วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

[SF] Twin ~ : หยางเฟิง




TITLE :  Twin ~
PAIRING : YANGYANG x LIYIFENG
RATE : PG - 13
TELL : ฟิคใส ๆ ไม่มีดราม่า กุ๊งกิ๊งแบบหยางเฟิง



----------------------------------------------------------------------------------------------------------------



“เห้ย!


เสียงอุทานดังขึ้น..พร้อมกัน! ต้นเสียงเป็นเสียงทุ้มกับเสียงหวานจากคนสองคนที่อยู่ร่าวมชายคาเดียวกันมาได้แล้วพักใหญ่ ๆ




“หยางหยาง..ตัวนั้นมันของฉัน”
“พี่ครับ เราตกลงกันแล้วนี่ครับว่าเซตนี้ทั้งหมดเป็นของผม”
“ที่ไหนกัน”
“อ้าว เฟิงเกอ..”



ทุกเช้าในช่วงเวลาเร่งด่วนก่อนที่ผู้จัดการของทั้งคู่จะมารับทั้งคู่ไปส่งที่ทำงานของแต่ละคนตามตารางงานประจำวันของวันนั้น ๆ ทั้งคู่ก็ต้องมีเรื่องให้ปะทะฝีปากกันทุกเช้าไป เรื่องใหญ่และใช้เวลาตัดสินใจนานที่สุดกว่าศึกจะจบลงเป็นเรื่องเสื้อผ้าของทั้งคู่ที่ดันมาแต่งตัวคล้ายกัน สไตล์เดียวกัน สีที่ชอบก็เหมือนกัน แถมรูปร่างส่วนสูงยังคล้ายกัน แทบจะไม่ต่างกันเลย บางทีผู้จัดการของทั้งคู่(ที่แม้จะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่) ก็ยังบอกพวกเขาทั้งคู่เลยว่า


แกทั้งคู่ อย่างกะแฝดกัน



พอได้ยิน หลี่อี้เฟิง เทพบุตรแห่งชาติผู้สดใสก็จะตีโป่งแก้มป่องงอนไม่พูดกะใคร แล้วก็บ่นเป็นแมวกินผึ้งว่า ผมไม่เหมือนกับหมอนี่(ก็หยางหยางนั่นล่ะ) ซักหน่อย ส่วนคึนน้องหยางหยาง หนุ่มน้อยผู้งดงามแห่งชาติจีนก็บ่นไปเรื่อยเป็นหมาหูตั้งอย่างเซ็ง ๆ ว่า ผมไม่อ้วนอย่างพี่เขา ก็เลยโดนอี้เฟิงสวนกลับมาทันควัน จนผู้จัดการของทั้งคู่ต้องจับแยกฝั่งแดงน้ำเงินทันทีก่อนพาไปทำงาน


วันนี้ก็เริ่มขึ้นอีกแล้ว 




“หยางหยาง วางมือนายจากเสื้อตัวนี้ฉันจะใส่” อี้เฟิงเอ่ยตั้งต้นเสียงขรึมตีหน้าดุ อายุมากกว่า แก่กว่า วุฒิภาวะก็สูงกว่า(มั้ง) ใบหน้าหวานที่ตีหน้าดุหันไปประจันหน้ากับคนรูปหล่อรุ่นน้องที่ยืนอยู่ห่างไม่กี่ก้าว ต่างคนต่างไม่ยอมกัน ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเสื้อตัวที่เล้งไว้จากราวแขวนเสื้อ



อ้อ... ทั้งคู่ที่อยู่คอนโดห้องเดียว ก็ยังใช้เสื้อผ้าจากสปอนเซอร์มากกว่า 20 แบรนด์ที่ส่งผ่านมาทางทีมงานตู้เดียวกัน บางทีจะซ้ำกันบ้าง วันหนึ่งเซตนี้มาอยู่บนตัวหยางหยางอีกอาทิตย์หนึ่งตัวนี้ไปอยู่ที่หลี่อี้เฟิง มันก็ไม่แปลก ก็พวกเขาก็ยังทำงานอยู่ภายใต้หัวหน้าคนเดียวกันอยู่กลาย ๆ แม้ทีมของหยางหยางจะแยกออกมา มันก็แค่เหตุผลทางการเงินเท่านั้น


ทุกอย่างระหว่างทั้งคู่ หยางหยางและอี้เฟิงยังเหมือนเดิมทุกประการ



รวมทั้งเรื่องการศึกเรื่องเสื้อผ้าที่เป็นเรื่องประจำที่เกิดขึ้นทุกวัน จนผู้จัดการเบื่อจะแยกมวยแล้ว



“เอาอีกแล้วหรอพวกแกเนี่ย..” เสียงผู้จัดการหัวหน้าใหญ่เอ่ยขึ้นหลังเปิดประตูเข้ามาในคอนโดห้องสูทใหญ่ ก็พบกับภาพเดิม ๆ ก่อนที่ผู้จัดการใหญ่จะปิดประตูไล่หลังไป แล้วตะโกนข้ามไหล่มาว่า ให้เวลาอีก 15 นาทีให้ทะเลาะเรื่องเสื้อผ้ากัน ไม่งั้นจะโดนหักเงิน



“พี่ ตัวนี้ผมยังไม่เคยใส่เลยนะครับ”
“แต่ฉันอยากใส่อีกรอบ นายเป็นน้องจะต้องเคารพรุ่นพี่แบบฉัน “


หยางหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่กับตัวเอง ก่อนเงยมองหน้าหวานที่ดูมีชัยตรงหน้า อี้เฟิงคิดว่าเขาก็คงชนะศึกในรอบนี้ ส่วนมากเรื่องศึกเสื้อผ้าเขามักจะชนะ บางทีที่หยางหยางชนะก็เพราะผู้จัดการใหญ่มาจัดการให้ แต่อี้เฟิงก็จะแสดงฤทธิ์เดชจนผู้จัดการใหญ่ต้องปวดหัว เป็นการแก้แค้นที่ไม่ตามใจ


“พี่ครับ”
“ว่าไง”
“ผมใส่ตัวนี้แค่วันนี้ วันหลังมันจะเป็นของพี่”
“แต่ฉันจะใส่วันนี้”



อี้เฟิงยันยืนเป็นมั่นหมอกเสียงหวานพูดดังฟังชัด แถมมีสเตปการพูดเป็นจังหวะเว้นวรรคให้ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ บวกกับใบหน้าหวานที่เลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าหล่อเหลาที่ยืนจ้องอยู่ก่อน


“เฮ้อ”


หยางหยางถอนหายใจอีกครั้ง



แต่ครั้งนี้เขาไม่ยอมหรอก การถอนหายใจรอบนี้ไม่ใช่เพื่อการยอมแพ้ แต่เขามีแผนและตัดสินใจจะทำมัน แต่ก็คงต้องเสี่ยงกับฤทธิ์เดชของรุ่นพี่ที่ช่างเอาแต่ใจแบบนี้



“ก็ได้ครับ”
“ดีมากไอ้น้อง”
“แต่ผมมีเงื่อนไข”



อี้เฟิงเลิกคิ้วเอียงคอสงสัย มือข้างหนึ่งที่คว้าเสื้อตัวที่ชอบอยู่ในมือก็ยังคว้าไว้อยู่แต่อีกข้างที่ว่างกลับโดนพันธนาการ และยังไม่ทันตั้งสติคิดต่อ ร่างโปร่งของอี้เฟิงก็เปลี่ยนตำแหน่งยืน



“เห้ย!



หยางหยางกับใบหน้ายิ้มเยาะที่อี้เฟิงเห็น ตรงหน้า ใกล้มาก


ใกล้แบบจมูกชนกัน



“จะทำอะไร!




หยางหยางไม่ได้บอกต่อ เงื่อนไขที่เขาเกริ่นไว้กับอี้เฟิงอย่างที่คิดก็คือ เขาจะใส่เสื้อตัวนี้ให้อี้เฟิงเองไงล่ะ




“เห้ย หยางหยาง หยุดนะโว้ย!



เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อเชิ้ตสีกรมท่า ไม่มีลายมากมายนัก จะมีแค่ช่วงสาบเสื้อด้านหลังนิดหน่อยเป็นจุดขาว กับตรงปกเสื้อ ซึ่งตอนนี้มันอยู่ในมือของหยางหยางแล้ว อี้เฟิงที่ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ถูกหยางหยางต้อนจนชิดมุมสุดผนังถอยหนีไม่ได้ แขนแกร่งของหยางหยางดักทางไว้ อีกฝั่งก็เอาขายันไว้อีก


“หยางหยาง!
“ผมใจดีช่วยพี่ใส่นะเนี่ย”




 หยางหยางจะเอาคืนเขาด้วยวิธีกวนประสาท อี้เฟิงคิดไม่ถึงจริง ๆ ไว้จะฟ้องหัวหน้าให้เข็ดหลาบแต่ตอนนี้อี้เฟิงจะต้องพ้นจากวงแขนของหยางหยางที่กลายเป็นหมาป่าล่าเนื้อ(แมว) ไปให้ได้เสียก่อน


“อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะโว้ย”
“พี่กวนประสาทผมชะมัด”
“นี่นาย!
“พี่ก็เหมือนกันนั่นล่ะ คนอะไรเอาแต่ใจเป็นบ้า!



อีกฝั่งต่อว่าเขาเหมือนอัดดฃอั้น แม้อี้เฟิงจะแอบตกใจ สลดไปนิดหน่อย แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อ อี้เฟิงก็คิดกลับกัน อยากตบไอ้หมาป่านี่ไปไกล ๆ รังสีอันตรายของหมอนี่ไม่ใช่น้อย ๆ เลย

“เอ่อ....ครั้งนี้พี่ไม่ใส่แล้ว นายเอาไปเลยหยางหยาง “



หยางหยางยิ้มมุมปาก มองแล้วจากสายตาของหลี่อี้เฟิง รนะดับความร้ายกาจทะลุปรอทไปเลย แม้อี้เฟิงจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เริ่มเหงื่อตกเสียแล้ว และ...



เขาก็ลืมไปว่า ไปหมาป่าตรงหน้าเขาเนี่ยก็นุ่งกางเกงสแลชดำขายาวอยู่ตัวเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าเพราะรอเสื้อตัวนี้ที่ยื้อแย่งกันอยู่ไม่จบศึก



ที่เขาว่ากันว่า ไอ้บ้าหยางหยางอันตราย จากคำของพี่ช่างแต่งหน้าสาว ๆ หรือพี่ทีมงานในกองถ่าย หรือแม้กระทั่งนักข่าวผู้หญิง ..ที่เขาบอกว่า น้องหยางหยางอันตรายนะคะ นี่คือแบบนี้เองน่ะหรือ



แต่เขาเป็นผู้ชายนะโว้ย!



“ผมใส่ให้พี่ดีกว่า ผมไม่อยากได้เสื้อตัวนี้แล้ว”





หยางหยางมองใบหน้าหวานของแมวน้อยในวงแขนตัวเองแล้วยิ่งชอบใจไปกันใหญ่ ปกติหลี่อี้เฟิง รุ่นพี่ของเขาคนนี้ฤทธิ์เยอะ แรงเยอะ ศึกกันทีไรก็โดนฟาดมาสองสามเปรี้ยงทุกที ความโกรธเคืองสะสมทุกวัน ในครั้งแรกที่เขาคิด ก็แค่คิดเพียงว่าจะต้องยอมรุ่นพี่ไป แต่มากครั้งเข้า หยางหยางก็คิดว่า รุ่นพี่คนนี้เอาแต่ใจเป็นบ้า อย่างที่เขาตะโกน(เบา ๆ ) ใส่คนหน้าหวานช่างเอาแต่ใจไปเมื่อครู่นี้ แอบเห็นว่าก็มีสลดไปบ้าง แต่ก็กลลับมามองเขาด้วยสายตาแมวดุอีกรอบ เอาเรื่องทีเดียว



เป็นรุ่นน้องแต่ก็อยากให้รุ่นพี่ลดฤทธิ์เดชลงบ้าง หยางหยางที่โตมากบัความเป็นระเบียบเรียบร้อย กับความเอื้อเฟื้อของหมู่ทหาร แบ่งปันซึ่งกันและกัน คนที่เอาแต่ใจขนาดแย่งเสื้อกันทุกเช้าแบบนี้ เขาก็เพิ่งเคยพบเคยเจอ




แต่หยางหยางก็นึกแปลกใจตัวเองที่ยังทนอยู่กับคน ๆ นี้ ภายใต้ชายคาคอนโดเดียวกันเป็นปี ๆ ได้ โดยไม่คิดจะขอย้ายออกไปซักนิด



ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่หยางหยางจะขอทำเรื่องย้ายไปอยู่ข้างนอกคนเดียว หรือแยกห้องไปที่อื่น คอนโดนี้ม่ครบครันทุกอย่าง ห้องแยกสองฝั่งสองโซนแต่ก็มีโซนที่ต้องใช้ร่วมกันอย่างห้องนั่งเล่น บาร์ ห้องครัว เป็นต้น แต่ถ้าหยางหยางขอไปอยู่ห้องใหม่ ผู้จัดการใหญ่ก็อนุญาตได้ไม่มีปัญหา เพราะเขาเองก็โตที่จะรับผิดชอบชีวิตได้แล้ว แต่ก็อย่างที่คิด..เขาไม่เคยคิดขอย้ายเลย




ยอมมาทะเลาะกับแมวตัวนิ่มเอาแต่ใจทุกวันแบบนี้


หยางหยางเองก็ไม่เข้าใจ




อ้อ.. แมวตัวนิ่ม ? ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นน่ะหรือ ?



เพราะตอนนี้ตำแหน่งของวงแขนหยางหยางเปลี่ยนไปเป็น รวบคนเอาแต่ใจมาอยู่ในกอดของเขาแล้วยังไงล่ะ



“หยางหยาง ปล่อย!
“อะไรกันเฟิงเกอ ก็ผมจะแต่งตัวให้ไง พี่อยากได้เสื้อตัวนี้ใช่มั้ยล่ะ”



ไม่แค่รวบคนตัวนิ่มเอาแต่ใจมากอดไว้เท่านั้น หยางหยางลากพาอี้เฟิงไปตรงโซฟาที่อยู่ตรงริมผนังของห้องแต่งตัวหรูหราของคอนโด กดไหล่ด้วยแรงที่มากกว่าเพราะการออกกำลังของตนให้อี้เฟิงนอนเอนราบไปกับพื้นที่นั่งของโซฟา



“ดะ..เดี๋ยว ว้อย”




อันตรายจริง ๆ ด้วย! หลี่อี้เฟิงพูดกับตัวเองในใจ พร้อมกับเปิดสัญญาณเตือนอันตรายในใจตัวเองไปด้วย แปะหน้าผากให้ไอ้หมาป่าบ้านี่ว่าเป็นคนอันตรายที่สุดในชีวิตที่หลี่อี้เฟิงไม่ควรเข้าใกล้และไปเข้าใจอะไรมัน



“นอนนิ่ง ๆ ล่ะ”
“นิ่งกับป้าแกสิวะ”



เถียงกันอีกประโยคสองประโยค อี้เฟิงก็ออกแรงดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของหยางหยาง แต่ไร้ประโยชน์ในที่สุด เพราะอีกคนแรงเยอะจนอี้เฟิงคาดไม่ถึง แถมยังเอาตัวโต ๆ ของตัวเองมาคร่อมร่างของอี้เฟิงไว้อีก  ไม่พ้นเอเรียอันตรายนี้ซักที ใบหน้าหวานหันซ้ายขวามองช่องที่พอจะรอดได้ แต่มีหรือว่ารอดพ้นสายตาหยางหยาง


หาไม่เจอ... อี้เฟิงโอดครวญในใจ หาทางหนีไม่ได้ แถมระยะของหยางหยางอยู่ใกล้กันจนเห็นสิวบนหน้ากันเลย อี้เฟิงจึงงัดความสามรถพิเศาเฉพาะเทพบุตรแห่งชาติเท่านั้นที่ทำได้และกล้าทำ


“ปล่อยฉันเถอะนะ นะ ๆ ครั้งหน้าจะไม่เอาแต่ใจ”



หยางหยางหยุดสนิท.... จากที่ใบหน้าหล่อนั้นกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ พร้อมมือข้างหนึ่งที่จงใจจะปลดสายเสื้อคลุมที่รัดไว้ตรงช่วงเอวของอี้เฟิง ทุกการกระทำหยุดชะงัก ดวงตาของหยางหยางเปลี่ยนแววตาไปเล็กน้อย ก่อนกลับมาอันตายแบบเดิม


“ฮึ”



ฃายหนุ่มรุ่นน้องทำแค่เพียงหัวเราะฮึแค่คำเดียวออกมา ถึงแม้ว่าจะถอยร่นระยะ แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้อี้เฟิงลุกจนโซฟาไปอยู่ดี ตอนนี้หยางหยางยังคร่อมร่างอยู่ไม่ลุกไป อี้เฟิงนิ่วหน้าขมวดคิ้ว ที่ทำไปเมื่อครู่ คือความสามารถเฉพาะตัวเลยคือ ลูกอ้อนที่ใช้กับทุกคนและได้ผลทุกราย


มันจะยกเว้นในกรณีของหยางหยางรึเปล่า



“ครับ ๆ ยอมแล้ว ลูกอ้อนแบบนี้ของพี่ มันก็ใช้กับผมได้ผลนะล่ะ”




เยส!  อี้เฟิงร้องดีใจในใจ รู้งี้เขาใช้ลูกอ้อนกับหยางหยางไปตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง ถึงจะคิดว่าใช้บ่อย ๆ มันก็ไม่ดี แต่รอบนี้ ศึกนี้อี้เฟิงชนะอีกตามเคย


“...ละลุกออกไปจากตรงนี้ซักที ฉันจะไปแต่งตัว”
“อยู่แบบนี้ซักพักนะครับ”




ครั้งนี้หยางหยางไม่เข้าใจตัวเอง เหมือนกับอีกคนที่เมื่อบอกแบบนี้ไปก็ตีหน้างงใส่คนพูด



ไม่แน่ใจเหมือนกัน...แต่ใกล้กับหลี่อี้เฟิงขนาดนี้ ใจเขาเต้นเร็วชะมัด ขออยู่ไปอีกซักพักแล้วกัน ขอดูว่ามันอาการเป็นอย่างไร



ใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า





“เอ่อ...ทำไมหรอ”
“ให้ผมแน่ใจบางอย่างก่อนนะ”



แววตาอันตรายแบบเมื่อก่อนหน้าหายไปแล้ว เหลือเพียงความใจดีอีกโหมดของหยางหยาง ตอนนี้อี้เฟิงเลยผ่อนคลายได้นิดหน่อยแม้ยังอยู่ในวงแขนของหยางหยาง ร่างสมส่วนที่คร่อมอยู่ด้านบนร่างของอี้เฟิงอยู่ในระยะอันตราย ตากลมเงยมองใบหน้ารุ่นน้องที่อยู่ด้านบน เขาไม่เข้าใจหยางหยาง แล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองด้วยที่ยอมให้เขาค้างอยู่ในท่าทางอันตรายที่ผู้จัดการจะเปิดประตูมาเห็นเมื่อไหร่ก็ได้แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน



ถ้านานกว่านี้ อี้เฟิงคิดว่ามันไม่ดีแน่ ๆ
อย่างน้อยก็ต่อหัวใจของเขาเอง
จะหยุดเต้นอยู่แล้ว



“ว่าไง นายอยากแน่ใจอะไร”
“อืม...”


เสียงทุ้มเพียงแค่เปล่งเสียงครางต่ำออกมา เหมือนกำลังตัดสินใจ เขาหลับตาด้วย อี้เฟิงลอบมองอยู่ครู่ใหญ่ พลางคิดไปว่าหมอนี่โคตรหล่ออย่างที่หลายคนว่า จนในที่สุดหยางหยางก็เอ่ยอะไรบางอย่าง


“ตัวพี่หอมดี”



คนละอย่างกับที่อยากจะพูดออกไป



หยางหยางกลั่นความแน่ใจคำตอบสุดท้ายว่า เขาต้องหวั่นไหวจนเผลอตกหลุมรักแมวน้อยตัวนิ่ม อย่างรุ่นพี่หลี่อี้เฟิงเสียแล้วแน่ๆ
ทั้งเอาแต่ใจ ดื้อแพ่งแบบนี้ แต่เมื่อครู่ลูกอ้อนตาแป๋ว หยางหยางสุดจะต้านทาน ใจกระตุกและเต้นถี่รัวจนน่ากลัว


ในที่สุดเขาก็เข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมถึงยอมอยู่แย่งเสื้อกับหลี่อี้เฟิงทุกวัน

เขาเผลอไปตกหลุมรักแมวตัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
หรืออาจจะเป็นแรกที่ได้สบตากลมโตใบหน้าน่ารักนั่นกัน



“ขอโทษที่แกล้งพี่แรงไปหน่อย แต่พี่ก็เลิกเอาแต่ใจซักที”  พูดจบหยางหยางก็ลุกจากที่เดิมไป จากที่คร่อมร่างอี้เฟิงอยู่ก็ไปนั่งปลายโซฟา อี้เฟิงจึงขยับไปอีกฝั่งของโซฟาตรงข้ามกับหยางหยาง ชืดมุมไปเลย ทำยังไงก็ได้ให้ห่างจากหยางหยางที่สุด และเมื่อหยางหยางบอกทั้งขอโทษและคำพูดที่ดูเหมือนละลาบละล้วงรุ่นพี่ แต่เขาคิดว่าเขาสนิทกับหลี่อี้เฟิงในระดับที่จะกล้าพูดอะไรแบบนี้ต่อกันได้ แต่ก็กลัวใจอีกคนว่าจะโดนสวนกลับมา เขาว่าอีกฝ่ายแบบนี้ไปสองรอบแล้ว


“เออ รู้แล้ว จะไม่ทำแล้ว”



คนหล่อแปลกใจเลิกคิ้วเอียงใบหน้ามอง อี้เฟิงเห็นเหมือนอีกคนจะไม่เชื่อคำเขาก็งอนค้อนใส่


“ก็อย่างที่พูด จะไม่เอาแต่ใจแล้ว โอเคมั้ยล่ะ ไม่แย่งเสื้อนาย ไม่ขโมยขนมนายด้วย”



อี้เฟิงสารภาพความผิดอีกอย่างที่ทำเป็นประจำออกมาให้หยางหยางฟัง พออีกฝ่ายได้ฟังก็ร้องอ๋อเบา ๆ ออกมา เพราะรู้ตัวการคดีขนมที่หายไปของตนแล้ว แต่อี้เฟิงก็หลบเบี่ยงตัวออกมา ก่อนที่หยางหยางจะกดตัวเองลงไปนอนกับพื้นโซฟาอีก


“พี่นี่มัน...” น่ารักเป็นบ้า หยางหยางละบางคำไว้ในใจแม้อี้เฟิงจะทำแสบกับเขาไว้เยอะ แต่รุ่นพี่คนนี้น่ารักจนเขาอยากอยู่ใกล้ไปนาน ๆ นี่ล่ะ คือเหตุผลที่เขาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับหลี่อี้เฟิงแม้จะเจอเรื่องยุ่ง ๆ แทบทุกวัน


“อะไรเล่า ก็สารภาพแล้วไง แล้วตกลงเสื้อน่ะยังไง ให้ฉันหรือนายจะไปใส่เอง”
“พี่เอาไปเหอะ รีบไปเลย ก่อนผมจะอยากทำอะไรพี่อีกรอบ”
“ไอบ้า!



อี้เฟิงรีบคว้าเสื้อที่ยื้อแย่งกันมาแล้ววิ่งออกจากตรงหน้าไป วิ่งเข้าห้องตัวเอง ปิดประตูไล่หลังปังใหญ่ หยางหยางที่มองตามไปก็คิดตามทุกสเตปก้าวของหลี่อี้เฟิง


“ทำไมฉันถึงมองไอคนจอมยุ่งแบบหลี่อี้เฟิงว่าน่ารักไปได้วะเนี่ย”  แล้วเขาก็หัวเราะออกมา


อีกอย่างหนึ่ง ตอนที่หลี่อี้เฟิงอยู่ใต้ร่างเขา ระยะใกล้แค่นั้น ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายก็เถอะ..ถ้าเขาไม่อดใจ จะทำยังไงแมวตัวน้อยก็ไม่รอดมือเขาอยู่ดี รอบนี้เขาก็จะปล่อยให้ดีใจไปก่อนแล้วกัน









“ให้ตาย  ๆ  “ อี้เฟิงที่รีบวิ่งเข้ามาในห้อง รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย (และมิดชิด) ทันทีที่เข้ามา ก่อนจะเอาหัวปักหมอนไปร้องตะโกนเอาความในใจออกมา


“บ้าจริง เขินโว้ย” แม้ตะโกนดังแต่เสียงหวานที่เปล่งออกมาก็ไม่น่าจะทะลุออกจากห้องไปได้ เพราะอี้เฟิงตะโกนใส่หมอนอู้อี้จนแทบฟังไม่เป็นคำหากใครมาได้ยิน เมื่อจบก็ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงบนเตียง ใบหน้าแดงก่ำเป็นลูกเบอร์รี่



“อันตราย หยางหยางมันอันตรายจริง ๆ ด้วย”


อี้เฟิงนึกไม่ออกเลยว่าถ้าหมอนั่นไม่หยุดการกระทำตัวเองและยังคร่อมร่างของเขาเอาไว้ ต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้น



จะผู้หญิงผู้ชายก็ช่าง แต่อยู่ใต้ร่างหมาป่าล่าเนื้ออย่างหยางหยางแบบเมื่อก่อนหน้านี้ เขาต้องโดนทำอะไรบางอย่างแน่ ๆ


หลายคนจะจินตนาการไม่ออกเลย ถ้าไม่อยู่สถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง แต่หยางหยางในสถานการณ์เมื่อครู่น่ากลัวจนอี้เฟิงไม่แม้แต่จะกล้าขัดขืน หรือตะโกนอะไร แววตา ท่าทาง รังสีที่เปล่งออกมา ทำเอาอี้เฟิงต้องขดม้วนตัวให้เล็กที่สุด เป็นการปกป้องปราการสุดท้าย ถ้าไม่ไหว หรืออีกฝ่ายไม่หยุดก็คงมีอะไรต่อไป


ไม่รู้อีกฝ่ายจะรู้ตัวรึเปล่าว่าแผ่รังสีอะไรออกมาให้คนอื่นเขากลัวตัวเองขนาดไหน อี้เฟิงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนลุกไปแต่งเผ้าผมให้เรียบร้อยไปพลาง ๆ


เมื่อครู่นี้ เอาจริง ๆ ถ้าเข้าจะดิ้นหนีให้ถึงที่สุด ก็น่าจะรอดไปได้ ถีบให้หยางหยางจุดไปเลยก็ทำได้ แต่อยู่ ๆ เขาก็ไม่อยากทำ กลับกลายเป็นรอดูท่าทีของหยางหยางเสียเองทั้งที่กลัวเขาจะทำอะไรตัวเองมากขนาดนั้น อี้เฟิงคิดแล้วก็ไม่เข้าใจตัวเอง และ ณ ขณะที่ลุ้นเหตุการณ์ลำดับถัดไปในช่วงเวลาก่อนหน้า หัวใจของหลี่อี้เฟิงคนนี้แทบหยุดเต้น เพราะชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ทำให้เขามีความรู้สึกเปลี่ยนอย่างที่ไม่เคยคิดว่ามันจะใช่และเป็นไปได้



แต่เขาขอไม่นิยามมันก่อนแล้วกัน แต่ให้รับรู้แค่ว่า หยางหยางแทบทำให้หัวใจของหลี่อี้เฟิงหยุดเต้นเมื่อเข้าใกล้กันก็พอ










“พวกแกน่ะ ฉันให้แต่งตัว 15 นาที ไม่ใช่ 15 ชาติ บ้าจริง ๆ “ รอนานเข้าผู้จัดการก็ต้องรีบเข้ามาตามอีกที ครั้งนี้เพื่อป้องกันการศึกในห้องนี้ เขาเพียรไปหาเสื้อที่เหมือนกันแบบเดียวกันไซส์เดียวกันอีกตัวมาให้ผู้พ่ายแพ้ใส่ ผู้จัดการก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นหยางหยาง พอเข้ามาก็เลยโยนเสื้อให้หยางหยางไปและสั่งให้ไปแต่งตัวให้เรียบร้อย เตรียมตัวออกไปทำงาน




“ไว้วันหลังจะให้สปอนเซอร์เอาเสื้อมาให้อย่างละสองเซต เครื่องประดับด้วย รองเท้า หมวก ทุกอย่าง พวกแกจะได้ไม่ต้องแย่งกันแบบนี้อีก เอาให้เป็นแฝดจริง ๆ กันไปเลยดีมั้ย ให้ตายนี่ฉันเป็นเมเนเจอร์ดาราหรือพี่เลี้ยงเด็กว่ะเนี่ย...” และอีกหลายร้อยคำที่ผู้จัดการใหญ่บ่นก่อนเดินออกไปจากห้อง ทั้งสองคนที่แต่งตัวเรียบร้อย(แล้ว) รีบเดินตามไป ก่อนที่ผู้จัดการใหญ่จะองค์ลงโมโหเกรี้ยวกราดกว่าเดิม หยางหยางเดินตามหลังมาในขณะที่อี้เฟิงรีบจ้ำอ้าวตามหลังผู้จัดการใหญ่ไปติด ๆ เหมือนตั้งใจทิ้งระยะห่างกับหยางหยางมากกว่าเดิมอย่างที่ทำอยู่ทุกวันที่จะเว้นแค่ไม่กี่ช่วงตัว



แต่หยางหยางอยากคุยด้วย เลยรีบก้าวให้ไวกว่า คว้าแขนพี่ร่วมห้องให้มาเดินข้างเขา อีกคนร้องอุทานออกมานิดหน่อย แต่เบาไว้ กลัวผู้จัดการใหญ่จะเอ็ดขึ้นมาอีก เพราะแค่ทุกวันที่ทะเลาะกันเขาก็ปวดหัวด่ากราดใส่เขาสองคนทุกวันอยู่แล้ว



“อะไรของนายเนี่ย”
“ผมแค่อยากให้พี่มาเดินข้าง ๆ ผม”
“ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย”
“ก็ผู้จัดการใหญ่แกอยากให้เราเป็นแฝดกันไง”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”
“เกี่ยวกับสิครับพี่ เอ้า เดี๋ยวสิ สร้อยข้อมือพี่ยังไม่มีเลย เอาเส้นนี้ของผมไปใส่ ทีนี้วันนี้เราก็จะแต่งตัวคล้ายกันมากเลยนะ ใกล้ความเป็นแฝดไปอีกขั้น”
“คิดอะไรตลกจริง”


อี้เฟิงค่อนขอดแต่ก็รับสร้อยข้อมือจากหยางหยางมาใส่ เมื่อถึงขั้นล่าง อี้เฟิงและหยางหยางลงจากลฟต์มา ทีมงานของทั้งสองฝั่งดุเหมือนจะประหลาดใจเล้กน้อย เพราะไม่แน่ใจว่าเด็กคนไหนเป็นใคร เดี๋ยวจะรับผิดรับถูกไปส่งผิดสตูดิโอ คนไหนหยางหยาง คนไหนหลี่อี้เฟิง พวกเธอจะต้องเพ่งมองให้ดีแล้ว เพราะสองคนนี้คล้ายกันจริง ๆ



“ไปก่อนนะครับ”
“เออ”

ผู้จัดการใหญ่เดินมาส่งที่ลานจอดรถของอาคาร ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันขึ้นรถของทีมงานตัวเองไปทำงาน กันคนละที่ของเมือง ก่อนปิดประตูรถ หยางหยางเอียงมองรุ่นพี่นิดหน่อย พบว่าเขากำลังง่วนในการใส่สร้อมข้อมือที่ตนเพิ่งให้ไปเมื่อครู่ หยางหยางจึงบอกให้พี่ทีมงานของตนรอซักครู่ก่อนวิ่งไปหารุ่นพี่ของตนที่อยู่บนรถอีกคันตรงข้าม




“มาครับ ผมช่วย”



อี้เฟิงเห็นรุ่นน้องวิ่งมาก่อนแล้วก็ปล่อยให้เขาทำตามใจ พอใส่เสร็จอีกฝ่ายก็ยังไม่ละไปจากข้อมือของตัวเองก็ประหลาดนิดหน่อยแต่เขาไม่ถาม


“พรุ่งนี้เป็นเสื้อยืดขาว แจ็คเกตดำ กับรองเท้าอดิดาสรุ่นใหม่นะครับ เครื่องประดับก็เป็นสร้อยข้อมือเส้นเดิมของวันนี้แล้วกัน”
“เออ”



อยู่ ๆ รุ่นน้องก็เสนอแพลนการแต่งตัวของพรุ่งนี้มาให้ แต่แปลกที่อี้เฟิงรับคำเข้าใจดิบดี และหยางหยางก็ถอยกลับไปที่รถตัวเอง แต่ก่อนจะหันหลังกลับไป รุ่นน้องจอมกวนประสาทส่งยิ้มแถมหยักคิ้วใส่ให้เพิ่มความกวนคูณสองส่งมาให้ด้วย อี้เฟิงแค่ยิ้มตอบและส่งค้อนเบะปากอย่างที่ทำบ่อย ๆ ให้ไปเท่านั้น





“งั้นวันนี้ สร้อยข้อมือนี่ ก็ขอเก็บไว้ ใส่ไม่ต้องถอดเลยแล้วกัน”











********  END Twin ~*************

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

[SF] การเรียก - หยางเฟิง / ผิงเสีย (วันเกิดเทียนเจินอู๋เสีย)



ปล . วันนี้วันเกิดเทียนเจินอู๋เสีย นายน้อยของเรา อาจจะหลุดไปหน่อย แต่ขอบคุณที่อ่านค่ะ งง ๆ กันตรงไหน ก็บอกกันนะ







มืดจัง...

อี้เฟิงรู้สึกดังนั้น จึงได้พูดออกมาตามใจคิด ตอนนี้ดวงตาของเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่หลังอุทานได้ไม่นาน สายตาของเขาปรับการมองเสียใหม่ ในที่สุดก็มีแสงหนึ่งจากที่ไกล ๆ และเพิ่มเติมคืออี้เฟิงรู้สึกตัวแล้วว่าตอนนี้เขาอยู่ในอิริยาบถยืน อีกทั้งยังอยู่ในที่มืด อี้เฟิงพยายามไล่ตามแสงที่อยู่ปลายทางสุดสายตา เดินไปให้ใกล้แสงนั้นแม้ว่าจะมองไม่เห็นปลายเท้าของตัวเอง เขาพยายามเดินไปอย่างเชื่องช้า กลัวว่าจะมีอะไรในความมืดที่เขาไม่รู้โผล่ออกมา แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุด ก็ถึงปลายเท้าที่แสงนั้นอยู่ มันจ้าจนอี้เฟิงต้องหลับตาลง และเมื่อรู้สึกว่าดวงตาคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องแสงสว่างแล้ว เขาลืมตา ตรงหน้าไม่ไกลนั้น




“หยางหยาง...”




เป็นคนที่เขารู้จัก ผูกพันและชิดใกล้ เป็นยคนที่โหยหาและคิดถึงอยู่เสมอมา แต่ในครั้งนี้




“หยางหยาง..”



เรียกอีกครั้ง และอีกครั้ง



“หยางหยาง”




เจ้าของชื่อ นายคนนั้น ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ยอมหันมาหา อี้เฟิงรู้ว่านั่นเป็นชื่อของคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลตา ทั้งรูปร่างสมส่วนสูงโปร่ง หล่อเหลาจนตราตรึงทั้งตาและดวงใจ ในตอนนี้ใหบ้นาของเขาดูไร้ความรู้สึก อี้เฟิงไม่เข้าใจกับอากัปกิริยานี้ของอีกคน ทั้งที่ทุกครั้งที่อี้เฟิงเรียกชื่อ เจ้าของชื่อนี้จะต้องมีปฏิกิริยาอีกแบบหนึ่งกลับมา ไม่ใช่นิ่งสนิทแบบนี้



“หยางหยาง”



และไม่นานจากนั้น หลังจากอี้เฟิงเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำ ๆ


“ทำไมนายเรียกฉันแบบนั้น”



อะไร ?



อี้เฟิงไม่เข้าใจประโยคเมื่อครู่ของคนตรงนี้


อีกฝ่ายตอบกลับอี้เฟิงมาด้วยน้ำเสียงโทนต่ำทุ้มบาดใจ แต่ไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ไม่เหมือนคนที่หลี่อี้เฟิงเคยรู้จัก


“นาย..นี่นาย”


อี้เฟิงเริ่มขมวดคิ้ว เมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นคนแปลก



“ทำไมนายเรียกฉันแบบนั้น อู๋เสีย”




“อู๋เสีย ?”





หยางหยางเรียกเขาว่าอู๋เสีย ตรงหน้าเขา ? เมินโหยวผิงหรือ?







“นาย...จางฉี่หลิง เสี่ยวเกอ..หรือ?”



คนตรงหน้าในตอนนี้ ตอบสนองกับชื่อจางฉี่หลิงโดยการหันมาทางจุดที่อี้เฟิงยืนอยู่ มองหน้ากันจนเต็มสายตา และโดยอัตโนมัติที่อี้เฟิงได้ยินคำว่าอู๋เสีย เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยจากปากออกมา เรียกเขา อี้เฟิงก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมกันนะ ? ในตอนนี้ เขาได้ยอมรับว่าชื่อ อู๋เสีย นั้น เป็นชื่อของเขาไปเสียแล้ว

“อู๋เสีย”


เขาคือหลี่อี้เฟิง ไม่ใช่หรือ แต่เมื่อได้ฟังคน ๆ นี้เรียกเขาว่าอู๋เสีย เขากลับยิ้มให้ทันที และอีกฝ่ายที่เขาพร่ำเรียกว่า หยางหยาง หมอนั่นกลับตอบสนองเขาด้วยชื่อจางฉี่หลิง




จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที แสงสว่างจุดเล้กที่มองเห็นกันแค่ช่วงบนของร่าง ตอนนี้มันแผ่ไป สังเกตและมองเห็นกันได้จนเต็มตา อีกฝ่ายแต่งตัวด้วยชุดฮู้ดน้ำเงิน กางเกงสีดำที่ดูทะมัดทะแมง และยังไม่รวมกับดาบดำดูหนักแต่ล้ำค่าที่พาดสะพายอยู่ด้านหลัง


ส่วนหลี่อี้เฟิงที่ยอมรับโดยดุษฏีว่าตนชื่ออู๋เสีย เมื่อมองดูตัวเอง ชุดของเขาก็เป็นชุดที่คุ้นตา แจ็คเกตดำ กางเกงสีดำเช่นกัน ดูทะมัดทะแมงแต่งตัวเหมือนคนจะไปเดินทางไกล ขึ้นเขาลงห้วยเดินป่า มีไฟฉายในมือ


อ๋อ ลำแสงที่ส่งอจนสุดปลายสายตามาจากไฟฉายกระบอกนี้ มันใหญ่ทีเดียว มือของเขาจับเต็มมือก็ยังไม่รอบดีเท่าไหร่  ยิ่งเดินเข้ามาใกล้จุดที่อยากมา แสงไฟยิ่งส่องสว่าง ไฟจากไฟฉายกระบอกนี้ในมือ ไปตกกระทบที่ร่างสูงโปร่งในชุดฮู้ดน้ำเงินกางเกงดำที่อยู่ไม่ไกล



“นาย คือ..เสี่ยวเกอ หรือ ?”
“ใช่”
 “จางฉี่หลิง ? เสี่ยวเกอ?”



เมื่อถามอีกครั้ง จางฉี่หลิงที่อี้เฟิงเรีนกเขาว่าหยางหยางแต่เจ้าตัวคนนั้นไม่สนใจ เม้มปากเชิงสงสัย คล้ายว่าทำไมจึงต้องถามเขาซ้ำ ๆ เรื่องชื่อ เหมือนคนความจำเสื่อม ก็เพราะอี้เฟิงไม่เข้าใจ เขาคือหลี่อี้เฟิง และหมอนั่นที่ยืนอยู่ตรงนี้ คือหยางหยาง แต่เขากลับตอบสนองด้วยชื่อ จางฉี่หลิง หรือจะเป็นเสี่ยวเกอ ก็ตามแต่เถอะ



นี่เราอยู่ในโลกไหน ? อี้เฟิงที่รู้ตัวว่าตนคือหลี่อี้เฟิง กลับยอมรับให้ตนชื่ออู๋เสีย
เขางง งงมาก แต่หยางหยางที่เก๊กเป็นจางฉี่หลิงอยู่ตรงนั้นกลับไม่สงสัยอะไรเลย





“อู๋เสีย “
“ฉัน ..เอ่อ..หลี่อี้เฟิง นะ”
“นาย..อู๋เสีย”
“หา?..อะ..เอ่อ”




ไม่รู้จะเถียงอย่างไร ในใจมันสับสน เขาคือหลี่อี้เฟิง ยืนยันกับตัวและดวงใจแบบนี้ แต่อู๋เสีย..เมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อนี้ออกมา ก็กลับตอบสนองดีไม่แพ้กัน




จะชื่ออะไรก็แค่มีคนตรงหน้า เอ่อ หยางหยางหรือ? หรือ เมินโหยวผิง แต่ดีใจที่มีเขาอยู่ด้วย


แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกงง สงสัยว่าตนอยู่ที่ไหน




เท้าของเขาจึงเดินถอยหลังมา ขอปรับสมองและความคิดที่สับสน คิดว่าเขาจะลองดับไฟฉายในมือดู





แล้วในที่สุด จุดที่ยืนอยู่ก็มืดสนิทลง










“คุณ....ตื่นซักที”
“หา?”







ในทันทีที่  ที่นั่นมืด ไม่นานก็สว่างอีกครั้ง



เพราะอี้เฟิงลืมตา
เขาแค่ฝันประหลาด



“คุณฝันอะไรกันแน่ อี้เฟิง”
“ฉัน ?”






เมื่อปรับสมองและความสับสนในความคิดได้ เขารู้แล้วว่า นั่นคือฝัน ที่เหมือนจริงยิ่งกว่าอะไร




“ฉันพูดอะไรออกมาให้นายได้ยืนหรือเปล่า หยางหยาง”

คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตรงขอบเตียงในจุดที่เขานอน คือหยางหยาง เพราะหมอนี่ตอบรับชื่อนี้เมื่ออี้เฟิงเรียก และตอนนี้เขาคือหลี่อี้เฟิงแล้ว เขากลับมาเป็นหลี่อี้เฟิง





“คุณโอเคมั้ยน่ะ”
“ก็..เอ่อไม่เป็นไร แต่รู้สึกงง ๆ นิดหน่อย ฝันเหมือนจริงเกินไปจนงง“



หลังจากนั้นอี้เฟิงตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งและเล่าความฝันแปลก ๆ ให้คนที่นั่งทอดมองเขาด้วยความห่วงใยอยู่ข้างเตียงฟังทุกรายละเอียด บอกว่าในฝัน หยางหยางนั้นกลายเป็นจางฉี่หลิง เก๊กหน้าตาท่าทางเรียกชื่อหยางหยางก็ไม่ยอมหัน แต่ตอบรับชื่อจางฉี่หลิง หรือเสี่ยวเกอ แถมในฝันก็ยังเรียกเขาว่าอู๋เสีย ๆ แต่แปลกเหมือนกันก็คือ อี้เฟิงในฝันที่แม้ว่าจะรู้ตัวว่าตนคือ หลี่อี้เฟิง แต่กลับตอบสนองชื่อ อู๋เสีย เมื่ออีกฝ่ายเรียกอย่างเต็มใจ




เมื่อเล่าเสร็จ หยางหยางที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ตรงขอบเตียงก้มลงมาให้ใกล้ใบหน้าหวาน แล้วบอกเบา ๆ ด้วยเสียงทุ้มอันทรงเสน่ห์


“คุณคิดถึงผมเกินไปแล้วอี้เฟิง”
“ห๊ะ ? อะไรกันเล่า?!

อี้เฟิงไม่เข้าใจทีเล่นที่จริงของหยางหยาง บางทีหมอนี่ก็กวนเขาเหลือเกิน
“เก็บผมไปฝันแบบนี้ใช่แน่”
“เข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว!


หยางหยางส่งยิ้มให้ ขยับร่างเบียดนอนลงข้าง ๆ อี้เฟิงด้วย ตอนแรกเขาไม่ได้นอนในห้องนี้ เขานอนอยู่ด้านนอก วันนี้เขาขอทีมงานมาค้างกับหวานใจเสียหน่อย แต่ก็กลัวจะไม่ได้ไปทำงานกันในวันต่อไป ก็ขออดใจไว้ หยางหยางจึงขอไปนอนด้านห้องแยกเตียงกับอี้เฟิงไปเลย ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้งานการก็คงไม่ต้องทำ เพราะเขาไม่ทางทางปล่อยแมวน้อยน่ารัก ๆ ให้หลุดมือข้ามคืนไปได้แน่ ๆ แต่อยู่ ๆก็ได้ยืนเสียงละเมอมาจากในห้อง หยางหยางจึงเปิดประตูเข้ามาดู


“หยางหยางบ้างล่ะ จางฉี่หลิงด้วย เสี่ยวเกออีก ยังไงทั้งหมด นั่นก็รวมแล้วเป็นผม”
“ใช่ที่ไหน!
“ตอนคุณฝัน คุณจางฉี่หลิง ในฝันของคุณใบหน้าของเขาก็เหมือนผมในใช่มั้ยล่ะ”
“ก็..เออ”


อี้เฟิงไม่เถียง เขาวิเคราะห์ความสับสนของตนเพิ่มอีกนิดหน่อย จะอย่างไรในฝันก็คือหยางหยาง เขาคิดถึงหยางหยางมากขนาดไหนเชียว ถึงได้ฝันเป็นตุเป็นตะแบบนี้

“ในฝันคุณเป็นอู๋เสียด้วยนี่”
“ก็ใช่”
“ก็นั่นล่ะครับ ไม่ว่ายังไง คุณจะเป็นใครก็ตาม สุดท้ายคุณก็คือโลกทั้งใบของผมอยู่ดี ผมเองก็เหมือนกัน โลกทั้งใบของคุณก็เป็นผมใช่มั้ย”
“ฮี๊”


กวนไปหน่อยแต่ก็หวานใช้ได้ อี้เฟิงคิด คุณอู๋เสียนี่เจ้าที่แรงใช่ย่อย เขาจำได้ว่าก่อนหน้าจะนอน เขาสไลด์โทรศัพท์ดูสองสามที ก็ผล็อยหลับไป หลังจากหยางหยางส่งเข้านอนบอกฝันดีไปแล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของคุณอู๋เสีย ตัวละครและบทที่มีอิทธิพลที่สุดในชีวิตของหลี่อี้เฟิงคนนี้อีกตัว ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ คนที่เป็น โลกทั้งใบ ของหลี่อี้เฟิง

“จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ฝันร้าย แต่ก็ใจหวิว ๆ นิดหน่อย งง ๆ น่ะ เอ่อ ในฝัน เหมือนฉันจะกลายเป็นคุณอู๋เสียไปเลย ยังไงยังงั้น”


หยางหยางที่เอนลงนอนข้างอี้เฟิงแล้ว เอียงตัวพาดแขนแกร่งกอดเอวร่างนุ่มนิ่มไว้ ขยับตัวตามใจซุกที่ซอกคอ ขอสูดกลิ่นผิวหอมกลิ่นแป้งอ่อน ๆ

“ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ผมก็จะตามไปดูแลคุณ โลกทั้งใบ ของผม”
“อะหือ เอาไปสิบแต้ม “



เมื่อหยางหยางพูดจบประโยคนั้น อี้เฟิงนึกชอบใจในความเลี่ยนของคนที่กอดเขาอยู่เลยแจกแต้มสะสมให้ไป พร้อมกุมมือที่อีกฝ่ายกอดไว้ด้วย หยางหยางหัวเราะเบา ๆ ออกมา เขาเองก็จำได้ว่าวันนี้เป้นวันเกิดของคุณอู๋เสียก็เพราะแฟนคลับรีข้อมูลต่างในวันนี้มาให้เขาติดตามเยอะแยะ เตือนความจำเขาไปในตัว


“คุณอู๋เสียนี่ก็ของแรงเหมือนกันนะเนี่ย “
“ก็ว่างั้น ที่จริง จางฉี่หลิง บทของนายก็แรงไม่ใช่ย่อยนะ”


พูดจบก็หัวเราะกันสองคนกับความฝันที่แปลกประหลาดไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวน่า เพราะในนั้นมีหยางหยางอยู่

เอ๊ะ หรือว่า จางฉี่หลิง


แต่ช่างเถอะ จะเป็นใครก็ตาม และตัวเขาเองจะเป็นหลี่อี้เฟิง หรือ อู๋เสียก็ตาม  เราสองคนอยู่ด้วยกันก็พอแล้ว



เมื่อคิดได้ดังนั้น อี้เฟิงก็เริ่มออดอ้อนอีกฝั่งบ้าง จึงพลิกตัวไปซุกอกแกร่งร้องขอความอบอุ่นจากร่างสมส่วนนั้น อีกฝ่ายตามใจแมวน้อย หยางหยางโอบรอบเอวรั้งให้ร่างนุ่มนิ่มเข้ามาซุกแนบชิด




เขานึกประโยคเด็ดประโยคหนึ่งออก ก็จากนิยายเต้ามู่ปี้จี้นั่นล่ะ



“ฉันทบทวนดูความเกี่ยวโยงของฉันกับโลกใบนี้ ดูเหมือนเท่าที่เจอ ก็มีแต่นาย”




อี้เฟิงสัมผัสความเป็นจางฉี่หลิงได้จากหยางหยางตอนนี้ แค่หมอนี่ตอนนี้ก็แค่สวมบทบทบาท แต่เสียงที่ใฃ้พูดประโยคเมื่อครู่ ทำให้เขาคิดถึงจางฉี่หลิง เสี่ยวเกอ เมินโหยวผิงจริงๆ และอี้เฟิงเองก้เผลอคิดว่าตนคืออู๋เสียที่อยู่ในอ้อมกอดของนายเรือพ่วง


“แต่ฉันไม่ไปไหน ไม่บอกลาด้วย จะอยู่กับนาย”
“รู้แล้วจ้า รู้แล้ว เลิกเก๊กเป็นจางฉี่หลิงได้แล้ว”
“ครับ  ๆ “  หยอกล้อกันพอสนุกหัวใจ ทั้งสองก็คล้ายว่าจะง่วงกันทั้งคู่แล้วใกล้เข้าสู่นิทรา ก่อนจะผล็อยหลับไปจริง ๆ อี้เฟิงก็นึกขำว่า ทั้งเขาและหยางหยาง แล้วก็เมินโหยวผิงและนายน้อยอู๋เสีย ในเต้ามู่ปี้จี้ ก็คล้ายกันไม่น้อยเหมือนกัน


อย่างน้อยก็เรื่องความเกี่ยวโยง ที่จริงแล้วก็ไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น แต่ถ้าให้นึกถึงกันล่ะก็ ความเกี่ยวโยงแรกที่อี้เฟิงจะนึกถึงก็คงเป็นหยางหยาง แล้วหยางหยางเองก็คงคิดเหมือนกัน เอาเป็นว่าเขาเดาใจหยางหยางถูกแน่นอนในเรื่องนี้




ก็ลองไปเกี่ยวโยงกับใครดูสิ จะตามไปตัดให้ขาดซะให้หมดทุกเส้นเลยไอ้ความเกี่ยวโยงนั่นน่ะ