วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

[SF] สุญญากาศ + SPACE ---- หยางเฟิง












ผมมาที่ทะเลที่เราสองคนเคยแอบโดดงานมาด้วยกัน



ที่นี่เงียบสงบมาก ๆ  ยามค่ำคืนแทบไม่มีใครเลยล่ะ เงียบสงบ เสียจนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
ที่ร้องไห้และสับสนกับเรื่องราวความรักที่ผมไม่อาจหักห้ามใจ แม้จะค้านกับเสียงทุกเสียงจากทุกคน
แม้แต่ผมก็ค้านด้วย ความรักที่ไม่รักดีนี้
ผมไปรักคนที่ไม่น่าจะรักเขาได้
ในที่สุดจากที่ผมเคยเดินนำเขา เขาไล่ตามผมาแท้ ๆ แต่เขากลับวิ่งแซงผมไปเสียไกล หลังของเขาคนนั้นที่มองเห็นอยู่ไกลลับตา แทบมองไม่เห็นเลย เราห่างไกลกันเหลือเกิน มือก็คว้ากันไม่ได้ ผมไม่อยากเห็นเขาหันหลังให้ผมแบบนั้น


พอเขายิ่งห่างไป ยิ่งไกล ช่องว่างระหว่างเราก็ยิ่งมากขึ้น เสียงผมอาจจะไปไม่ถึงหยางหยาง
ผมเรียกไอบ้าช่องว่างนั่นว่า สุญญากาศ


“นายได้ยินฉันมั้ย หยางหยาง ว่าเราต่างก็ห่างไกลกัน ตอนนี้นายแซงหน้าฉันไป นายทำให้ฉันคิดถึงมากขนาดนี้ “



ผมบ่น เรียกร้องหาเขาอีกแล้ว เมื่อครู่ก่อนหน้า ผมตะโกนใส่ทะเลไปหนึ่งครั้ง เรียกชื่อเขาและน้ำตาผมก็ไหลรินออกมาจากตาของผมทั้งสองข้าง จากเป็นหยดกลายเป็ผมอาบน้ำตาให้แก้มตัวเอง


ผมรักเขามากขนาดนี้ แต่เขากลับเดินนำผมไปไกล
จากที่เขาไล่ตามเพื่อคว้าความรักของผม แต่ตอนนี้น่ะหรือ ? ผมเสียเองที่ไล่ตามความอบอุ่นจากรักของเขา



หลังจากวันนี้ ผมจะได้พบเขาอีกหรือเปล่าไม่รู้

ไอบ้าสุญญากาศเอ๊ย บางทีนายอาจจะทไใ้ฉันกับหยางหยางทะเลาะกันนานขึ้นนะ เห๊อะ!



“ฉันคิดถึงนาย ..หยางหยาง”














เขาชอบตัดพ้อ เหมือนผมไม่มีหัวใจทั้งที่หัวใจของผมก็อยู่ที่เขานั่นล่ะ
ทำไมเขาทำแบบนั้น
ก็อาจเป็นเพราะผมแสดงรักของผมต่อเขาไม่มากพอ นั่นเป็นความผิดของผมเองที่ไม่สามารถทำให้เขามองเห็นถึงความรักของผมได้

ผมรักเขาสุดที่หัวใจดวงหนึ่งจะรักใครได้ หลี่อี้เฟิงคนนั้น ทำให้ผมเป็นบ้าแทบตาย
ผมรักเขา รักมากที่สุดด้วย คำธรรมดาของผมนี่ล่ะ ที่พร่ำบอกตลอดเวลา แต่บางทีเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยินผม เขาแทบไม่ตอบอะไรกลับมา แล้วทำไมเขาถึงมาตัดพ้อผมด้วยสีหน้าและอาการแบบนั้นล่ะ ก็เพราะหลี่อี้เฟิงคนนั้นทั้งปากหนักและไม่ตรงกับใจ


เขาคิดว่าผมไม่รักเขา
ผมดังขึ้น ? ใช่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราทะเลาะกันเรื่องนี้ ผมมีงานเข้ามา มีภาระมากขึ้น เราห่างกันมากขึ้น ไม่มีเวลาให้กันเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งห่างไกล เขาก็ตัดพ้อออกมาทันทีว่าผมห่างเขาเกินไป
ผมแซงเขาไปไหนต่อ จะบ้าหรือไง หลี่อี้เฟิง คุณน่ะ อย่างไรก็เป็นดาวที่สะท้อนบนท้องฟ้าเพียงผู้เดียว ทำแค่เสมือนดาวไม่มีทางเทียบดวงดาวตัวจริงแบบเขาเลย
แต่เขาคิดไปมากมาย สารตะไปเรื่อย
แต่ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะแก้ตัวสำหรับเรื่อง
จึงได้แค่มาบ่นใส่ทะเลที่เงียบสงบที่แทบไม่มีเสียงคลื่นตอบโต้
“ผมอยากให้คุณเข้าใจ คุณดวงดาวของผมเสมอนะ อี้เฟิง”
ว่าแต่เขาปากหนัก ผมเองก็เป็นผู้ชายประเภทกลั่นคำพูดดี ๆ ไม่เป็น กลัวเขาจะคิดมาก


เรื่องราวจึงกลายเป็นแบบนี้ เราไม่เข้าใจกัน ค้างคากันมานาน ปล่อยให้มันเป็นช่องว่าง คล้าย สุญญากาศ ที่ว่างเปล่าไม่มีใครเข้าไปตรงพื้นที่นี้ ทั้งผมและอี้เฟิงเราจึงทำได้เพียงเว้นช่องว่างนั้นไว้

ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำให้สุญญากาศนั้นมันหายไป










หืม?!


บางทีผมอาจจะคิดถึงอี้เฟิงมากไป เพราะเหมือนผมจะได้ยืนเสียงของคนรักร้องเรียกผมเมื่อครู่ก่อนหน้าไม่กี่วินาที






“หยางหยางงงงงงงงงงงงงงง ไอบ้าเอ๊ยยยยยยยยยยย”





มีคำด่าตามหลังมา.. ในระยะใกล้ ๆ แบบนี้



“อี้เฟิง!




ผมหันไปหาเสียงนั้นอย่างจริงจัง หลี่อี้เฟิงอยู่ตรงนั้น ริมหาดที่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่











“หยางหยาง....”



เขามาทำอะไรตรงนี้..วะเนี่ย? ผมคิด ตอนแรกคิดว่าผีหลอกเข้าให้แล้วหรือคิดถึงไอบ้าหยางหยางมากจนสมองเพี้ยนแต่ผมเห็นเขาจริง ๆ หมอนั่นก็ยืนตะลึงงันแบบที่ผมเป็น ทำท่าเหมือนแคะหูด้วย แหงล่ะ ผมเพิ่งด่าเขาไปตะกี้ว่า ไอบ้าเอ๊ย ก็เพราะว่าเขาเป้นแบบนั้นจริง ๆ ทำให้ผมคนนี้ต้องวุ่นวายใจ ถึงขั้นต้องหนีงานมาทำใจที่ทะเลไกลขนาดที่กลับไปทำงานอีกครั้งต้องโดนด่าแบบเช็ดทุดคำ


หมอนั่นเดินมาแล้ว..ตรงมาหาผม หน้าดุด้วย ...ยังไงดีวะ ผมกับเขา ความรู้สึกและหลาย ๆ อย่างมันยังเป็นสุญญากาศอยู่เลย


ยังไม่พร้อมจะเจอหยางหยางตอนนี้

ผม..แต่..ผมน่ะ




“อ๊ะ!











ผมกอดอี้เฟิงเข้าเต็มรัก เต็มอ้อมกอด ตอนแรกอี้เฟิงก็ตกใจออกแรงดิ้น แต่เมื่อผมหอมแก้มเขาซะฟอดให้หายคิดถึง เขาก็อ่อนลง และออดอ้อนขึ้นด้วยการแสดงท่าแมวเหมียวเอาคางมาเกยตรงไหล่ผม แต่วันนี้เขาบวกกับแรงสะอื้นและน้ำตาหยดสวยที่ทำให้ผมแทบเป็นบ้าเพราะทำให้อี้เฟิงร้องไห้ ผมกอดปลอบร่างนุ่มนิ่มให้แนบแน่นขึ้น ให้เขาร้องไห้ให้พอและผมสัญญาว่าเมื่อคนรักหน้าแมวของผมหยุดร้อง ผมก็จะทำให้สุญญากาศระหว่างเราหายไป



ด้วยคำว่า ผมรักคุณ ให้เท่ากับจำนวนดาวบนท้องฟ้าในวันนี้













“ผมรักคุณ”




หลังจากผมหยุดร้องไห้หนัก ตรงบ่าของหยางหยางเปียกน้ำตาน้ำมูกผมเต็มไปหมด เขาหัวเราะเบา ๆ ออกมาให้ผมสะท้านหัวใจกับเสียงทุ้ม ๆ ของเขา และบอกคำที่ผมฟังจนเบื่อ แต่ก็อยากฟังอีกเรื่อย ๆ



“ผมรักคุณ อี้เฟิง รักคุณมากนะ”



เป็นคำที่โคตรธรรมดา แต่มันก็บอกได้ว่า สุญญากาศระหว่างเรามันหมดไปแล้ว


คำอธิบายอะไรนั่น ก็คงไม่เป็นไรแล้ว
คำอธิบายที่ว่าทำให้ผมมายืนด่าเขาที่ทะเล ทำผมถึงรู้สึกว่าเขาห่างไกลและไล่หลังเขาไม่ทัน เราดูไม่ใกล้กันเท่าเมื่อก่อน


หยางหยางตอบผมด้วยการ ที่เขามายืนเป้นผีทะเลกลางคืนมืด ๆ ดึก ๆ ในตอนนี้ พร้อมผม และที่เดียวกับผม
หยางหยางตอบผมด้วยการเดินเข้ามาโดยไม่มีการหยุดจังหวะเท้า และสวมกอดผมอย่างแนบแน่นทำให้ความอบอุ่นแบบอย่างเดิมเจ้าเก่าที่ผมรักและใฝ่หามาตลอดที่ห่างไป กอดแบบนี้ล่ะ ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร
และหยางหยางย้ำคำตอบกับผมอีกครั้งให้ผมมั่นใจ ด้วยคำว่า ผมรักคุณ สั้น ๆ แต่น้ำเสียงหวานหูและบาดหัวใจ มันมาพร้อมความรู้สึกที่ทั้งผมและหยางหยางต่างอยากให้อีกฝ่ายรับรู้และรู้มันด้วยใจ


แค่นี้ล่ะ ผมทั้งสองคนเป้นพวกไม่ชอบพูดมาก เพราะอีกคนหยางหยางก็พูดน้อยไม่กล้าพูด ส่วนผมก็ปากหนักไม่อยากพูด


เรามันก็เป็นแซะแบบนี้ สุญญากาศก็เลยเกิดขึ้นบ่อย ๆ เหมือนกับฝนตกในฤดูร้อน




แต่สุญญากาศครั้งล่าสุดของเราตอนนี้หายไปแล้ว


ด้วยกอดของหยางหยางและคำบอกรัก


ผมต้องขอบคุณเขาบ้างล่ะ


“ฉันคิดถึงนาย หยางหยาง”







เขาที่ยังกอดผมอยู่ คลายมือออกมาหนึ่งข้างและยกลูบกลุ่มผมของผมและหัวเราะกลั้วทั้งพูดไปด้วยว่า “คุณนี่มันปากหนักเหลือเกิน”
  
ก็เพราะว่าเขาหวานเกินไปน่ะสิ คำบอกรักน่ะ ให้หยางหยางพูดแทนผมก็หวานพอแล้ว







--------------------END -สุญญากาศ + SPACE ------------



วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

PROJECT SWEET :: [SF] Sweet Disease - หยางเฟิง feat ฮุนฮาน













 “อี้เฟิง เขามาอีกแล้วแหน่ะ”



ผมหันไปหาเพื่อนก่อนแยกเขี้ยวใส่มันอีกสองสามครั้ง พอให้รู้ว่า ตรูดุนะเฟ้ย แล้วก็หันไปตามทางที่เพื่อนพยักพเยิดไป ลูกค้าของผมเข้ามาในร้าน เป็นลูกค้าที่ไม่รู้จักเบื่อ และขยันมาจริง ๆ


ขยันป่วยด้วย ครับ ก็นี่มันร้านขายยา 



“สวัสดีครับ คุณเภสัชอี้เฟิง”
“ครับ ไม่ทราบว่าวันนี้คุณต้องการยาอะไรดีครับ”
“วันนี้ตัดโมแล้วโดนบาดมา ขอยาทาและอุปกรณ์ทำแผลหน่อยคร๊าบ”
“ทราบแล้วครับ”


ครับ พอเขาเข้ามา ร้านขายยาที่ผมและเพื่อนอีกคนลู่หานเป็นเภสัชกรฝึกงานประจำร้านก็เต็มไปด้วย สาว ๆ มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม ก็มหาวิทยาลัยเดียวกันกับคุณคนนี้ที่ขยันป่วยด้วย แน่นอน ผมรู้จักเขาอยู่แล้วล่ะ


เขาชื่อ หยางหยาง สุดหล่อประจำสถาปัตย์ เดือนมหาวิทยาลัยที่เลื่องลือระบือไกลว่า สิบปีจะมีหล่อล้ำค้ำสวรรค์แบบนี้ส่งมาเป็นเด็กในมหาวิทยาลัย (อันนี้รุ่นเขาก็ว่า ๆ กันไป)

“คุณอี้เฟิง”
“ครับ “


ในระหว่างที่ผมเตรียมของที่เขาต้องการ เขาเรียกผมให้ตอบรับเขา รู้อยู่แล้วล่ะว่าเขามองอยู่ แต่ผมจะไม่หันไปคุย และตกหลุมพรางเขาอีกแล้ว หมอนี่มันร้าย


“วันนี้ก็น่ารักอีกแล้ว”



เฮอ นี่ล่ะครับ ผมถึงได้บอกว่าหมอนี่มันร้าย เขารุ่นเดียวกันกับผม แต่เหมือนได้ยินเขาว่ากันว่าหยางหยางมาจากต่างประเทศเลยเรียนช้ากว่าคนทีประเทศเรา เข้ามหาวิทยาลัยช้าไปปี แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค์ของเขา หมอนี่เรียนเก่ง งานเขาก็ล้ำอย่าบอกใคร หล่ออีก กีฬาก็ดี ได้ข่าวว่าเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยด้วย ตอนอยู่นอกก็โคตรป๊อบ อา.. เทียบไม่ติด ผม หลี่อี้เฟิงแค่นักเรียนทุนมหาวิทยาลัยที่สอบติดเข้ามาเรียนคณะที่ใฝ่ฝัน เภสัชกรที่แจกจ่ายยาให้ผู้ป่วย เป็นอาชีพอีกอย่างที่ช่วยเพื่อนมนุษย์ เกรดไม่ได้ดีแต่ก็เรียนพอไปได้


เอ่อ.. เยอะไป
กลับไปที่ความร้ายกาจของนายหยางหยาง


“คุณอี้เฟิง ที่จริงถ้าคุณทำแผลให้—“
“ผมต้องทำงาน”
“ว้า แต่ไม่เป็นไรครับ แค่คุณจ่ายยาแค่นี้ก็พอใจแล้ว”



ผมไม่พูดอะไรต่อ ก็ปล่อยให้เขามองผมและยิ้มต่อไป หมอนี่ต้องบ้าแน่ ๆ มองคนหน้าบึ้งบูดใส่แล้วยิ้ม


เฮ้อ
                                                                     
และวันนี้ก็ไม่พ้นประโยคพิเศษสุดที่เขามักจะบอกย้ำอยู่เสมอว่า การมาที่ร้านขายยาที่ผมเป็นเภสัชกรฝึกงานอยู่ มาเพื่อจุดประสงค์อะไร
“วันนี้การจีบของผม คืบหน้าบ้างมั้ย ? ”


ผมเบะปากใส่ไม่ตอบเขา หยางหยางก็หน้างอ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแสดงความรู้สึกแบบไหนก็ดูดี เห็นแล้วหมั่นไส้ พอทำหน้าตาน่าสงสารใส่ เขาก็กลับมายิ้ม ผมส่งสินค้าที่เขาต้องการ ยาที่ผมจัดให้ไปจนครบ แลกกับเงินที่เขาชำระค่าของทั้งหมด เขาก็หอบของใส่วงแขนตัวเอง ก่อนไปก็ยิ้มส่งมาให้ และบอกส่งตรงมาให้ผมประโยคหนึ่ง



“ผมยังไม่ละความพยายามนะคุณอี้เฟิง ผมจะจีบคุณให้มาเป็นแฟนผม”




เขาบอกว่างั้นนั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจ บางอย่างที่ผมบอก หยางหยางมาร้านขายยาที่ผมประจำอยู่ทุกวัน เพื่อจีบผม



เฮ้อ





เขาหาเรื่องเจ็บป่วย ต้องการยาหรืออื่น ๆ ในร้านที่มีทุกวัน ไม่เขาเองก็จะอ้างเพื่อนมา มาวันละสองสามรอบ ทอปฟอร์มสุดคือห้ารอบ อ้างเพื่อนไม่สบาย แม่ปวดเข่า พ่อเจ็บส้นเท้า ไปกันใหญ่โต บางทีผมก็ขำกับบางเหตุผลที่เขาอ้างมา มาได้ทุกวัน ไม่มีไปส่งงงส่งงานบ้างเรอะ สถาปัตย์งานเยอะไม่ใช่รึไง
 มีอันหนึ่งที่น้ำเน่าได้ใจ


“วันนี้ผมมีอาการแพ้น่ะคุณเภสัช”
“เอ่อ บอกได้มั้ยครับว่าอาการเป็นยังไง”
“แพ้..ยิ้ม ยิ้มของคุณน่ะครับ ไม่พอนะ ความน่ารักของคุณก็ด้วย”



เป็นต้น... อืม... เฮ้ออีกครั้ง


คนที่จะแพ้น่ะ มันจะผมเองเสียมากกว่า เขาทำให้ผมวุ่นวายใจโคตร ๆ กับที่เขาทำแบบนี้น่ะ ไม่รู้หรือไงว่าทำให้คน ๆ หนึ่งคิดมาก คิดไม่ตก คิดกังวล ผมจะป่วยแทนเขาแล้ว



โรคแพ้ใจน่ะ



ไม่ได้น้ำเน่านะ แต่ผมจะแพ้ใจทั้งใจตัว ทั้งใจเขาที่ให้มา พร้อมกับแววตาและสีหน้าจริงจังที่มาพบผมทุกครั้ง น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาที่พร่ำบอกความรู้สึกของเขาทุกวัน หยางหยางคนนั้น ดูไม่ละความพยายามเลยจากการจีบผมทุก ๆ วัน มาที่ร้านขายยานี้ มาตรงเค้าท์เตอร์ อ้างเหตุผลมาซื้อยาตรงหน้าเค้าท์เตอร์ จีบผมและก็ไปเมื่อเขาคิดว่าควรแก่เวลา

ไม่รู้ว่าเขาจะมาแบบไหน ตั้งใจมามอบความรู้สึกดี ๆ ให้จริง ๆ หรือมาแค่หวังจีบเพื่อความสนุก ผมไม่รู้ว่าเขาทีเล่นทีจริงมาแค่ไหน ตั้งแต่วันนั้นที่ผมกับเขาดันมีเหตุการณ์อย่างละครน้ำเน่าที่บูธวันกิจกรรม ผมคิดว่าวันนั้นมันโคตรน่าอาย แต่กลายเป็นหมอนี่มาตามจีบ แบบบอกจริงจังว่าจีบนาเหวย หลี่อี้เฟิงผู้งงงวยคนนี้อึ้งกับคำที่เขาบอก  เพราะผมคิดว่า ถ้าเขาจะหาแฟนซักคน ที่ดี ๆ และดูน่าจะเหมาะสมกับตัวหยางหยาง ก็น่าจะมีที่ดีกว่าผู้ชายด้วยกันแบบผม แต่เขามาจีบผมแบบนี้ มันก็ทำให้ผม หลี่อี้เฟิงคนนี้ผู้ไม่เคยมีแฟนมายี่สิบกว่าปีใจสั่นคลอน หวั่นไหวเป็นเหมือนกัน จนลู่หานแซวผมว่าก็ตกลงไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดเหมือนคนป่วยจนลู่หานอยากจะจ่ายยาให้ผมแทนแบบนี้



และเมื่อเวลาที่เขาลับจากร้านไป หลังการจีบประจำวันของเขา นั่นล่ะ เป็นช่วงเวลาการกำเริบของโรคของผม โรคแพ้ใจ


ผมควรจ่ายยาให้ตัวเองสินะ















“คุณอี้เฟิง แม่งใจแข็งชะมัด”
“จะยอมแพ้ ?”
“เรื่องสิ จะสู้จนกว่ากูจะซื้อยาในร้านที่เขาไปฝึกงานจนหมดทุกชนิดยา”


เพื่อนผม เซฮุนบอกว่าคนเราต้องพยายาม หน้าด้านให้ได้ถึงที่สุด แถมมันยังบอกว่า ถ้าวันไหนเงินไม่พอจะช่วยไปซื้อยาที่ร้ายขายยาเจ้าประจำที่คุณอี้เฟิงกับเพื่อนอยู่กับ อ่ะใช่ มันก็ชอบเพื่อนของคุณอี้เฟิงที่ชื่อลู่หานเหมือนกันกับผมที่ตามจีบคุณอี้เฟิงทุกวัน แต่มันป๊อดไง หรือไม่รู้ว่ามันไปจีบทางอื่นหรือเปล่า


แต่ช่างหัวเซฮุนมันก่อน มาว่ากันด้วยโรคของผม



ผมยังไม่ได้ยารักษาโรคนี้เลยนะ โรคป่วยใจของผม
ยารักษาคือขอหัวใจคุณอี้เฟิงมาเป็นของผม ซึ่งยังไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จแต่ประการใด
เขาดูใจแข็ง และไม่ยอมอ่อนให้ผมง่าย ๆ เลย ซึ่งผมก็ตั้งใจอย่างเต็มที่กับการพิชิตใจคนน่ารักประจำเภสัชศาสตร์คนนี้ ผมทุ่มเทความหน้าด้านหน้าทนในการจีบเขาหาข้ออ้างไปซื้อยาร้านที่เขาฝึกงานทุกวัน (ดีนะที่มันใกล้มหาวิทยาลัยน่ะ ) เวลาที่ผมต้องตัดโม เขียนงานส่งอาจารย์ เวลางีบหลับของผม แต่มันยังไม่พอ ผมดูเรียกร้องมากเกินไปใช่มั้ยล่ะ ดูเหมือนมาฟ้องมาทำตัวกาก ๆ ให้ดูว่าผมทุ่มไปขนาดนี้แล้วไม่ได้กลับมา ผมมันขี้แพ้ ก็คงอย่างนั้น เหนื่อยนิดหน่อยเหมือนกัน นี่ก็เป็นเดือน ๆ แล้ว แต่เขาก็ส่งกลับมาให้แค่ใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีความรู้สึกใด  ๆ ตอบกลับมา นอกจากความเป็นห่วงในฐานะเภสัชกรคนหนึ่งเหมือนทุก ๆ คนที่มาเป็นลูกค้าของร้านและซื้อยากลับไป


เอาจริง ๆ ผมก็มองเห็นถึงความพ่ายแพ้ของตัวเองเหมือนกันนะ คิดไว้สองทางแล้ว ดีกับไม่ดี แต่ผมจะเทไปทางดีก่อน พยายามไป ก็จนกว่าคุณอี้เฟิงเขาจะมีแฟนมาควงต่อหน้าผม นั่นล่ะผมถึงจะยอมปล่อยมือจากเขาให้เขาได้เจอคนที่ดีกว่าผม คนที่เขารักและควรคู่กับเขา


ไม่ค่อยแน่ใจว่าหลงรักเขามากเท่าใด แต่ผมเพ้อถึงใบหน้าน่ารัก ดวงตากลมโตสุกใส และรอยยิ้มสว่างเหมือนหลอดไฟล้านดวงของเขาแทบทุกวัน ตั้งแต่ได้เจอหน้า เราพบกันครั้งแรกที่งานรวมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยที่ทุกคณะจะต้องมาอออกบูธออกร้านมีกิจกรรม แสดงฝีมือ นักศึกษาทุกคนตั้งใจทำเต็มที่มาก ผมเองก็จัดเป็นดนตรีเปิดหมวกกับเพื่อน ๆ ชาวคณะ เพื่อน ๆ และเขาก็จัดบูธแนะนำการใช้ยามีกิจกรรมให้ร่วมเล่นด้วย และบังเอิญว่าจุดแสดงของทั้งคณะผมและคุณอี้เฟิงก็อยู่ตรงข้ามกัน มีสาวๆ เภสัชก็ร่วมแจมตอนเราสถาปัตย์เล่นดนตรี แล้วพวกเราหลายคนก็ไปขอยานั่นยานี่จากเภสัชอยู่ ไปแซวสาว ๆ ฝั่งนั้นก็เยอะ ตามประสา ผมก็ไปกับเพื่อนชั่วที่ลากไปด้วย จนไปเจอกับคุณอี้เฟิงเข้า

จะบอกว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นก็ว่าได้

ผมที่เดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในบูธของคณะเภสัชศาสตร์โดยไม่ทันดูว่าคุณอี้เฟิงเขาทำงานอยู่เกือบชนเขาเข้าให้ คุณเขาก็ดึงแขนผมไว้ทัน ก่อนจะสะดุดชนสแตนด์โชว์ของซุ้ม แล้วก็เวลาหลังจากนั้นก็หยุดลง เพราะผมเซไปล้มทับเขา ร่างของผมคร่อมอยู่บนร่างของคุณอี้เฟิง จังหวะพอดิบพอดีอย่างกับพระนางในละครน้ำเน่า ระยะใกล้โคตรขนาดนั้น ผมไม่บ้าไปเพราะความน่ารักทั้งมวลของคุณอี้เฟิง ผมคงไม่ใช่คนสติดี

แม่งโคตรน่ารัก คนอะไร น่ารักโคตร ๆ ตกใจยังน่ารัก ตัวหอมด้วย



ผมเพ้ออยู่พักหนึ่ง เขาก็เคาะอกผมจากด้านล่าง บอกให้ผมลุกจากตัวเขาไปซักที(สิวะ อาจจะมีคำนี้ถ้าผมยังอ้อยอิ่ง) เมื่อผมลุกขึ้นมา ผมก็ขอโทษเขา เขาก็อายเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่มันจะว่าไปก็ตลก ปนขำ เขินนิดหน่อย แก้มที่ดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสของคุณอี้เฟิงแดงเปล่งขึ้นมาน่ารักมาก หลังจากนั้นผมก็ตกเป็นทาสของคนน่ารักแห่งคณะเภสัชศาสตร์ไปโดยปริยาย



และผมก็ตามจีบเขา หลังจากวันงานกิจกรรม เป็นต้นมา


หลังจากวันนั้นผมจีบเขาเป็นเรื่องเป็นราว แต่ผมก็คิดว่าเขาคงไม่แน่ใจ ว่าผมมาทำอะไรกับเขากันแน่ สายตาและความหวาดระแวงที่ผมรู้สึก แม้ตอนนี้จะไม่เท่าช่วงแรก ๆ แต่ก็ยังมีอยู่


ผมไม่ได้จีบเล่น ๆ นะครับ คุณเภสัชคนน่ารัก



แต่ความป๊อดเลเวลเดียวกันกับไอ้เซฮุน คือพอไปทำจริงจัง จีบแบบจริงจัง สุดท้ายผมก็เขินเอง บ้าชิบ แล้วก็หลุดทำตัวตลก หยอดอะไรเสี่ยว ๆ ใส่เขา ก็กลายเป็นคนที่ดูไม่จริงจังไปซะอย่างนั้น



แต่สาบานด้วยเกียรติของผมและโมของผมที่อยู่บนโต๊ะตรงนั้นด้วย (ก็เพิ่งได้แผลจากมันมาคล้ายว่าเป็นความตั้งใจที่อยากให้มีแผลแต่จริง ๆ คือผมเหม่อคิดถึงคุณอี้เฟิงจนมีดบาด)


ว่าผมชอบคุณอี้เฟิงจริง ๆ ตั้งใจอยากจะดูแลเขาด้วยทั้งหมดที่ผมมี ไม่ว่าอะไร
ถ้าเขาจะกรุณาผม
อยากรบกวนให้เขาใช้ความรักแทนยารักษาโรคป่วยใจของผมที่เกิดจากการคิดถึงเขาด้วย







“มาอีกแล้ว วันนี้จะมาซื้อยาอะไรอีกนะ” ลู่หานพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง แต่จริง ๆ ก็เอ่ยให้อี้เฟิงได้ยิน คุณว่าที่เภสัชคนเพื่อนหันไปตามที่ลู่หานพยักพเยิดไป คราวนี้หยางหยางมาพร้อมเพื่อนอีกคนที่หล่อไม่แพ้กันแต่คนละแนว เพื่อนส่งสายตามองไปทางลู่หาน ซึ่งรู้ได้ว่าไม่ได้มาซื้อยาอย่างแน่นอน หรือไม่ก็คงอยากซื้อยากับเภสัชกรนามลู่หานคนเดียวเท่านั้น



“คุณอี้เฟิง” เสียงทุ้มเรียกเจ้าของชื่อ เภสัชกรหันไปตามทางเสียงเรียก อีกคนยืนอยู่ตรงกันข้ามกันอีกฝั่งตู้ยา เอาศอกค้ำ ท้าวคางมองใบหน้าคุณเภสัชกรฝึกงานในร้านยานี้ โดยมีเจ้าของร้านตัวจริงนั่งทำงานในออฟฟิศด้านหลัง อี้เฟิงมองหยางหยางครู่หนึ่ง ก่อนลอบถอนหายใจ ซึ่งนั่นทำให้สีหน้าของหยางหยางขุ่นลง เขาครุ่นคิดหนักขึ้น


หยางหยางกำลังคิดว่า วันนี้จะทำให้อี้เฟิงรู้มากกว่าเดิม รู้ให้ได้ว่าเขาชอบอี้เฟิงแบบจริงจัง อยากดูแลและอยากให้เขามาดูแลจริง ๆ ไม่ใช่มาจีบและทิ้งไป


แต่สีหน้าของอี้เฟิง เหมือนกับว่า วันนี้เป็นวันฟ้าฝนไม่เป็นใจ อาจจะต้องพึ่งทิฟฟี่รักษาเขาแทนหัวใจคุณเภสัชกร


“วันนี้ต้องการยาอะไรครับ”
“คุณอี้เฟิง”



หยางหยางตีสีหน้าและเอ่ยเสียงจริงจัง เขารู้ดีว่าเป็นการรบกวนเวลางานของอี้เฟิง แต่ถ้าไม่ใช่ที่นี่ เขาก็ไม่มีทางได้เจออี้เฟิงที่อื่น นอกจากที่ร้านและหอพัก เขาก็ไม่สวนทางหรือเจออี้เฟิงที่ไหน บวกกับงานของหยางหยางกับการเรียนคณะสถาปัตยศาสตร์ท่วมหัวจนแทบปลีกตัวมาไม่ได้ หากไม่ได้ตัดใจจากโมที่ห้องและโดดมาทำหน้าที่ของหัวใจเสียก่อน

“ครับ ?”
“ผมจริงจังนะ”
“...”


อี้เฟิงไม่ตอบอะไร รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องไหน แต่มันจะจริงหรือ?


“จริงจังมากกว่าที่คุณคิดนะ เชื่อผมเถอะ”
“ผมจะพิสูจน์ได้ยังไง”

คราวนี้เป็นอี้เฟิงบ้างที่เอ่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ทำเมินไม่รู้ว่าเขามาจีบตัวเองอยู่ได้นานสองนาน จนทนไม่ไหวอีกต่อไป ลองเอ่ยถามด้วยปากตัวเองบ้าง



“ผมจะทำแบบนื้ทุกวัน จะพยายามทุกวัน แสดงความตั้งใจทุกวัน จะมาให้คุณเห็นหน้าทุกวัน ไม่ว่าวันไหน”
สถาปัตย์งานเยอะไม่ใช่รึไง ผมเห็นเพื่อนของผมที่อยู่คณะนั้น ทำงานชนิดลืมตาย ข้าวปลาก็แทบลืมกิน”
“ถ้าปลีกมาไม่ได้ ผมก็จะยกโมมาตัดหน้าร้านยาที่นี่นี่ล่ะ!


อี้เฟิงขมวดคิ้ว จะขำหรือจะเครียดดีก็ไม่แน่ใจ แต่ท่าทางเอาจริงมากจนอี้เฟิงต้องบอกว่าเข้าใจแล้ว ๆ กับอีกฝ่ายไป แต่ความไม่แน่ใจในตัวหยางหยางก็ยังมีมากอยู่ดี


“อืม...”
“คุณอี้เฟิง ยังไม่ต้องมอบหัวใจให้ผมตอนนี้หรอก แต่แค่ให้ผมได้พยายามรักคุณและเพื่อให้คุณรักได้อย่างเต็มที่ ถ้าหากสุดท้ายแล้วผมไม่ได้ใจคุณ พ่ายแพ้ไป ผมก็ยอมรับมัน”



พอพูดจบหยางหยางก็ฉายแววตาจริงจังส่งไปทางคุณว่าที่เภสัชกรตาแป๋วให้รับรู้ไว้ว่าเขามาเพื่อคว้าหัวใจ อี้เฟิงมองเขาตาปริบ ๆ และถอนหายใจใส่แบบไม่ปิดบังต่อหน้าหยางหยาง ทำเอาลูกค้าซื้อยาแก้ป่วยใจอย่างหยางหยางใจแป้ว ป่วยกว่าเดิม




“แย่จริง คุณหยางหยางนี่”
“ ห๊ะ ? ครับ ?”



อี้เฟิงย่นจมูก เม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะพูดต่อจากประโยคคาดโทษคุณว่าที่สถาปนิก ที่กำลังแปลกใจในคำต่อว่าที่กล่าวไปเมื่อครู่ ใบหน้าหวานน่ารักเริ่มแดงระเรื่อ แก้มนุ่มนิ่มที่น่าสัมผัสอย่างที่หยางหยางคิดป่องลมน้อย ๆ มองดูน่ารัก



 “คุณนี่มันแย่จริง ๆ “


หยางหยางได้รับคำคาดโทษมาอีกประโยคสั้น ๆ จากใจที่ป่วยก็ยิ่งป่วย เขาถึงขั้นฟุบใบหน้าหล่อเหลาลงกับตู้กระจกบรรจุยาตรงหน้า เพื่อระงับอารมณ์ที่หล่นวูบจากความป่วยใจของตัวเอง แต่ไม่นานไม่กี่วินาที คุณเภสัชกรก็เคาะกระจกเรียกให้คนป่วยที่มาซื้อยาเงยหน้ามาคุยกัน



“ผมโดนคุณว่าสองรอบแล้ว ตอนนี้ป่วยจริง ๆ ซะแล้วล่ะ”


อี้เฟิงอมยิ้มขำ ใบหน้าหล่อเหลาที่ทำหน้าตาแบบในตอนนี้น่าแกล้งน้อยซะเมื่อไหร่ แต่คุณว่าที่เภสัชประจำร้านก็ไม่ยิ้มค้างนาน เก็บอารมณ์ไว้เพื่อวินาทีต่อไป


“วันนี้ผมรู้นะว่าคุณหยางหยาง ป่วยโรคอะไร “

หยางหยางโดนคุณว่าที่เภสัชย้อนถาม  ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วแปลกใจ นึกสงสัย วันนี้เขาแปลกไปจากทุกวัน



หรือว่าวันนี้เขาไม่ต้องพึ่งทิฟฟี่แล้ว ?



“โรคนี้เรียกว่าโรคป่วยใจ ยาขนานเอกสุด ๆ เลยคือต้องใช้ใจด้วยกันรักษา แต่ก็เสียใจด้วยนะครับ คุณหยางหยาง...”


ขอทิฟฟี่ด่วน หยางหยางโอดในใจ แต่ขอไปซื้อร้านอื่น แล้วเลยไปร้านเหล้าด้วยเลยแล้วกัน ชายหนุ่มว่าที่สถาปนิกพึงสำนึกได้แล้วว่า คำว่าอกหักได้มาเยือนเขารำไร



แต่ทำไมใบหน้าคุณอี้เฟิงยังฉายแววบางอย่าง... ดวงตาคมจับได้ว่ามีอะไรอีก





“เสียใจด้วยที่หัวใจที่คุณควรจะได้รับไปเป็นยาขนานเอกรักษาโรคป่วยใจของคุณ ดันเป็นโรคด้วยซะแล้ว”



พูดเองก็เขินเอง อี้เฟิงคิดในใจ ยิ่งพูดแก้มเขาก็ยิ่งแดงระเรื่อ ยิ่งอยากบอกอะไรที่ตั้งใจบอกเขา คิดมาตั้งแต่เมื่อคืนละมุขนี้ ปรับทุกข์ คิดทบทวนความรู้สึก ปรึกษากับลู่หาน เขาตกผลึกได้ในที่สุดว่า เขาก็คงตกหลุมรักหยางหยางไปแล้วเหมือนกัน

แพ้กับทุกการกระทำของเขา พอเขาไปก็หวิวในใจ เห็นหน้าแล้วก็เหมือนมีบางอย่างมาทำให้ชุ่มชื้นขึ้น เหมือนได้ยาดี



“เป็นโรคแพ้ใจ แพ้ใจบางคนที่ตั้งใจมามอบหัวใจแลกกับผมทุกวัน ... “



ยิ่งใกล้จบประโยคยิ่งพูดช้าลง เบาลง แต่หยางหยางกลับได้ยินชัดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะใบหน้าหล่อเหลานั้นเลื่อนเข้ามาใกล้จนเสียงเบาหวิวของอี้เฟิงเหมือนมากระซิบใกล้หูของเขา เมื่อจบประโยคดี หยางหยางก็ขอสบตากลมโตน่ารักของคุณว่าที่เภสัชก่อนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ


“ขอบคุณครับ”
“ยังไมได้จ่ายยาให้เลย”
“ไม่เป็นไร ให้ผมป่วยต่อก็ได้ ขอเป็นโรคไปพร้อม ๆ กับคุณเลย”



ยิ่งพูด บทสนทนายิ่งหวานเลี่ยนขึ้นเรื่อย แม้ไม่มีคำว่ารัก เหมือนจะคุยกันเรื่องโรคภัยไข้เจ็บแต่หวานที่สุดเท่าที่มีการซื้อขายจ่ายยามา


ไม่ต้องพูดถึงเซฮุนกับลู่หานที่ตั้งท่าอ้วกไปก่อนหน้านี้แล้ว ยืนอยู่อีกมุมร้าน






“คุณชอบผมหรือ “ ทีนี้เข้าโหมดจริงจังกันบ้าง หยางหยางได้ทีจริงขอถามถึงความรู้สึกจริง ๆ เขาเป็นคนตรงเสียจนไม่อ้อมค้อม ทำให้ประโยคำถามนี้กลายเป็นโทษ เขาถูกฟาดที่ต้นแขนไปเรียบร้อย อี้เฟิงที่รู้สึกเขินอย่างห้ามไม่ได้แล้วใช้แรงฟาดต้นแขนคนตรงข้าม แล้วหันหลังไปหาตู้ยาเหมือนจะจ่ายยาให้หยางหยางซะเดี๋ยวนั้น


คำถามไม่ได้รับการตอบใด ๆ แต่หยางหยางเห็นว่าอีกฝ่ายลอบยิ้มแก้มตุ่ย แค่นี้ก็ดีกับใจแล้ว โรคที่ป่วยเหมือนจะดีขึ้น โรคป่วยใจของเขาได้รับการรักษาแล้ว อย่างน้อยอี้เฟิงก็เขินกับสิ่งที่เขาพยายาม มีการแสดงออกให้เห็นบ้าง


“มาทุกวันก็หวั่นไหวสิ คุณมาทุกวัน แววตาจริงจังมากขึ้นทุกวัน ยอมแพ้ เชื่อคุณเลย คุณหยางหยาง” อี้เฟิงพูดทั้งที่ยังหันหลังให้หยางหยางอยู่ ทำท่าทางเป็นจัดตู้ยาไป ทั้งที่มือทั้งสองข้างหยิบจับอะไรผิดที่ทางไปหมด เจ้าตัวรู้จึงพอก่อนที่ยาในตู้จะสลับที่กันจนสับวน

“ขอบคุณครับ ที่รับความรู้สึกของผมไป ส่วนความรู้สึกของคุณ... “
“เอาไปเถอะ เอาใจผมไปรักษาด้วย เอาไปเลย ผมเองก็..คงทนไม่ไหวเหมือนกัน ที่จะต้องมาลุ้นว่าคุณจะที่ร้านหรือเปล่าทุกวัน”






หยางหยางยิ้มออกมากับคำตอบน่ารักน่าชังนั้น ยิ้มกว้างจนจะเหมือนคนบ้าไปแล้ว วันนี้เขาอาจจะใช้แค่ยาไม่พอ คงต้องแอดมิทไปโรงพยาบาลบ้าเลย เพราะดีใจจนเสียสติ



“แต่ยังไม่เป็นแฟนนะ! จีบให้ติดเสียก่อน นี่แค่อ่อยให้คุณจีบนะ ลองพูดอีกซักประโยคจีบผมดู แล้วก็ค่อยว่ากัน”



ว่าที่สถาปนิกว่าง่าย แต่ก็ขำกับคำสั่งว่าที่เภสัช ท่าที่อีกฝ่ายเขินน่าดู มือกำแน่นจิกแขนเสื้อตัวเองอยู่อย่างนั้น และยังไม่กล้าหันหน้ามาพูดคุยกันดี ๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะหยางหยางก็คงประหม่าอย่างที่สุด หากดวงตากลมโตจ้องเขาเมื่อยามจะพูดคำหวาน



“ผมตกหลุมคุณหมดหัวใจ”



อี้เฟิงเหมือนเซไปเล็ก ๆ และกำมือแน่นยิ่งกว่าเดิม จนทนไม่ไหวในที่สุดก็ยิ้มขำและหัวเราะเสียงดังออกมา


“คนป่วยใจเสี่ยวเหมือนกันทุกคนรึเปล่า แต่โรคของผมรักษาไม่หายแล้วล่ะ ผมแพ้ใจคุณเสียแล้วคุณหยางหยาง”



เสี่ยวพอกันล่ะคุณ หยางหยางคิดและเขาก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน ไม่มีใครจ่ายยาทั้งนั้น ป่วยเป็นโรคด้วยกันทั้งคู่ หยางหยางเองก็เปลี่ยนลักษณะอาการนิดหน่อย จากป่วยใจคิดว่าเขาไม่รักกลายเป็นป่วยใจอ่อยให้เขามารักษา ส่วนอีกคนก็ไม่ได้ยอมกัน แพ้หัวใจอีกคนที่มาจีบทุกวันเป็นเดือน ไม่ยอมแพ้ จนอี้เฟิงต้องยอมใจพ่อหนุ่มเดือนมหาวิทยาลัย ว่าที่สถาปนิกคนนี้




“ขอบคุณมากนะครับ”
“คุณขอบคุณผมมาสามครั้งแล้ว”



แววตาคมกริบของหยางหยางจ้องมองลึกไปในดวงตากลมโตสุกใสของอี้เฟิง เขายิ้มออกมาบางเบาแต่สะท้านใจคุณว่าที่เภสัชมากมายนัก และเอ่ยประโยคที่สะท้านพอกับแววตา





“ผมอยากจะขอบคุณตลอดไปเลยล่ะ คุณมีเวลาพอให้ผมมั้ย..นานหน่อย แบบที่เขาเรียกว่าทั้งชีวิต”