“อี้เฟิง
เขามาอีกแล้วแหน่ะ”
ผมหันไปหาเพื่อนก่อนแยกเขี้ยวใส่มันอีกสองสามครั้ง
พอให้รู้ว่า ตรูดุนะเฟ้ย แล้วก็หันไปตามทางที่เพื่อนพยักพเยิดไป
ลูกค้าของผมเข้ามาในร้าน เป็นลูกค้าที่ไม่รู้จักเบื่อ และขยันมาจริง ๆ
ขยันป่วยด้วย ครับ ก็นี่มันร้านขายยา
“สวัสดีครับ คุณเภสัชอี้เฟิง”
“ครับ ไม่ทราบว่าวันนี้คุณต้องการยาอะไรดีครับ”
“วันนี้ตัดโมแล้วโดนบาดมา
ขอยาทาและอุปกรณ์ทำแผลหน่อยคร๊าบ”
“ทราบแล้วครับ”
ครับ พอเขาเข้ามา
ร้านขายยาที่ผมและเพื่อนอีกคนลู่หานเป็นเภสัชกรฝึกงานประจำร้านก็เต็มไปด้วย สาว ๆ
มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม ก็มหาวิทยาลัยเดียวกันกับคุณคนนี้ที่ขยันป่วยด้วย แน่นอน
ผมรู้จักเขาอยู่แล้วล่ะ
เขาชื่อ หยางหยาง สุดหล่อประจำสถาปัตย์
เดือนมหาวิทยาลัยที่เลื่องลือระบือไกลว่า
สิบปีจะมีหล่อล้ำค้ำสวรรค์แบบนี้ส่งมาเป็นเด็กในมหาวิทยาลัย (อันนี้รุ่นเขาก็ว่า ๆ
กันไป)
“คุณอี้เฟิง”
“ครับ “
ในระหว่างที่ผมเตรียมของที่เขาต้องการ
เขาเรียกผมให้ตอบรับเขา รู้อยู่แล้วล่ะว่าเขามองอยู่ แต่ผมจะไม่หันไปคุย
และตกหลุมพรางเขาอีกแล้ว หมอนี่มันร้าย
“วันนี้ก็น่ารักอีกแล้ว”
เฮอ นี่ล่ะครับ ผมถึงได้บอกว่าหมอนี่มันร้าย เขารุ่นเดียวกันกับผม
แต่เหมือนได้ยินเขาว่ากันว่าหยางหยางมาจากต่างประเทศเลยเรียนช้ากว่าคนทีประเทศเรา
เข้ามหาวิทยาลัยช้าไปปี แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค์ของเขา หมอนี่เรียนเก่ง
งานเขาก็ล้ำอย่าบอกใคร หล่ออีก กีฬาก็ดี ได้ข่าวว่าเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยด้วย
ตอนอยู่นอกก็โคตรป๊อบ อา.. เทียบไม่ติด ผม
หลี่อี้เฟิงแค่นักเรียนทุนมหาวิทยาลัยที่สอบติดเข้ามาเรียนคณะที่ใฝ่ฝัน
เภสัชกรที่แจกจ่ายยาให้ผู้ป่วย เป็นอาชีพอีกอย่างที่ช่วยเพื่อนมนุษย์ เกรดไม่ได้ดีแต่ก็เรียนพอไปได้
เอ่อ.. เยอะไป
กลับไปที่ความร้ายกาจของนายหยางหยาง
“คุณอี้เฟิง ที่จริงถ้าคุณทำแผลให้—“
“ผมต้องทำงาน”
“ว้า แต่ไม่เป็นไรครับ
แค่คุณจ่ายยาแค่นี้ก็พอใจแล้ว”
ผมไม่พูดอะไรต่อ ก็ปล่อยให้เขามองผมและยิ้มต่อไป
หมอนี่ต้องบ้าแน่ ๆ มองคนหน้าบึ้งบูดใส่แล้วยิ้ม
เฮ้อ
และวันนี้ก็ไม่พ้นประโยคพิเศษสุดที่เขามักจะบอกย้ำอยู่เสมอว่า
การมาที่ร้านขายยาที่ผมเป็นเภสัชกรฝึกงานอยู่ มาเพื่อจุดประสงค์อะไร
“วันนี้การจีบของผม คืบหน้าบ้างมั้ย ? ”
ผมเบะปากใส่ไม่ตอบเขา หยางหยางก็หน้างอ
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแสดงความรู้สึกแบบไหนก็ดูดี เห็นแล้วหมั่นไส้
พอทำหน้าตาน่าสงสารใส่ เขาก็กลับมายิ้ม ผมส่งสินค้าที่เขาต้องการ
ยาที่ผมจัดให้ไปจนครบ แลกกับเงินที่เขาชำระค่าของทั้งหมด
เขาก็หอบของใส่วงแขนตัวเอง ก่อนไปก็ยิ้มส่งมาให้ และบอกส่งตรงมาให้ผมประโยคหนึ่ง
“ผมยังไม่ละความพยายามนะคุณอี้เฟิง
ผมจะจีบคุณให้มาเป็นแฟนผม”
เขาบอกว่างั้นนั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจ
บางอย่างที่ผมบอก หยางหยางมาร้านขายยาที่ผมประจำอยู่ทุกวัน เพื่อจีบผม
เฮ้อ
เขาหาเรื่องเจ็บป่วย ต้องการยาหรืออื่น ๆ
ในร้านที่มีทุกวัน ไม่เขาเองก็จะอ้างเพื่อนมา มาวันละสองสามรอบ
ทอปฟอร์มสุดคือห้ารอบ อ้างเพื่อนไม่สบาย แม่ปวดเข่า พ่อเจ็บส้นเท้า ไปกันใหญ่โต
บางทีผมก็ขำกับบางเหตุผลที่เขาอ้างมา มาได้ทุกวัน ไม่มีไปส่งงงส่งงานบ้างเรอะ
สถาปัตย์งานเยอะไม่ใช่รึไง
มีอันหนึ่งที่น้ำเน่าได้ใจ
“วันนี้ผมมีอาการแพ้น่ะคุณเภสัช”
“เอ่อ
บอกได้มั้ยครับว่าอาการเป็นยังไง”
“แพ้..ยิ้ม
ยิ้มของคุณน่ะครับ ไม่พอนะ ความน่ารักของคุณก็ด้วย”
เป็นต้น... อืม... เฮ้ออีกครั้ง
คนที่จะแพ้น่ะ มันจะผมเองเสียมากกว่า
เขาทำให้ผมวุ่นวายใจโคตร ๆ กับที่เขาทำแบบนี้น่ะ ไม่รู้หรือไงว่าทำให้คน ๆ
หนึ่งคิดมาก คิดไม่ตก คิดกังวล ผมจะป่วยแทนเขาแล้ว
โรคแพ้ใจน่ะ
ไม่ได้น้ำเน่านะ แต่ผมจะแพ้ใจทั้งใจตัว
ทั้งใจเขาที่ให้มา พร้อมกับแววตาและสีหน้าจริงจังที่มาพบผมทุกครั้ง
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาที่พร่ำบอกความรู้สึกของเขาทุกวัน หยางหยางคนนั้น
ดูไม่ละความพยายามเลยจากการจีบผมทุก ๆ วัน มาที่ร้านขายยานี้ มาตรงเค้าท์เตอร์
อ้างเหตุผลมาซื้อยาตรงหน้าเค้าท์เตอร์ จีบผมและก็ไปเมื่อเขาคิดว่าควรแก่เวลา
ไม่รู้ว่าเขาจะมาแบบไหน ตั้งใจมามอบความรู้สึกดี
ๆ ให้จริง ๆ หรือมาแค่หวังจีบเพื่อความสนุก ผมไม่รู้ว่าเขาทีเล่นทีจริงมาแค่ไหน
ตั้งแต่วันนั้นที่ผมกับเขาดันมีเหตุการณ์อย่างละครน้ำเน่าที่บูธวันกิจกรรม
ผมคิดว่าวันนั้นมันโคตรน่าอาย แต่กลายเป็นหมอนี่มาตามจีบ
แบบบอกจริงจังว่าจีบนาเหวย หลี่อี้เฟิงผู้งงงวยคนนี้อึ้งกับคำที่เขาบอก เพราะผมคิดว่า ถ้าเขาจะหาแฟนซักคน ที่ดี ๆ
และดูน่าจะเหมาะสมกับตัวหยางหยาง ก็น่าจะมีที่ดีกว่าผู้ชายด้วยกันแบบผม
แต่เขามาจีบผมแบบนี้ มันก็ทำให้ผม
หลี่อี้เฟิงคนนี้ผู้ไม่เคยมีแฟนมายี่สิบกว่าปีใจสั่นคลอน หวั่นไหวเป็นเหมือนกัน
จนลู่หานแซวผมว่าก็ตกลงไปเลย
จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดเหมือนคนป่วยจนลู่หานอยากจะจ่ายยาให้ผมแทนแบบนี้
และเมื่อเวลาที่เขาลับจากร้านไป
หลังการจีบประจำวันของเขา นั่นล่ะ เป็นช่วงเวลาการกำเริบของโรคของผม โรคแพ้ใจ
ผมควรจ่ายยาให้ตัวเองสินะ
“คุณอี้เฟิง แม่งใจแข็งชะมัด”
“จะยอมแพ้ ?”
“เรื่องสิ
จะสู้จนกว่ากูจะซื้อยาในร้านที่เขาไปฝึกงานจนหมดทุกชนิดยา”
เพื่อนผม เซฮุนบอกว่าคนเราต้องพยายาม
หน้าด้านให้ได้ถึงที่สุด แถมมันยังบอกว่า
ถ้าวันไหนเงินไม่พอจะช่วยไปซื้อยาที่ร้ายขายยาเจ้าประจำที่คุณอี้เฟิงกับเพื่อนอยู่กับ
อ่ะใช่
มันก็ชอบเพื่อนของคุณอี้เฟิงที่ชื่อลู่หานเหมือนกันกับผมที่ตามจีบคุณอี้เฟิงทุกวัน
แต่มันป๊อดไง หรือไม่รู้ว่ามันไปจีบทางอื่นหรือเปล่า
แต่ช่างหัวเซฮุนมันก่อน มาว่ากันด้วยโรคของผม
ผมยังไม่ได้ยารักษาโรคนี้เลยนะ โรคป่วยใจของผม
ยารักษาคือขอหัวใจคุณอี้เฟิงมาเป็นของผม
ซึ่งยังไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จแต่ประการใด
เขาดูใจแข็ง และไม่ยอมอ่อนให้ผมง่าย ๆ เลย
ซึ่งผมก็ตั้งใจอย่างเต็มที่กับการพิชิตใจคนน่ารักประจำเภสัชศาสตร์คนนี้
ผมทุ่มเทความหน้าด้านหน้าทนในการจีบเขาหาข้ออ้างไปซื้อยาร้านที่เขาฝึกงานทุกวัน
(ดีนะที่มันใกล้มหาวิทยาลัยน่ะ ) เวลาที่ผมต้องตัดโม เขียนงานส่งอาจารย์
เวลางีบหลับของผม แต่มันยังไม่พอ ผมดูเรียกร้องมากเกินไปใช่มั้ยล่ะ
ดูเหมือนมาฟ้องมาทำตัวกาก ๆ ให้ดูว่าผมทุ่มไปขนาดนี้แล้วไม่ได้กลับมา ผมมันขี้แพ้
ก็คงอย่างนั้น เหนื่อยนิดหน่อยเหมือนกัน นี่ก็เป็นเดือน ๆ แล้ว
แต่เขาก็ส่งกลับมาให้แค่ใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ตอบกลับมา นอกจากความเป็นห่วงในฐานะเภสัชกรคนหนึ่งเหมือนทุก
ๆ คนที่มาเป็นลูกค้าของร้านและซื้อยากลับไป
เอาจริง ๆ
ผมก็มองเห็นถึงความพ่ายแพ้ของตัวเองเหมือนกันนะ คิดไว้สองทางแล้ว ดีกับไม่ดี
แต่ผมจะเทไปทางดีก่อน พยายามไป ก็จนกว่าคุณอี้เฟิงเขาจะมีแฟนมาควงต่อหน้าผม
นั่นล่ะผมถึงจะยอมปล่อยมือจากเขาให้เขาได้เจอคนที่ดีกว่าผม
คนที่เขารักและควรคู่กับเขา
ไม่ค่อยแน่ใจว่าหลงรักเขามากเท่าใด
แต่ผมเพ้อถึงใบหน้าน่ารัก ดวงตากลมโตสุกใส
และรอยยิ้มสว่างเหมือนหลอดไฟล้านดวงของเขาแทบทุกวัน ตั้งแต่ได้เจอหน้า
เราพบกันครั้งแรกที่งานรวมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยที่ทุกคณะจะต้องมาอออกบูธออกร้านมีกิจกรรม
แสดงฝีมือ นักศึกษาทุกคนตั้งใจทำเต็มที่มาก ผมเองก็จัดเป็นดนตรีเปิดหมวกกับเพื่อน
ๆ ชาวคณะ เพื่อน ๆ และเขาก็จัดบูธแนะนำการใช้ยามีกิจกรรมให้ร่วมเล่นด้วย
และบังเอิญว่าจุดแสดงของทั้งคณะผมและคุณอี้เฟิงก็อยู่ตรงข้ามกัน มีสาวๆ เภสัชก็ร่วมแจมตอนเราสถาปัตย์เล่นดนตรี
แล้วพวกเราหลายคนก็ไปขอยานั่นยานี่จากเภสัชอยู่ ไปแซวสาว ๆ ฝั่งนั้นก็เยอะ
ตามประสา ผมก็ไปกับเพื่อนชั่วที่ลากไปด้วย จนไปเจอกับคุณอี้เฟิงเข้า
จะบอกว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นก็ว่าได้
ผมที่เดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในบูธของคณะเภสัชศาสตร์โดยไม่ทันดูว่าคุณอี้เฟิงเขาทำงานอยู่เกือบชนเขาเข้าให้
คุณเขาก็ดึงแขนผมไว้ทัน ก่อนจะสะดุดชนสแตนด์โชว์ของซุ้ม
แล้วก็เวลาหลังจากนั้นก็หยุดลง เพราะผมเซไปล้มทับเขา
ร่างของผมคร่อมอยู่บนร่างของคุณอี้เฟิง
จังหวะพอดิบพอดีอย่างกับพระนางในละครน้ำเน่า ระยะใกล้โคตรขนาดนั้น
ผมไม่บ้าไปเพราะความน่ารักทั้งมวลของคุณอี้เฟิง ผมคงไม่ใช่คนสติดี
แม่งโคตรน่ารัก คนอะไร น่ารักโคตร ๆ
ตกใจยังน่ารัก ตัวหอมด้วย
ผมเพ้ออยู่พักหนึ่ง เขาก็เคาะอกผมจากด้านล่าง
บอกให้ผมลุกจากตัวเขาไปซักที(สิวะ อาจจะมีคำนี้ถ้าผมยังอ้อยอิ่ง) เมื่อผมลุกขึ้นมา
ผมก็ขอโทษเขา เขาก็อายเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่มันจะว่าไปก็ตลก ปนขำ
เขินนิดหน่อย แก้มที่ดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสของคุณอี้เฟิงแดงเปล่งขึ้นมาน่ารักมาก
หลังจากนั้นผมก็ตกเป็นทาสของคนน่ารักแห่งคณะเภสัชศาสตร์ไปโดยปริยาย
และผมก็ตามจีบเขา หลังจากวันงานกิจกรรม เป็นต้นมา
หลังจากวันนั้นผมจีบเขาเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ผมก็คิดว่าเขาคงไม่แน่ใจ ว่าผมมาทำอะไรกับเขากันแน่
สายตาและความหวาดระแวงที่ผมรู้สึก แม้ตอนนี้จะไม่เท่าช่วงแรก ๆ แต่ก็ยังมีอยู่
ผมไม่ได้จีบเล่น ๆ นะครับ คุณเภสัชคนน่ารัก
แต่ความป๊อดเลเวลเดียวกันกับไอ้เซฮุน
คือพอไปทำจริงจัง จีบแบบจริงจัง สุดท้ายผมก็เขินเอง บ้าชิบ แล้วก็หลุดทำตัวตลก
หยอดอะไรเสี่ยว ๆ ใส่เขา ก็กลายเป็นคนที่ดูไม่จริงจังไปซะอย่างนั้น
แต่สาบานด้วยเกียรติของผมและโมของผมที่อยู่บนโต๊ะตรงนั้นด้วย
(ก็เพิ่งได้แผลจากมันมาคล้ายว่าเป็นความตั้งใจที่อยากให้มีแผลแต่จริง ๆ
คือผมเหม่อคิดถึงคุณอี้เฟิงจนมีดบาด)
ว่าผมชอบคุณอี้เฟิงจริง ๆ
ตั้งใจอยากจะดูแลเขาด้วยทั้งหมดที่ผมมี ไม่ว่าอะไร
ถ้าเขาจะกรุณาผม
อยากรบกวนให้เขาใช้ความรักแทนยารักษาโรคป่วยใจของผมที่เกิดจากการคิดถึงเขาด้วย
“มาอีกแล้ว วันนี้จะมาซื้อยาอะไรอีกนะ”
ลู่หานพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง แต่จริง ๆ ก็เอ่ยให้อี้เฟิงได้ยิน คุณว่าที่เภสัชคนเพื่อนหันไปตามที่ลู่หานพยักพเยิดไป
คราวนี้หยางหยางมาพร้อมเพื่อนอีกคนที่หล่อไม่แพ้กันแต่คนละแนว
เพื่อนส่งสายตามองไปทางลู่หาน ซึ่งรู้ได้ว่าไม่ได้มาซื้อยาอย่างแน่นอน
หรือไม่ก็คงอยากซื้อยากับเภสัชกรนามลู่หานคนเดียวเท่านั้น
“คุณอี้เฟิง” เสียงทุ้มเรียกเจ้าของชื่อ
เภสัชกรหันไปตามทางเสียงเรียก อีกคนยืนอยู่ตรงกันข้ามกันอีกฝั่งตู้ยา เอาศอกค้ำ
ท้าวคางมองใบหน้าคุณเภสัชกรฝึกงานในร้านยานี้
โดยมีเจ้าของร้านตัวจริงนั่งทำงานในออฟฟิศด้านหลัง อี้เฟิงมองหยางหยางครู่หนึ่ง
ก่อนลอบถอนหายใจ ซึ่งนั่นทำให้สีหน้าของหยางหยางขุ่นลง เขาครุ่นคิดหนักขึ้น
หยางหยางกำลังคิดว่า
วันนี้จะทำให้อี้เฟิงรู้มากกว่าเดิม รู้ให้ได้ว่าเขาชอบอี้เฟิงแบบจริงจัง
อยากดูแลและอยากให้เขามาดูแลจริง ๆ ไม่ใช่มาจีบและทิ้งไป
แต่สีหน้าของอี้เฟิง เหมือนกับว่า วันนี้เป็นวันฟ้าฝนไม่เป็นใจ
อาจจะต้องพึ่งทิฟฟี่รักษาเขาแทนหัวใจคุณเภสัชกร
“วันนี้ต้องการยาอะไรครับ”
“คุณอี้เฟิง”
หยางหยางตีสีหน้าและเอ่ยเสียงจริงจัง
เขารู้ดีว่าเป็นการรบกวนเวลางานของอี้เฟิง แต่ถ้าไม่ใช่ที่นี่
เขาก็ไม่มีทางได้เจออี้เฟิงที่อื่น นอกจากที่ร้านและหอพัก
เขาก็ไม่สวนทางหรือเจออี้เฟิงที่ไหน
บวกกับงานของหยางหยางกับการเรียนคณะสถาปัตยศาสตร์ท่วมหัวจนแทบปลีกตัวมาไม่ได้
หากไม่ได้ตัดใจจากโมที่ห้องและโดดมาทำหน้าที่ของหัวใจเสียก่อน
“ครับ ?”
“ผมจริงจังนะ”
“...”
อี้เฟิงไม่ตอบอะไร รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องไหน
แต่มันจะจริงหรือ?
“จริงจังมากกว่าที่คุณคิดนะ เชื่อผมเถอะ”
“ผมจะพิสูจน์ได้ยังไง”
คราวนี้เป็นอี้เฟิงบ้างที่เอ่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากที่ทำเมินไม่รู้ว่าเขามาจีบตัวเองอยู่ได้นานสองนาน จนทนไม่ไหวอีกต่อไป
ลองเอ่ยถามด้วยปากตัวเองบ้าง
“ผมจะทำแบบนื้ทุกวัน จะพยายามทุกวัน
แสดงความตั้งใจทุกวัน จะมาให้คุณเห็นหน้าทุกวัน ไม่ว่าวันไหน”
“ สถาปัตย์งานเยอะไม่ใช่รึไง
ผมเห็นเพื่อนของผมที่อยู่คณะนั้น ทำงานชนิดลืมตาย ข้าวปลาก็แทบลืมกิน”
“ถ้าปลีกมาไม่ได้
ผมก็จะยกโมมาตัดหน้าร้านยาที่นี่นี่ล่ะ!”
อี้เฟิงขมวดคิ้ว จะขำหรือจะเครียดดีก็ไม่แน่ใจ
แต่ท่าทางเอาจริงมากจนอี้เฟิงต้องบอกว่าเข้าใจแล้ว ๆ กับอีกฝ่ายไป
แต่ความไม่แน่ใจในตัวหยางหยางก็ยังมีมากอยู่ดี
“อืม...”
“คุณอี้เฟิง ยังไม่ต้องมอบหัวใจให้ผมตอนนี้หรอก
แต่แค่ให้ผมได้พยายามรักคุณและเพื่อให้คุณรักได้อย่างเต็มที่
ถ้าหากสุดท้ายแล้วผมไม่ได้ใจคุณ พ่ายแพ้ไป ผมก็ยอมรับมัน”
พอพูดจบหยางหยางก็ฉายแววตาจริงจังส่งไปทางคุณว่าที่เภสัชกรตาแป๋วให้รับรู้ไว้ว่าเขามาเพื่อคว้าหัวใจ
อี้เฟิงมองเขาตาปริบ ๆ และถอนหายใจใส่แบบไม่ปิดบังต่อหน้าหยางหยาง
ทำเอาลูกค้าซื้อยาแก้ป่วยใจอย่างหยางหยางใจแป้ว ป่วยกว่าเดิม
“แย่จริง คุณหยางหยางนี่”
“ ห๊ะ ? ครับ ?”
อี้เฟิงย่นจมูก เม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะพูดต่อจากประโยคคาดโทษคุณว่าที่สถาปนิก
ที่กำลังแปลกใจในคำต่อว่าที่กล่าวไปเมื่อครู่ ใบหน้าหวานน่ารักเริ่มแดงระเรื่อ
แก้มนุ่มนิ่มที่น่าสัมผัสอย่างที่หยางหยางคิดป่องลมน้อย ๆ มองดูน่ารัก
“คุณนี่มันแย่จริง ๆ “
หยางหยางได้รับคำคาดโทษมาอีกประโยคสั้น ๆ
จากใจที่ป่วยก็ยิ่งป่วย เขาถึงขั้นฟุบใบหน้าหล่อเหลาลงกับตู้กระจกบรรจุยาตรงหน้า
เพื่อระงับอารมณ์ที่หล่นวูบจากความป่วยใจของตัวเอง แต่ไม่นานไม่กี่วินาที
คุณเภสัชกรก็เคาะกระจกเรียกให้คนป่วยที่มาซื้อยาเงยหน้ามาคุยกัน
“ผมโดนคุณว่าสองรอบแล้ว ตอนนี้ป่วยจริง ๆ
ซะแล้วล่ะ”
อี้เฟิงอมยิ้มขำ ใบหน้าหล่อเหลาที่ทำหน้าตาแบบในตอนนี้น่าแกล้งน้อยซะเมื่อไหร่
แต่คุณว่าที่เภสัชประจำร้านก็ไม่ยิ้มค้างนาน เก็บอารมณ์ไว้เพื่อวินาทีต่อไป
“วันนี้ผมรู้นะว่าคุณหยางหยาง ป่วยโรคอะไร “
หยางหยางโดนคุณว่าที่เภสัชย้อนถาม ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วแปลกใจ นึกสงสัย วันนี้เขาแปลกไปจากทุกวัน
หรือว่าวันนี้เขาไม่ต้องพึ่งทิฟฟี่แล้ว ?
“โรคนี้เรียกว่าโรคป่วยใจ ยาขนานเอกสุด ๆ
เลยคือต้องใช้ใจด้วยกันรักษา แต่ก็เสียใจด้วยนะครับ คุณหยางหยาง...”
ขอทิฟฟี่ด่วน
หยางหยางโอดในใจ แต่ขอไปซื้อร้านอื่น แล้วเลยไปร้านเหล้าด้วยเลยแล้วกัน ชายหนุ่มว่าที่สถาปนิกพึงสำนึกได้แล้วว่า
คำว่าอกหักได้มาเยือนเขารำไร
แต่ทำไมใบหน้าคุณอี้เฟิงยังฉายแววบางอย่าง...
ดวงตาคมจับได้ว่ามีอะไรอีก
“เสียใจด้วยที่หัวใจที่คุณควรจะได้รับไปเป็นยาขนานเอกรักษาโรคป่วยใจของคุณ
ดันเป็นโรคด้วยซะแล้ว”
พูดเองก็เขินเอง อี้เฟิงคิดในใจ
ยิ่งพูดแก้มเขาก็ยิ่งแดงระเรื่อ ยิ่งอยากบอกอะไรที่ตั้งใจบอกเขา
คิดมาตั้งแต่เมื่อคืนละมุขนี้ ปรับทุกข์ คิดทบทวนความรู้สึก ปรึกษากับลู่หาน
เขาตกผลึกได้ในที่สุดว่า เขาก็คงตกหลุมรักหยางหยางไปแล้วเหมือนกัน
แพ้กับทุกการกระทำของเขา พอเขาไปก็หวิวในใจ
เห็นหน้าแล้วก็เหมือนมีบางอย่างมาทำให้ชุ่มชื้นขึ้น เหมือนได้ยาดี
“เป็นโรคแพ้ใจ
แพ้ใจบางคนที่ตั้งใจมามอบหัวใจแลกกับผมทุกวัน ... “
ยิ่งใกล้จบประโยคยิ่งพูดช้าลง เบาลง
แต่หยางหยางกลับได้ยินชัดขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะใบหน้าหล่อเหลานั้นเลื่อนเข้ามาใกล้จนเสียงเบาหวิวของอี้เฟิงเหมือนมากระซิบใกล้หูของเขา
เมื่อจบประโยคดี
หยางหยางก็ขอสบตากลมโตน่ารักของคุณว่าที่เภสัชก่อนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
“ขอบคุณครับ”
“ยังไมได้จ่ายยาให้เลย”
“ไม่เป็นไร ให้ผมป่วยต่อก็ได้ ขอเป็นโรคไปพร้อม ๆ
กับคุณเลย”
ยิ่งพูด บทสนทนายิ่งหวานเลี่ยนขึ้นเรื่อย
แม้ไม่มีคำว่ารัก เหมือนจะคุยกันเรื่องโรคภัยไข้เจ็บแต่หวานที่สุดเท่าที่มีการซื้อขายจ่ายยามา
ไม่ต้องพูดถึงเซฮุนกับลู่หานที่ตั้งท่าอ้วกไปก่อนหน้านี้แล้ว
ยืนอยู่อีกมุมร้าน
“คุณชอบผมหรือ “ ทีนี้เข้าโหมดจริงจังกันบ้าง หยางหยางได้ทีจริงขอถามถึงความรู้สึกจริง
ๆ เขาเป็นคนตรงเสียจนไม่อ้อมค้อม ทำให้ประโยคำถามนี้กลายเป็นโทษ
เขาถูกฟาดที่ต้นแขนไปเรียบร้อย
อี้เฟิงที่รู้สึกเขินอย่างห้ามไม่ได้แล้วใช้แรงฟาดต้นแขนคนตรงข้าม
แล้วหันหลังไปหาตู้ยาเหมือนจะจ่ายยาให้หยางหยางซะเดี๋ยวนั้น
คำถามไม่ได้รับการตอบใด ๆ
แต่หยางหยางเห็นว่าอีกฝ่ายลอบยิ้มแก้มตุ่ย แค่นี้ก็ดีกับใจแล้ว
โรคที่ป่วยเหมือนจะดีขึ้น โรคป่วยใจของเขาได้รับการรักษาแล้ว
อย่างน้อยอี้เฟิงก็เขินกับสิ่งที่เขาพยายาม มีการแสดงออกให้เห็นบ้าง
“มาทุกวันก็หวั่นไหวสิ คุณมาทุกวัน แววตาจริงจังมากขึ้นทุกวัน
ยอมแพ้ เชื่อคุณเลย คุณหยางหยาง” อี้เฟิงพูดทั้งที่ยังหันหลังให้หยางหยางอยู่
ทำท่าทางเป็นจัดตู้ยาไป ทั้งที่มือทั้งสองข้างหยิบจับอะไรผิดที่ทางไปหมด
เจ้าตัวรู้จึงพอก่อนที่ยาในตู้จะสลับที่กันจนสับวน
“ขอบคุณครับ ที่รับความรู้สึกของผมไป ส่วนความรู้สึกของคุณ...
“
“เอาไปเถอะ เอาใจผมไปรักษาด้วย เอาไปเลย
ผมเองก็..คงทนไม่ไหวเหมือนกัน ที่จะต้องมาลุ้นว่าคุณจะที่ร้านหรือเปล่าทุกวัน”
หยางหยางยิ้มออกมากับคำตอบน่ารักน่าชังนั้น
ยิ้มกว้างจนจะเหมือนคนบ้าไปแล้ว วันนี้เขาอาจจะใช้แค่ยาไม่พอ คงต้องแอดมิทไปโรงพยาบาลบ้าเลย
เพราะดีใจจนเสียสติ
“แต่ยังไม่เป็นแฟนนะ!
จีบให้ติดเสียก่อน นี่แค่อ่อยให้คุณจีบนะ ลองพูดอีกซักประโยคจีบผมดู
แล้วก็ค่อยว่ากัน”
ว่าที่สถาปนิกว่าง่าย
แต่ก็ขำกับคำสั่งว่าที่เภสัช ท่าที่อีกฝ่ายเขินน่าดู
มือกำแน่นจิกแขนเสื้อตัวเองอยู่อย่างนั้น และยังไม่กล้าหันหน้ามาพูดคุยกันดี ๆ
แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะหยางหยางก็คงประหม่าอย่างที่สุด
หากดวงตากลมโตจ้องเขาเมื่อยามจะพูดคำหวาน
“ผมตกหลุมคุณหมดหัวใจ”
อี้เฟิงเหมือนเซไปเล็ก ๆ
และกำมือแน่นยิ่งกว่าเดิม จนทนไม่ไหวในที่สุดก็ยิ้มขำและหัวเราะเสียงดังออกมา
“คนป่วยใจเสี่ยวเหมือนกันทุกคนรึเปล่า
แต่โรคของผมรักษาไม่หายแล้วล่ะ ผมแพ้ใจคุณเสียแล้วคุณหยางหยาง”
เสี่ยวพอกันล่ะคุณ
หยางหยางคิดและเขาก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน ไม่มีใครจ่ายยาทั้งนั้น
ป่วยเป็นโรคด้วยกันทั้งคู่ หยางหยางเองก็เปลี่ยนลักษณะอาการนิดหน่อย จากป่วยใจคิดว่าเขาไม่รักกลายเป็นป่วยใจอ่อยให้เขามารักษา
ส่วนอีกคนก็ไม่ได้ยอมกัน แพ้หัวใจอีกคนที่มาจีบทุกวันเป็นเดือน ไม่ยอมแพ้
จนอี้เฟิงต้องยอมใจพ่อหนุ่มเดือนมหาวิทยาลัย ว่าที่สถาปนิกคนนี้
“ขอบคุณมากนะครับ”
“คุณขอบคุณผมมาสามครั้งแล้ว”
แววตาคมกริบของหยางหยางจ้องมองลึกไปในดวงตากลมโตสุกใสของอี้เฟิง
เขายิ้มออกมาบางเบาแต่สะท้านใจคุณว่าที่เภสัชมากมายนัก
และเอ่ยประโยคที่สะท้านพอกับแววตา
“ผมอยากจะขอบคุณตลอดไปเลยล่ะ
คุณมีเวลาพอให้ผมมั้ย..นานหน่อย แบบที่เขาเรียกว่าทั้งชีวิต”