ผมมาที่ทะเลที่เราสองคนเคยแอบโดดงานมาด้วยกัน
ที่นี่เงียบสงบมาก ๆ
ยามค่ำคืนแทบไม่มีใครเลยล่ะ เงียบสงบ เสียจนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
ที่ร้องไห้และสับสนกับเรื่องราวความรักที่ผมไม่อาจหักห้ามใจ
แม้จะค้านกับเสียงทุกเสียงจากทุกคน
แม้แต่ผมก็ค้านด้วย ความรักที่ไม่รักดีนี้
ผมไปรักคนที่ไม่น่าจะรักเขาได้
ในที่สุดจากที่ผมเคยเดินนำเขา เขาไล่ตามผมาแท้ ๆ
แต่เขากลับวิ่งแซงผมไปเสียไกล หลังของเขาคนนั้นที่มองเห็นอยู่ไกลลับตา
แทบมองไม่เห็นเลย เราห่างไกลกันเหลือเกิน มือก็คว้ากันไม่ได้
ผมไม่อยากเห็นเขาหันหลังให้ผมแบบนั้น
พอเขายิ่งห่างไป ยิ่งไกล ช่องว่างระหว่างเราก็ยิ่งมากขึ้น เสียงผมอาจจะไปไม่ถึงหยางหยาง
ผมเรียกไอบ้าช่องว่างนั่นว่า สุญญากาศ
“นายได้ยินฉันมั้ย หยางหยาง ว่าเราต่างก็ห่างไกลกัน
ตอนนี้นายแซงหน้าฉันไป นายทำให้ฉันคิดถึงมากขนาดนี้ “
ผมบ่น เรียกร้องหาเขาอีกแล้ว เมื่อครู่ก่อนหน้า
ผมตะโกนใส่ทะเลไปหนึ่งครั้ง
เรียกชื่อเขาและน้ำตาผมก็ไหลรินออกมาจากตาของผมทั้งสองข้าง
จากเป็นหยดกลายเป็ผมอาบน้ำตาให้แก้มตัวเอง
ผมรักเขามากขนาดนี้ แต่เขากลับเดินนำผมไปไกล
จากที่เขาไล่ตามเพื่อคว้าความรักของผม แต่ตอนนี้น่ะหรือ ?
ผมเสียเองที่ไล่ตามความอบอุ่นจากรักของเขา
หลังจากวันนี้ ผมจะได้พบเขาอีกหรือเปล่าไม่รู้
ไอบ้าสุญญากาศเอ๊ย บางทีนายอาจจะทไใ้ฉันกับหยางหยางทะเลาะกันนานขึ้นนะ เห๊อะ!
“ฉันคิดถึงนาย ..หยางหยาง”
เขาชอบตัดพ้อ เหมือนผมไม่มีหัวใจทั้งที่หัวใจของผมก็อยู่ที่เขานั่นล่ะ
ทำไมเขาทำแบบนั้น
ก็อาจเป็นเพราะผมแสดงรักของผมต่อเขาไม่มากพอ
นั่นเป็นความผิดของผมเองที่ไม่สามารถทำให้เขามองเห็นถึงความรักของผมได้
ผมรักเขาสุดที่หัวใจดวงหนึ่งจะรักใครได้ หลี่อี้เฟิงคนนั้น
ทำให้ผมเป็นบ้าแทบตาย
ผมรักเขา รักมากที่สุดด้วย คำธรรมดาของผมนี่ล่ะ ที่พร่ำบอกตลอดเวลา
แต่บางทีเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยินผม เขาแทบไม่ตอบอะไรกลับมา แล้วทำไมเขาถึงมาตัดพ้อผมด้วยสีหน้าและอาการแบบนั้นล่ะ
ก็เพราะหลี่อี้เฟิงคนนั้นทั้งปากหนักและไม่ตรงกับใจ
เขาคิดว่าผมไม่รักเขา
ผมดังขึ้น ? ใช่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราทะเลาะกันเรื่องนี้
ผมมีงานเข้ามา มีภาระมากขึ้น เราห่างกันมากขึ้น ไม่มีเวลาให้กันเหมือนเมื่อก่อน
ยิ่งห่างไกล เขาก็ตัดพ้อออกมาทันทีว่าผมห่างเขาเกินไป
ผมแซงเขาไปไหนต่อ จะบ้าหรือไง หลี่อี้เฟิง คุณน่ะ
อย่างไรก็เป็นดาวที่สะท้อนบนท้องฟ้าเพียงผู้เดียว
ทำแค่เสมือนดาวไม่มีทางเทียบดวงดาวตัวจริงแบบเขาเลย
แต่เขาคิดไปมากมาย สารตะไปเรื่อย
แต่ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะแก้ตัวสำหรับเรื่อง
จึงได้แค่มาบ่นใส่ทะเลที่เงียบสงบที่แทบไม่มีเสียงคลื่นตอบโต้
“ผมอยากให้คุณเข้าใจ คุณดวงดาวของผมเสมอนะ อี้เฟิง”
ว่าแต่เขาปากหนัก ผมเองก็เป็นผู้ชายประเภทกลั่นคำพูดดี ๆ ไม่เป็น
กลัวเขาจะคิดมาก
เรื่องราวจึงกลายเป็นแบบนี้ เราไม่เข้าใจกัน ค้างคากันมานาน
ปล่อยให้มันเป็นช่องว่าง คล้าย สุญญากาศ ที่ว่างเปล่าไม่มีใครเข้าไปตรงพื้นที่นี้
ทั้งผมและอี้เฟิงเราจึงทำได้เพียงเว้นช่องว่างนั้นไว้
ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำให้สุญญากาศนั้นมันหายไป
หืม?!
บางทีผมอาจจะคิดถึงอี้เฟิงมากไป
เพราะเหมือนผมจะได้ยืนเสียงของคนรักร้องเรียกผมเมื่อครู่ก่อนหน้าไม่กี่วินาที
“หยางหยางงงงงงงงงงงงงงง ไอบ้าเอ๊ยยยยยยยยยยย”
มีคำด่าตามหลังมา.. ในระยะใกล้ ๆ แบบนี้
“อี้เฟิง!”
ผมหันไปหาเสียงนั้นอย่างจริงจัง หลี่อี้เฟิงอยู่ตรงนั้น
ริมหาดที่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่
“หยางหยาง....”
เขามาทำอะไรตรงนี้..วะเนี่ย? ผมคิด
ตอนแรกคิดว่าผีหลอกเข้าให้แล้วหรือคิดถึงไอบ้าหยางหยางมากจนสมองเพี้ยนแต่ผมเห็นเขาจริง
ๆ หมอนั่นก็ยืนตะลึงงันแบบที่ผมเป็น ทำท่าเหมือนแคะหูด้วย แหงล่ะ
ผมเพิ่งด่าเขาไปตะกี้ว่า ไอบ้าเอ๊ย ก็เพราะว่าเขาเป้นแบบนั้นจริง ๆ ทำให้ผมคนนี้ต้องวุ่นวายใจ
ถึงขั้นต้องหนีงานมาทำใจที่ทะเลไกลขนาดที่กลับไปทำงานอีกครั้งต้องโดนด่าแบบเช็ดทุดคำ
หมอนั่นเดินมาแล้ว..ตรงมาหาผม หน้าดุด้วย ...ยังไงดีวะ ผมกับเขา
ความรู้สึกและหลาย ๆ อย่างมันยังเป็นสุญญากาศอยู่เลย
ยังไม่พร้อมจะเจอหยางหยางตอนนี้
ผม..แต่..ผมน่ะ
“อ๊ะ!”
ผมกอดอี้เฟิงเข้าเต็มรัก เต็มอ้อมกอด ตอนแรกอี้เฟิงก็ตกใจออกแรงดิ้น
แต่เมื่อผมหอมแก้มเขาซะฟอดให้หายคิดถึง เขาก็อ่อนลง
และออดอ้อนขึ้นด้วยการแสดงท่าแมวเหมียวเอาคางมาเกยตรงไหล่ผม แต่วันนี้เขาบวกกับแรงสะอื้นและน้ำตาหยดสวยที่ทำให้ผมแทบเป็นบ้าเพราะทำให้อี้เฟิงร้องไห้
ผมกอดปลอบร่างนุ่มนิ่มให้แนบแน่นขึ้น
ให้เขาร้องไห้ให้พอและผมสัญญาว่าเมื่อคนรักหน้าแมวของผมหยุดร้อง
ผมก็จะทำให้สุญญากาศระหว่างเราหายไป
ด้วยคำว่า ผมรักคุณ ให้เท่ากับจำนวนดาวบนท้องฟ้าในวันนี้
“ผมรักคุณ”
หลังจากผมหยุดร้องไห้หนัก
ตรงบ่าของหยางหยางเปียกน้ำตาน้ำมูกผมเต็มไปหมด เขาหัวเราะเบา ๆ
ออกมาให้ผมสะท้านหัวใจกับเสียงทุ้ม ๆ ของเขา และบอกคำที่ผมฟังจนเบื่อ
แต่ก็อยากฟังอีกเรื่อย ๆ
“ผมรักคุณ อี้เฟิง รักคุณมากนะ”
เป็นคำที่โคตรธรรมดา แต่มันก็บอกได้ว่า
สุญญากาศระหว่างเรามันหมดไปแล้ว
คำอธิบายอะไรนั่น ก็คงไม่เป็นไรแล้ว
คำอธิบายที่ว่าทำให้ผมมายืนด่าเขาที่ทะเล
ทำผมถึงรู้สึกว่าเขาห่างไกลและไล่หลังเขาไม่ทัน เราดูไม่ใกล้กันเท่าเมื่อก่อน
หยางหยางตอบผมด้วยการ ที่เขามายืนเป้นผีทะเลกลางคืนมืด ๆ ดึก ๆ
ในตอนนี้ พร้อมผม และที่เดียวกับผม
หยางหยางตอบผมด้วยการเดินเข้ามาโดยไม่มีการหยุดจังหวะเท้า
และสวมกอดผมอย่างแนบแน่นทำให้ความอบอุ่นแบบอย่างเดิมเจ้าเก่าที่ผมรักและใฝ่หามาตลอดที่ห่างไป
กอดแบบนี้ล่ะ ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร
และหยางหยางย้ำคำตอบกับผมอีกครั้งให้ผมมั่นใจ ด้วยคำว่า ผมรักคุณ สั้น
ๆ แต่น้ำเสียงหวานหูและบาดหัวใจ
มันมาพร้อมความรู้สึกที่ทั้งผมและหยางหยางต่างอยากให้อีกฝ่ายรับรู้และรู้มันด้วยใจ
แค่นี้ล่ะ ผมทั้งสองคนเป้นพวกไม่ชอบพูดมาก เพราะอีกคนหยางหยางก็พูดน้อยไม่กล้าพูด
ส่วนผมก็ปากหนักไม่อยากพูด
เรามันก็เป็นแซะแบบนี้ สุญญากาศก็เลยเกิดขึ้นบ่อย ๆ
เหมือนกับฝนตกในฤดูร้อน
แต่สุญญากาศครั้งล่าสุดของเราตอนนี้หายไปแล้ว
ด้วยกอดของหยางหยางและคำบอกรัก
ผมต้องขอบคุณเขาบ้างล่ะ
“ฉันคิดถึงนาย หยางหยาง”
เขาที่ยังกอดผมอยู่
คลายมือออกมาหนึ่งข้างและยกลูบกลุ่มผมของผมและหัวเราะกลั้วทั้งพูดไปด้วยว่า “คุณนี่มันปากหนักเหลือเกิน”
ก็เพราะว่าเขาหวานเกินไปน่ะสิ คำบอกรักน่ะ
ให้หยางหยางพูดแทนผมก็หวานพอแล้ว
--------------------END -สุญญากาศ + SPACE ------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น