็นการเซลฟี่ที่แสนจะธรรมดา หลังจากนั้นผมกับอินก็แยกย้ายไป อินไปหาเพื่อน ผมไปอยู่กับกลุ่มทีมเมเนเจอร์ของอิน
แต่ผมยังคงมองอินอยู่เนือง ๆ 
เหมือนเจ้าตัวน่ารักก็แอบ ๆ มองผมอยู่เหมือนกันแต่ก็เม้าท์กับเพื่อนไปด้วย





“ทุกคนไปแล้วนะ บ๊ายบ่าย” 

อินโบกมือให้ทุกคนที่อยู่รอส่งมัน รวมถึงผม และก็โค้งสวัสดีทุกคนที่แก่กว่ามัน ก็รวมถึงผมด้วยอีก
อินชะงักตรงหน้าผมเพียงเสี้ยววินาที และพอจังหวะที่จะหันมายกมือไหว้ผมด้วย ผมก็พยักหน้าให้ ยิ้มให้อิน ยิ้มส่งให้น้องไปเรียนไปตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง

 “อืม”

อินหันหลังไป จะเข้าเกตอยู่แล้ว


รู้อะไรไหมคุณ ผมโคตรอยากเข้าไปกระชากอินมันมากอดให้จมอกผมไปเลย มันตัวเล็กกว่าผม ถึงส่วนสูงจะต่างกันไม่เท่าไหร่แต่ก็ผอมกว่า บางกว่ามากอยู่ กล้ามผมก็คงเท่าแขนมันสองข้างล่ะ ฮึ 

แต่ทำได้ที่ไหนกันล่ะ ที่นี่มันที่ไหน รอบข้างจะมองอย่างไร แม้แฟน ๆ จะฟินกัน แต่หลังจากนั้น มันไม่สวยแน่


ผมจึงเก็บมันไว้ แค่กอดอินในใจก็พอ
ผมเคยกอดมัน ยังพอจำความนิ่มของตัวมันได้ ความหอมจากตัวอินที่ชอบใช้อะไรให้คนได้กลิ่นจากอินมันเคลิ้มเสมอ  แม้กระทั่งอุณหภูมิ ความอบอุ่นของอิน ผมยังจำได้...


เรื่องอะไรจะลืมล่ะ ไหนจะความน่ารักของรอยยิ้มของอิน
มันน่ารักจริง ๆ นะ อินน่ะ

ผมเลยรักมันไง


แล้วเจอกันใหม่นะ อิน  อีกไม่กี่เดือน พี่ก็จะได้พบอิน
พี่จะรอ


“หือ ?”


ผมที่กำลังออกมาจากสนามบิน หลังจากที่พูดคุยกับแฟนคลับของอินที่ยังไม่กลับ ร่วมถ่ายรูปกัน เมื่อปลีกตัวมาได้ ก็รู้สึกถึงความสั่นน้อย ๆ ที่มาจากโทรศัพท์ของผม


“ฮึ รู้ใจกันเกินไปแล้ว สาริน”


ไอ้เด็กตัวแสบที่อ่อนกว่าผมสามปีที่วนเวียนอยู่ในความคิดผมอยู่บ่อย ๆ ส่งข้อความก่อนขึ้นเครื่องบินลัดฟ้าข้ามประเทศไกลจากผม

น่าตีจริง ๆ


ผมอ่านข้อความนั้นของอินเสร็จ พูดกับตัวเองแล้วก็เก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนยิ้มร่าออกไป เหมือนคนบ้า ตอนนี้ผมทำได้ก็คงอยากไปดักกัปตันแล้วบอกว่าขอไอ้ตัวน่ารักที่ชื่อ สาริน รณเกียรติ มาให้ผมฟัดซักที แล้วจะปล่อยให้ไป


ไว้ทำตอนกลับมาก็ได้ จะฟัดให้เท่ากับความน่ารักที่มันมีเลย
แล้วก็คงมีอะไรอยากจะบอกมันด้วย
เพราะความรู้สึกของผมมันเริ่มชัดเจนขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกที่พองคับหัวใจของผม

อยากเป็นแฟนกับมันว่ะ ฮึ มันจะเล่นด้วยมั้ยนะ เฮ้อ

แต่ข้อความที่มันส่งมา ผมเข้าข้างตัวเองไปเลยแบบไม่ต้องคิดเผื่ออินว่าอินกับผมก็คงมีความรู้สึกบางอย่างที่ตรงกัน

ก็รู้ใจกันขนาดนี้นี่ 



ข้อความนั้นหรือ ? ผมเก็บมือถือไปแล้ว ไม่อ่านซ้ำหรอก 
เขินน่ะ





แต่ข้อความนั้นมันบ่งบอกว่า ผมกับอินมีความสัมพันธ์แบบ
 แค่มองตาผมที่สอดประสานกับมันเมื่อครู่ก่อนมันจะเดินเข้าเกต แค่ครู่เดียว มันก็รู้ว่าผมอยากกอดมันมากแค่ไหน




“รีบกลับมาล่ะ อิน “ ผมพูดกับตัวเอง แต่เอ่ยชื่ออีกคนที่คิดถึง




END






talk : โคตรชอบคู่นี้ โคตรดี โคตรงาม โคตรน่ารัก ขอให้ลงเอยกันได้มั้ยคู้นี้ ฮา555
แต่เป็นคู่ที่เคมีระดับอลังการเจ็ดล้านดาวจริง ๆ ค่ะ
ทีมตุลย์อินจงเจริญ


วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[Sfic] Strawberry 's Story to His Death #Ichirukia #อิจิลู




[SFic] : Strawberry 's Story to His Death
Paring : Kurosaki Ichigo to Kuchiki Rukia





Tell to his always DEATH from Soul
Wherever you are, You always in my heart and soul eternally





(รูปนี้จิ๊กมาจาก Bleach | Animated World เพจ หากมาที่มาอื่นโปรดแจ้งค่า )

ให้ได้ฟิลมากขึ้นต้องฟังเพลงนี้ 

                                                   ONE OK ROCK 

                                                  Wherever you are



************************************************************************


ผม 

คุโรซากิ อิจิโกะ

อายุ 27 ปี

กับโลกที่เปลี่ยนไป..ตามเวลา










“พ่อฮะ!


ผมหันไปตามเสียงใส เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใคร เป็นลูก ของผมเองที่วิ่งเล่นอยู่ตรงสนามหญ้าริมน้ำ โดยมีคุณแม่ของเขา ซึ่งเป็นภรรยาในปัจจุบันของผม

“อือ”
ผมส่งรอยยิ้มให้ภรรยาที่ยืนอยู่ใกล้โบกมือให้ผม ลูกโบกมือให้ โอริฮิเมะทอยิ้มให้ เธอที่เติบโตมาพร้อม ๆ กับผม ผมขอบคุณเธอที่ยังคงรักผมเสมอมา เธอบอกผมว่า เธอรักผมมานานมากเท่าที่จะรู้ใจตัวเองว่ารักใครเลย


เธอเป็นเพื่อนที่ร่วมฝ่าร้อนหนาวมาด้วยกัน เธอรักผมและผมก็แพ้ความดีของเธอ และทั้งหมดนั้นทำให้เรามาเป็นครอบครัว


ผมตอบแทนโอริฮิเมะด้วยทั้งหมดที่ผมจะทำได้ และผมขอบคุณเธอเสมอมา


แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โอริฮิเมะถามผม ในช่วงเวลาวันว่างสุดสัปดาห์ ผมที่เมื่อเผลอก็มักจะเหม่อไปบนฟ้า ไม่ว่าท้องฟ้านั้นจะสีอะไร จะมืด หรือสว่าง ผมก็มักจะมองทอดสายตาไปไกล มองท้องฟ้า แม้มันจะว่างเปล่าก็ตาม


ผมตอบคำถามนั้นของโอริฮิเมะไม่ได้ หรือไม่อยากตอบเธอ ผมก็ไม่แน่ใจ ผมได้แค่ยิ้มและบอกเธอว่า

“ขอโทษนะ”


กลับมาตอนนี้ ในขณะที่ลูกของผม และโอริฮิเมะกำลังพักผ่อนตรงสนามหญ้าริมน้ำอยู่นั้น (ผมเตือนพวกเขาอยู่เนือง ๆ ว่าให้พวกเขาระวัง ) ผมที่นั่งอยู่หลังพวกเขาไม่ไกลกันนัก ก็เผลอเหม่อมองท้องฟ้าอีกครั้ง


“เธอเองก็มีความสุขดีใช่มั้ย”


ผมถาม.. แต่ไม่ใช่ท้องฟ้า


แต่เป็นลูเคีย


ผมอยากถามคำถามนี้กับลูเคีย แม้เธอจะมาหาผมเป็นครั้งคราวค่อนไปทางถี่ มากับเร็นจิและลูกสาวของพวกเขา ยัยลูเคียน่ะไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ น่ะล่ะ เอาแต่เถียงผม เราสองคนมักจะตีกันจนทั้งเร็นจิกับโอริฮิเมะเหนื่อยจะห้ามกันแล้ว


เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่แรกที่เราเจอกัน



ครั้งแรกที่เราเจอเป็นอย่างไรนะ


เริ่มจากที่เธอมาช่วยครอบครัวผมจนเจ็บเจียนตาย จนเมื่อเธอมอบพลังยมทูตให้แก่ผม ผมกลายเป็นตัวแทนยมทูต นาม คุโรซากิ อิจิโกะ และออกปฎิบัติการแทนลูเคียในการกำจัดฮอลโลว์



เรื่องราวของพวกเราเริ่มจากตรงนั้นล่ะ


ผมพลางคิดไปไกล และวกกลับมาสู่คำถามว่า เธอคงมีความสุขดีใช่มั้ย



ผมไม่เคยถามแม้อยากถาม ลูเคียมาพร้อมรอยยิ้มเสมอ และผมทำได้แค่ยิ้มตอบกลับไปหายัยนั่น


และเมื่อเธอกลับไป

ผมมองไล่หลังเธอ


คุจิกิ ลูเคีย

เป็นคนที่เปลี่ยนโลกของผมไปทั้งใบ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะเธอ
เป็นคนที่ช่วยครอบครัวของผมไว้โดยไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมกังขาสงสัยในตัวเธอ
เป็นคนที่ผมอยากจะฟาดฟันดาบเป็นล้าน ๆ ครั้ง เพื่อเธอ
เป็นคนที่มอบความแข็งแกร่งและพลังแก่ผมจากทุกคำปลอบโยนของเธอ
เป็นคนที่แชร์ความผูกพันด้วยกัน ซึ่งพันธะนั้นไม่สามารถทำลายได้ ผมร่วมสร้างมันกับเธอ
เป็นดวงจันทร์สีขาวนวลและบริสุทธิ์ และผมก็เป็นดวงอาทิตย์ที่อันมืดมิดของเธอ
และเป็นคนที่ทำให้เวลาในโลกของผมเดินช้าลง เหมือนคล้ายกับว่าจะหยุดไปเสียเลยหากไม่มีเธอ


ลูเคียเป็นทั้งหมดนั้น


ทั้งหมดนั้นมันรวมเป็นคำว่าอะไร ผมเองก็ไม่อาจจะเอ่ย
แต่ทั้งหมดนั้นทำให้ผมคิดถึงเธอ
ตอนนี้ผมทำได้แค่แหงนหน้ามองท้องฟ้าในทุก ๆ ครั้ง
และพูดกับเธอในใจว่า หวังว่าเธอคงจะมีความสุขดี


ผมยิ้มให้กับตัวเอง ในขณะที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ในตอนนี้ แดดแรงนักเชียว

เพราะน้ำตาผมไหลลงมาหนึ่งหยดผ่านแก้มจรดปลายคาง ก็คงเพราะแดดในยามนี้ที่ทำเอาผมแสบตาจนน้ำตาไหล

ใช่มั้ยนะ



“ลูเคีย..”


ผมเผลอเอ่ยชื่อเธอออกมา
ผมในใจจริงแล้ว อยากร้องเรียกเธอให้เธอได้ยินกับหูตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
ผมที่อยากเจอเธอและอยากกอดและบอกเล่าความรู้สึกทั้งหมดของผมกับเธอมากมายนัก
ผมอยากทำทุกอย่างให้ยัยนั่นมีความสุข ทุกคืนผมคิด
คิดซ้ำว่า ทำไมผมถึงคิดถึงยัยนั่นทุกวัน


โอริฮิเมะเดินเข้ามาใกล้แล้ว พร้อมจูงลูกมาด้วย แต่โอริฮิเมะก็หยุดฝีเท้าลงและปล่อยให้เจ้าตัวเเสบไปนั่งลงใกล้ ๆ กับเธอ ก้มลงไปเล่นกับแมวที่เดินผ่านมา ส่วนโอริฮิเมะกำลังทอดสายตามองผมอยู่


ผมรู้ดีว่าแววตาของโอริฮิเมะนั้นหมายความว่าอย่างไร
เพราะผมเองก็ใช้แววตาคล้ายกันนั้นมองลูเคีย
แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกของผมถึงลูเคียมีนิยายคำ ๆ เดียวว่าอย่างไร
แต่ที่ผมได้บอกไปในทุก ๆ ประโยคนั่นล่ะ ลูเคียในใจผม


ผมมองเห็นโอริฮิเมะร้องไห้ ผมทำเธอร้องไห้อีกแล้ว ผมมันก็เป็นผู้ชายไม่ดีแบบนี้ ทำให้คนที่รักผมเป็นห่วงและกังวลเสมอ


หากแต่ว่าผมหยุดคิดเรื่องลูเคียไม่ได้จริง ๆ


“ยังคิดถึงอยู่เสมอสินะ..”



โอริฮิเมะถามผม ด้วยคำถามเดิม
ผมยิ้ม
และ
“ขอโทษนะ โอริฮิเมะ”


และผมก็เบนสายตาไม่อยากมองน้ำตาเธอ ผมไม่ดีพอที่จะเช็ดน้ำตาให้โอริฮิเมะเด้วยซ้ำ  เลยส่งแค่ผ้าเช็ดหน้าที่พกมาให้เธอซับน้ำตา


ขอโทษเธอจริง ๆ โอริฮิเมะ
ขอโทษที่ดูแลเธอได้เพียงแค่นี้
หัวใจของเธอ ฉันสามารถดูแลแค่เพียงผิวเผิน
โอริฮิเมะยิ้มน้อย ๆ กลางความเศร้าผ่านจากดวงตาของเธอและยิ้มให้ผม ราวกับเข้าใจทุกอย่าง
ว่าตลอดเวลาเสมอมา ผมมีใครในหัวใจ



“ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรเลย ฉันเข้าใจจ้า”


เธอตอบอย่างแสนดี คุณแม่ที่แสนดีของลูกที่กำเนิดมาจากเรา


ผมเสียต่างหากที่เป็นทั้งสามี และพ่อที่ไม่ดีเลย
ที่ทำภรรยาเสียใจแบบนี้



แต่ผมมันแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น



ผมไม่สัญญากับโอริฮิเมะเลยว่าจะไม่ทำให้เธอร้องไห้ ทำไม่ได้หรอก
หากผมยังมีใครในหัวใจ




ดวงจันทร์ที่บริสุทธิ์ของผมดวงนั้น
หญิงสาวตัวเล็กเพียงแค่อก เมื่อยามจะปกป้องใครซักคนเธอตวัดดาบอย่างไม่กลัวเกรง ดาบสีขาวเหมือนตัวตนของเธอ บริสุทธิ์ และเปี่ยมด้วยความเมตตาและอ่อนโยน
เมื่อจบภารกิจการปกป้อง ดวงตาที่สุกใสนั้นหันมา ผมจะมองเห็นความเป็นตัวตนของเธอผ่านดวงตาคู่นั้น

ผมยิ้มอีกครั้ง พลางถอนหายใจ



 มีคำหนึ่งอีกคำที่ผมบอกกับยัยนั่นเสมอ ขอบคุณนะ
ส่วนโอริฮิเมะนั้น..ผมทำได้เพียงแค่ขอโทษเธอ



ห้ามไม่ได้จริง ๆ  ผมยกมือกุมตรงอกตัวเอง ตำแหน่งของหัวใจของตัวเอง
ผมที่ห้ามใจมากตลอด  ห้ามไม่ให้คิดอะไรต่อเธอ เพราะเราก็ต่างอยู่กันคนละโลก
เราที่อยู่ต่างที่กันแบบนี้ จะอยู่ด้วยกันตลอดไปได้อย่างไร แค่คิดก็เจ็บปวดแล้ว
ผมจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยเธอไป และมองท้องฟ้า


ผมคิด

หากที่ไหนมองเห็นท้องฟ้า ไม่ว่าจะสว่างหรือมืด
ผมก็คิดถึงเสมอ
ไม่ว่าที่ไหน




คุจิกิ ลูเคีย










END  Death & Strawberry 

always be my OTP !

เรือล่ม ? ไม่มีหรอกค่ะไม่ล่มหรอก เราสตอรงกัน จะล่มได้ยังไง
เราเห็น ๆ กันเนอะ ว่าทั้งหมด 10 ปีที่ผ่านมามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
เราว่า อิจิลูทุกคนเข้าใจกันดี ว่าทั้งหมดนั้นคืออะไร
คู่นี้เป็นคู่ที่รักที่สุดในบรรดานอร์มอล จริงๆก็ทั้งหมทดจากมังงะที่ชีวิตที่เราอ่านมาเลยค่ะ 
แต่จบแบบนี้...เราเศร้าจากใจจริงที่สุดเลยค่ะ
แต่อย่างไรแล้ว เราก็มีคู่เมนของเรา อาจารย์จบอย่างไรก็เชิญค่ะ 555
เรารักอิจิลูเคีย เพียงแค่นั้น



วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[Fic] กิจการหลังบ้าน - หยางเฟิง :: ออเดอร์ที่ 6.1




TITLE : กิจการหลังบ้าน
Order No. : 6.1
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG


ps. มาแล้วค่า ฟิคในตำนาน ...นานมากที่ไม่ได้ลง 555 ฝากต่อด้วยนะคะ


 ********************************************

ไม่โอเคเลยกับการที่ต้องมาอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่ที่เคยมีกันอยู่ครบ มันก็ไม่เชิงว่าผมอยู่คนเดียวหรอกแต่ผมจะเข้าไปรบกวนเตี่ยกับปัวปัวในหลังบ้านไม่ได้

"ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเลยแฮะ"

ผมเพียงแค่ส่งข้าวปลาอาหารน้ำดื่มสำหรับยังชีพ หากไม่จำเป็น ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ย่างก้าวเข้าไปในนั้นเลย กลายเป็นว่า ทุกวันหลังจากที่เราทั้งหมดรักษาตัวจากโรงพยาบาลจนหายดีเเล้ว ก็กลับมาอยู่ที่บ้านกัน ผมเป็นผู้เดียวที่นั่งอยู่หน้าบ้าน หลังบ้านมีเตี่ยกับปัวปัว










แต่หลัง ๆ มานี้ ผมมีเพื่อนนั่งด้วยเเล้วล่ะ








"สวัสดีครับ คุณอี้เฟิง"
"ครับ ผู้กองหยางหยาง"


เขามาหาผมบ่อยขึ้น พ่วงกับความเป็นห่วงเป็นกอบเป็นกำมาให้ผมในรูปแบบของกินมากมาย ทั้งผมชอบและไม่ชอบ (ก็ยังเอามาให้เนอะ แต่ยังไงซะเขาก็ไม่รู้ว่าผมไม่ชอบนี่..)  และมานั่งอยู่กับผมตลอดเช้า หรือ ตลอดค่ำ ก็แล้วเเต่ว่างานของตำรวจจีนอย่างเขาจะเข้าช่วงไหน



แต่วันนี้ เหมือนเขาจะมีอะไรมาเล่าผม



"ผมไปถามสารวัตรฝู ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมเราถูกส่งไปที่นั่น แต่คำตอบก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ ก็เป็นคำสั่งจากเบื้องบน ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น " เขาโชว์ใบคำสั่งที่ลอบถ่ายมาจากแฟ้มงาน นี่ตานี่เอาเอกสารราชการมาให้ชาวบ้านตาดำ ๆ อย่างผมดู เดี๋ยวก็เสียงานกันหมด แต่ผมก็ไม่มีแรงอะไรจะไปว่าเขา เพราะผมก็ยังเหนื่อยอยู่

อ้อ ใช่ วันนี้ก็เหมือนอย่างเช่นวันก่อน เขาพกพี่ชายมาด้วย และ ปัวปัวก็ชวนตพี่ชายคุณผู้กองคนหล่อนี่ไปเดินเล่นซะเเล้ว ไม่ไหวเอาซะเลย ยัยปัวปัวนี่

ผมจะยังไม่บอกเขาเรื่องพี่ชาย ผมไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่า ไม่รู้เขาคิดอย่างไร ผมไม่ควรไปยุ่งย่ามกับเรื่องบ้านของเขา จนกว่าคุณรั่วไป๋จะบอกอะไร ผมควรจะปิดปากไว้ดีกว่า


"คุณคิดว่าไง คุณอี้เฟิง"
"เอ้า ถามผมหรือ? มันเป็นงานคุณหน่า"
"แต่เพราะว่า มันมีคำสั่งเลยนะว่า จะต้องเป็นพวกคุณช่วยเท่านั้น "
"ก็เพราะมีแค่พวกเราไงที่ปราบผีได้น่ะ คดีมันอาจจะเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ ตำรวจที่นี่ก็ใช้บริการเราบ่อยนะ ค่าจ้างงามด้วย ผมว่ามันไม่แปลกหรอกที่คำสั่งที่คุณว่ามันจะตรงมาที่บ้านของเรา"


ผมบอกเขาตามจริง ก็จริง ๆ นะ เพราะเราได้รับงานแบบนี้จากทางการอยู่เรื่อย ๆ ค่าจ้างงามกว่างานไหน ๆ เสียอีก แต่เราต้องห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เราช่วยตำรวจด้วยวิธีนี้ออกไป เพราะว่าจะทำให้ประชาชนหมดความเชื่อถือ จริง ๆ รัฐบาลเราก็ไม่เน้นให้เราเชื่อเรื่องผีสางกันอยู่เเล้ว แต่บังเอิญว่า เรื่องพวกนี้มันมีอยู่จริงน่ะซี่  รัฐบาลห้ามยังไงก็เห็นอยู่โท่ว่ามีผีอยู่น่ะ อย่างตอนนี้มีตาลุงที่ถูกแทงตายเมื่อเดือนก่อนแถว ๆ บ้านผม เดินมาขอส่วนบุญหน้าบ้านอีกแล้ว มาทุกวัน ผมโบกมือไล่ไปก่อน เพราะมีคุณหยางหยางเขาอยู่ ผมไม่รู้ว่าคุณผู้กองจะยังตกใจกับเรื่องที่เขาไม่เชื่อไม่คิดไม่ฝันอยู่หรือเปล่าเลยไม่อยากทำให้เขาตกใจ


"อืม..งั้นหรือ " เขากลับไปครุ่นคิดกับตัวเองอยู่นานพักหนึ่งแต่ดูเหมือนเขาจะยังสงสัยไม่เปลี่ยน แล้วกลับมาบอกผม ผมก็พยักหน้า ก้มลงกินขนมที่คุณผู้กองเขาซื้อมาฝาก ไม่นานผู้กองหยางหยางก็พลันหันกลับมามองหน้าผม มองนิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วก็ยิ้ม


"อะไรล่ะนั่น"
"ท่าทางคุณกินขนม.. มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ?"
"ของฟรีอร่อยหมดแหละ"


ไหนว่าจะไม่ยิงมุขไงอี้เฟิง นี่ขนาดเพิ่งผ่านเรื่องหนักหนามานะ ผมก็ยิ้มให้เขาแบบกวน ๆ ไป อีกฝ่ายดูพอใจกับคำตอบนะ เลยหยิบขนมมากินบ้าง นั่งกินไปด้วยมือหนึ่ง ปากพ่อผู้กองนี่ก็เคี้ยวไป มือหนึ่งก็ท้าวคาง ตานี่ก็มองผม


ทำตัวไม่ถูกเว้ย

“อะไรของคุณ"
"พ่อคุณบอกว่า ฝากดูแลคุณด้วย"
"ยังจำได้ ?"
"ไม่เคยลืมเลย"

ผมกับคุณผู้กองหยางหยางต่อประโยคกันไปมา จนมาหยุดอยู่ตรงนั้น ผมกลับวูบโหวงในใจเพราะคำตอบของเขา เหมือนกับว่าคำพูดนี้มันโดนใจผมจัง ๆ เหมือนความรู้สึกน่าอาย


แบบคนตกหลุมรัก


ไม่หรอก ไม่น่าจะใช่มั้ง  แต่คำพูดนั้นของผู้กองหยางหยางสะกิดใจผมจัง ๆ ผมยิ้มแฮะๆให้เขา และระคนกับความรู้สึกงงงวย ไม่เข้าใจ สงสัย ทั้งในตัวเขาและผมเอง

"ไม่เคยลืมเลย ? ทำไมล่ะ ทำไมต้องจริงจังกับคำสั่งเตี่ยขนาดนั้น"



เพราะเขาใช้สายตาคมกริบ บวกกับความบุคลิคขรึมตามนิสัยคุณเขา แม้ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาจะเจือยิ้มน้อย ๆ หล่อ ๆ ก็ตาม ทั้งหมดนั่นทำให้ผมว้าวุ่นใจ ทำอะไรไม่ถูก อะไรวะ

"มันจะดูแปลก ๆ ไปมั้ย ถ้าผมจะบอกคุณว่า หัวใจของผมมาเรียกร้องให้ผมทำ"
"แหวะ"

ผมแทบจะบ้วนขนมในปากที่มาจากคุณผู้กองนี่ใส่หน้าหล่อๆ นั่น เขาพูดจบเเล้ว ผมก็คิดจะเงยหน้าไปมอง หวังว่าจะเห็นรอยยิ้มแกล้มความทะเล้น แต่เปล่าเลย

"เอ่อ.."

ความจริงจังจากสายตาเขา มันยิ่งกว่าประโยคก่อนหน้าที่เขาพูด ผมนี่งงไปหมดเลย เหมือนการดูแลผมจะเป็นงานที่สำคัญยิ่งกว่างานตำรวจของเขาอีก

"ให้ผมได้ทำเถอะ ไม่งั้น ผมคงรู้สึกว่าผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากมองดูคุณร้องไห้ต่อหน้าผมอีก ผมไม่ชอบเวลาคุณร้องไห้จนจะขาดใจแบบนั้น ยิ่งพ่อคุณ ..เพื่อลูกอีกคนที่ต้องรอด ..ผมคิดว่าผมเข้าใจว่าทำไมพ่อคุณถึงพูดแบบนั้น"

นี่เป็นเหตุผลอย่างนั้นหรือ ? ที่เขาอยากจะทำมัน เพราะเหตุผลนี้หรือ ?
"อย่างนั้นหรือ  แต่คุณพูดเหมือนกันเราเคยมีอะไรต่อกัน ผู้กองหยางหยาง"


คุณผู้กองหยางหยางยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก็ยังเป็นยิ้มที่ดูดีสมกับหน้าของเขา ไม่ยิ้มเห็นฟัน แค่ปรายยิ้มบาง ๆ ก็สะกดใจเเล้ว


"เปล่าเลย " เขาส่ายหน้า ปากยังคงจุดยิ้มเช่นเดิม ก่อนหยุดมองตาผม
"หืม ?"
" เพียงแค่ผมจะต้องปกป้องคุณก็เท่านั้น ได้โปรด เชื่อใจผมเถอะ ผมมันมีแค่นี้ ต่อคุณจริง ๆ "


ผมก็เชื่อคำพูดลม ๆ แล้ง ๆ ของคุณผู้กองนี่เสียสนิท โดยยืนยันจากซากถึงขนมที่คุณผู้กองหยางหยางหิ้วมาให้ ขนมทั้งหมดมันหายเกลี้ยงไปอยู่ในท้องของผมหมดเเล้ว คุณผู้กองยังกินไม่ทันผมซักชิ้นเดียว ได้แต่เพียงจุดยิ้มและมองผมด้วยสายตาราวกับจะบอกบางอย่างแต่ยังไม่ถึงเวลา..ก็เท่านั้น


“อืม..”
ผู้กองหยางหยางเหมือนอยากจะเอ่ยบางคำ


“ผมแค่อยากตอบแทน กอดนั้นของคุณด้วย มันอุ่นมากจริง ๆ ผมบอกตามตรง ในป่านั้น มันเหมือนจะฆ่าผมได้ แต่คุณอยู่ตรงนั้น ...“


อ่อ...

“ผมเลยกลับมาเพื่ออยู่ปกป้องคุณตรงนี้ได้ ฮึ คุณมันน่าดูแลน้อยซะที่ไหน



“ฮึ”  ผมก็พ่นลมออกจมูกพูดอุทาน ฮึ ใส่เขาด้วย 


แหม ผมว่าเขาเข้าใจพูดนะ  ผมมองหน้าเขาครู่หนึ่ง แต่ก็ต้องเสหลบตาเขา เพราะดวงตาเขาไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ  






********************** 

talk มาทั้งที ไม่มีอะไรเลยเนอะะ ไว้เจอกันตอน 6.2 นะคะ